War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2299
ตอนที่ 2,299 : ต้วนหลิงเทียน เจ้าปกปิดพลังฝีมือไว้มิดชิดนัก!

‘ดูเหมือนข้าจะประเมินพลังของอัสนีทัณฑ์สูงไป…’

‘หรือจะเป็นข้าประเมินพลังของตัวเองตอนนี้ต่ำเกินไปกันนะ…’

ที่ต้วนหลิงเทียนเร่งรุดพุ่งร่างหลบหนีออกมาจ้าละหวั่นด้วยหมายล่ออัสนีทัณฑ์แบบนี้ ทั้งหมดเพราะเขากลัวว่าจะทำให้ซือหลิง เค่อเอ๋อ กับก่านหรูเยี่ยนตกอยู่ในอันตราย

เพื่อความปลอดภัยของสตรีทั้ง 3 เขาจึงเร่งกางม่านพลังป้องกันคลื่นลม ทั้งใช้ออกด้วยปีกอีกาทองคำเหินร่างปลีกตัวออกมาฉับไว

อย่างไรก็ตาม มาตอนนี้เขาพบว่าที่จริงเขาไม่ต้องหลบหนีมาก็ได้…

เพียงแค่สะบัดมือออกไปส่งๆ ไม่ต้องใช้วรยุทธ์เซียนหรือเวทย์พลังอะไร ยังไม่ต้องกล่าวถึงพลังกระบี่จากขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่ อาศัยแค่ผนึกพลังเซียนต้นกำเนิดอย่างเรียบง่าย ก็เป่าทำลายอัสนีทัณฑ์สายแรกลงได้ง่ายๆ!

ภายใต้พลังเซียนต้นกำเนิดที่สุดไพศาลปานมหาสมุทร อัสนีลงทัณฑ์สายแรกไม่อาจแผลงฤทธิ์ใดๆได้ออก!

ดับสนิท!

“อวี่เหวินฮ่าวเฉิน…”

หลังเอาชนะอัสนีทัณฑ์สายแรก ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องมองมาอย่างแหลมคม ทำให้เขาดึงสติจากภวังค์คิด และมองย้อนไปยังเจ้าของสายตาทันที

เป็นจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน

อวี่เหวินฮ่าวเฉิน มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างปานกลาง แม้หน้าตามันจะไม่ได้มีใดโดดเด่น แต่ด้วยฐานะจ้าววังเซียนสัญจร หว่างคิ้วมันก็แผ่พุ่งอำนาจบารมีออกมาไม่น้อย ทั่วร่างยังแผ่กลิ่นอายเจ้าคนนายคนอันน่าเกรงขามยากมองเห็น

และอวี่เหวินฮ่าวเฉินในวันนี้ ก็ยังเหมือนอวี่เหวินฮ่าวเฉินในวันแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้พบ มันมาในชุดคลุมสีเงิน

ในขณะที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินมองมายังต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องตากลับไปอย่างไร้หวาดกลัว

ทันใดนั้นเขาก็พบว่าในสายตาของอวี่เหวินฮ่าวเฉินไม่เพียงคมกล้าปานมีดดาบ ยังแฝงเร้นไปด้วยเค้าลางความตกใจเจือถึงความไม่อยากจะเชื่อ!

เรื่องนี้เขาเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไร

เพราะตอนนี้อย่าว่าแต่อวี่เหวินฮ่าวเฉินจะรู้สึกตกใจทั้งเหลือเชื่อเลย กระทั่งเขาเองที่ลงมือทำลายอัสนีทัณฑ์สวรรค์มาหยกๆ ก็ตกใจทั้งยังไม่อยากจะเชื่อมือตัวเอง…

‘เมื่อครู่ข้าคิดไว้แล้วว่าสำนึกรู้ฟ้าดินสมควรมาถึงขีดจำกัดและไม่ใช่แค่ติดจุดรอคอยอะไร…มาตอนนี้สามารถยืนยันได้ชัดเจนแล้วจริงๆ ว่ามันบรรลุถึงขีดจำกัดแน่นอน’

‘ฝ่ามือที่ฟาดทำลายอัสนีทัณฑ์สวรรค์เมื่อครู่ พลังเซียนต้นกำเนิดที่ซัดออกยังสั่นพ้องกับฟ้าดินรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินใช้พลังเมื่อ 3 ปีก่อนเสียอีก!’

‘แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว เพราะอวี่เหวินฮ่าวเฉินในตอนนี้ก็ไม่เหมือนเดิม จากการสั่นพ้องระหว่างพลังกับฟ้าดินของมันเมื่อครู่ ก็เผยระดับสำนึกรู้ฟ้าดินของมันชัดเจน…บรรลุขีดจำกัดเหมือนกัน!’

‘กล่าวได้ว่า…ตอนนี้ตัวข้าก็บรรลุเงื่อนไข ในการชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ เพื่อบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะไม่ต่างอะไรจากมัน’

จังหวะนี้อารมร์ของต้วนหลิงเทียนช่างสับสนปนเปนัก

หายนะสู่สวรรค์

มาตอนนี้แม้จะยังอื้ออึงแต่เขาก็ตระหนักได้แล้ว…

หายนะสู่สวรรค์ของเขาเองก็มาแล้ว!

นั่นเพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาซัดทำลายอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายแรก เขาพบว่ากลิ่นอายพลังจากเมฆหายนะสู่สวรรค์ทะมึนมืดบนฟ้า ไม่เพียงแต่เพ่งเล็งอวี่เหวินฮ่าวเฉินเท่านั้น มันยังเพ่งเล็งมาที่เขาอีกคน!!

กล่าวอีกอย่างได้ว่า…เขาเองก็กำลังเผชิญหน้ากับการก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์!

‘แล้วแบบนี้…ข้าต้องขอบคุณอวี่เหวินฮ่าวเฉินมันด้วยหรือไม่? ปกติแล้วคนอื่นแม้จะยกระดับสำนึกรู้ฟ้าดินถึงขีดสุด แต่ก็ยังต้องเฝ้ารอ โอกาส เมื่อคว้าโอกาสที่ว่าไว้ได้จึงจะชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏ’

‘แต่ข้า ในขณะที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินกำลังจะเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์สวรรค์ของมัน สำนึกรู้ของข้าดันบรรลุถึงขีดจำกัดพอดี…แถมยังอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับมันอีก ทำให้หายนะสู่สวรรค์นั่นเลือกที่จะทำการทดสอบข้าด้วยเช่นกัน…’

ตอนนี้ เมื่อตระหนักได้ว่าสำนึกรู้ฟ้าดินของตัวได้บรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สามารถคาดเดาเรื่องราวต่างๆได้

เหนือฟ้า ต้วนหลิงเทียนกับอวี่เหวินฮ่าวเฉินลอยร่างมองจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ยังไร้คำใดเอ่ยเอื้อน พาลให้บรรยากาศที่มืดมัวเยียบเย็นเริ่มเปลี่ยนเป็นเหน็บหนาวทันที

หากแต่ทั้งคู่ไม่พูดไม่จา ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่สนทนาพาที!

“สวรรค์! ใช่ข้ามองอันใดผิดไปหรือไม่ อัสณีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 2 เมื่อครู่กลับฟาดผ่าไปทางต้วนหลิงเทียน!!”

เป็นอาวุโสวังเซียนสัญจรคนหนึ่ง ที่โพล่งอุทานออกมาด้วยความตกใจ ทำลายบรรยากาศอันสงบเงียบ

“อัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 2 งั้นเหรอ ข้าไม่คิดว่านั่นจักเป็นอัสณีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 2…เพราะอัสนีทัณฑ์สวรรค์ที่ฟาดผ่าใส่ต้วนหลิงเทียนนั่น พลังทำลายมันเหมือนกันกับของท่านจ้าววังไม่ผิดเพี้ยน!”

อาวุโสวังเซียนสัญจรคนอื่นๆกล่าวออก

“ที่แท้…ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ศิษย์ของวังเซียนสัญจรหลายคนเผยสีหน้าว่างเปล่าไม่เข้าใจ พยายามมองอาวุโสมากความรู้ทั้งหลายเป็นแถว

“หากข้าเดาไม่ผิด…”

ตอนนี้เองชนชั้นรองจ้าววังเซียนสัญจรคนหนึ่ง พลันกล่าวออกเสียงหนัก “ต้วนหลิงเทียนก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับท่านจ้าววังของพวกเรา…มันกำลังข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์!”

ต้วนหลิงเทียนกำลังข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์เหมือนกันหรือ!?

ทันทีที่รองจ้าววังเซียนสัญจรคนนั้นกล่าวออกมาแบบนี้ ฉากเรื่องราวก็กลับกลายเป็นเงียบงันลงทันใด

จากนั้นไม่นานก็มีคนกล่าวถามออกมาว่า “เรื่องแบบนี้…มันเป็นไปได้อย่างไร? ต้วนหลิงเทียนจักกำลังข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้ยังไง มิใช่ว่าหายนะทัณฑ์สวรรค์นี้ถูกท่านจ้าววังของพวกเราชักนำมาหรือ?”

“นั่นสิ! ในเมื่อหายนะทัณฑ์สวรรค์ครานี้เป็นท่านจ้าววังของพวกเราที่เป็นผู้ชักนำมา แล้วต้วนหลิงเทียนมันจะมาข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ด้วยได้อย่างไร…เรื่องพรรค์นี้เป็นไปไม่ได้!!”

“หากคิดจะชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ มิใช่สำนึกรู้ฟ้าดินต้องสูงถึงขั้นหรอกหรือ…แต่ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ สำนึกรู้ฟ้าดินของมันจะไปสูงถึงขนาดนั้นได้อย่างไร?”

เหล่าศิษย์และอาวุโสของวังเซียนสัญจรหลายคนเริ่มตั้งคำถาม

“สำนึกรู้ฟ้าดินของต้วนหลิงเทียนยังสูงไม่ถึงขั้นงั้นเหรอ?”

รองจ้าววังเซียนสัญจรคนหนึ่งกล่าวขึ้นอีกครั้งพลางส่ายหน้าไปมา “เมื่อครู่ยามต้วนหลิงเทียนลงมือทำลายทัณฑ์อัสนี การสั่นพ้องระหว่างพลังเซียนต้นกำเนิดของมันกับฟ้าดิน มิได้ด้อยไปกว่าการสั่นพ้องระหว่างพลังเซียนต้นกำเนิดของท่านจ้าววังกับฟ้าดินแม้แต่น้อย..”

“สิ่งนี้บ่งชี้ให้รู้ชัด…ว่าสำนึกรู้ฟ้าดินของมันหาได้ด้อยไปกว่าท่านจ้าววังของพวกเราไม่!”

ยามที่รองจ้าววังเซียนสัญจรผู้นี้กล่าว น้ำเสียงของมันมั่นใจนักไม่เหลือที่ว่างให้คลางแคลง!

“อะไรนะท่าน? สำนึกรู้ฟ้าดินของมันมิได้ด้อยไปกว่าของท่านจ้าววังงั้นเหรอ!?”

เหล่าอาวุโสและเหล่าศิษย์วังเซียนสัญจรที่ได้ยิน อดไม่ได้ที่จะนิ่งเงียบไปด้วยความตื่นตระหนกก

ตอนนี้เองรองจ้าววังเซียนสัญจรอีกคน ที่เป็นบิดาของหวงฉี่หลิงพลันกล่าวเสริมออกมาว่า “ข้าเคยอ่านเจอเรื่องหนึ่งในบันทึกเก่าแก่ เห็นว่ายามใดที่สำนึกรู้ฟ้าดินบรรลุถึงขั้นจนสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมาได้สำเร็จ หากมีผู้ที่บรรลุถึงสำนึกรู้ฟ้าดินถึงขั้นเช่นเดียวกันอยู่ในอาณาบริเวณใกล้เคียง มันอาจ ‘ฉวยโอกาส’ ของผู้ฝึกตนคนแรก เพื่อข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้เช่นกัน”

“จากที่ข้าเห็น…สถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นดั่งเรื่องที่บันทึกเอาไว้!”

กล่าวถึงท้ายประโยค รองจ้าววังที่เป็นบิดาหวงฉี่หลิงก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน

มันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยจริงๆ ว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนจะบรรลุถึงขีดขั้นนี้แล้ว

มันยังจดจำได้ดี

มิใช่ลูกชายมันกล่าวบอกไว้เมื่อ 3 ปีก่อนหรอกหรือ ว่าต้วนหลิงเทียนนั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าววังแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ทำอะไรจ้าววังไม่ได้เลย?

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือท่านรองจ้าววังหวง!?”

“ข้ากลับไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน!”

ได้ยินคำของบิดาหวงฉี่หลิง อาวุโสเหล่าศิษย์ไม่เว้นชนชั้นรองจ้าววังที่ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

เช่นนี้ก็ได้หรือ?

พวกมันกลับไม่เคยได้ยินเรื่องราวทำนองนี้มาก่อนเลย!

ด้านรองจ้าววังที่เป็นบิดาหวงฉี่หลิง ตอนนี้ก็หันไปมองลูกชาย ทั้งเร่งส่งเสียงกล่าวถามออกไปทันที “หลิงเอ๋อ เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้เมื่อ 3 ปีก่อน มิใช่คู่ต่อสู้ของท่านจ้าววัง?”

“แล้วไฉนพลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนสำแดงออกเมื่อครู่ กลับมิได้ด้อยไปกว่าจ้าววังของพวกเราเลยเล่า?”

หลังจากกล่าวถามลูกชายไปแล้ว บิดาหวงฉี่หลิงก็เต็มไปด้วยความสงสัยนัก

“ท่านพ่อ เรื่องนี้เป็นข้าเห็นมากับตาเมื่อ 3 ปีก่อนจริงๆ วันนั้นต้วนหลิงเทียนมิใช่คู่มือท่านจ้าววังแม้แต่น้อย…ส่วนเรื่องที่ไฉนฝีมือน้องหลิงเทียนถึงได้ก้าวหน้าขึ้นมาขนาดนี้ข้าก็มิอาจทราบได้ เป็นไปได้หรือไม่ที่น้องหลิงเทียนจะบังเกิดความก้าวหน้าอะไร หลังปิดด่านบ่มเพาะมา 3 ปี?”

หวงฉี่หลิงได้แต่กล่าวตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มขื่นขม

หากแต่แม้รอยยิ้มที่เผยจะแลดูขื่นขม ทว่าลึกลงไปในใจกลับตื่นเต้นนัก

ตอนแรกที่เห็นต้วนหลิงเทียนสำแดงพลังสยบทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างง่ายดาย มันก็คิดว่าวันนี้ไม่แน่ว่าน้องหลิงเทียนของมันอาจจะไม่ต้องประสบหายนะก็เป็นได้ ยังมีความหวังว่าจะรอด!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอมาได้ยินคำของบิดา

ทำให้มันได้รับทราบความจริงที่ว่าพลังฝีมือของน้องหลิงเทียนมัน ที่แท้กลับมิได้ด้อยไปกว่ารองจ้าววังเลย!

“นั่นเป็นไปไม่ได้!”

ได้ยินคำของหวงฉี่หลิง ผู้เป็นบิดาก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ “ในเวลาแค่ 3 ปี ไม่มีทางที่อดีตผู้ที่มิมีทางสู้ท่านจ้าววัง จะมีพลังฝีมือกล้าแข็งสูงขึ้นถึงขั้นรับมือท่านจ้าววังได้ ให้พรสวรรค์ศักยภาพมันจะเลิศล้ำเพียงใด ก็ไม่มีทางเป็นไปได้!!”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้แล้วล่ะท่านพ่อ…”

หวงฉี่หลิงก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยอับจน ส่งเสียงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

ส่วนอีกด้านนั้นเหล่าคนของ 2 วัง 6 ตำหนัก ต่างก็ตกตะลึงกับพลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกนัก เผยให้รู้ว่าการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ของต้วนหลิงเทียน อาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว!

พวกมันเองก็สนทนาหารือกันไม่น้อย สุดท้ายก็สรุปความได้ไม่ต่างอะไรกับด้านวังเซียนสัญจร

“สำนึกรู้ฟ้าดินของมัน…สูงถึงเพียงนี้แล้วหรือ?”

ตอนนี้สีหน้าของจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง นั้นอัปลักษณ์ปั้นยากถึงขีดสุด!

ด้วยเพราะตัวมันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย

ว่าคนที่มันแทบรอฆ่าให้ตายไม่ไหว ที่แท้พลังฝีมือกลับเหนือกว่ามันเสียอีก!

นอกจากนั้น มองจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันย่อมรับทราบได้ทันที

ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังของผู้ฝึกตนมนุษย์ในภูมิภาคเบื้องล่าง กำลังฉวยโอกาสข้ามผ่านหายนทัณฑ์สวรรค์ที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินชักนำมา!

และตราบใดที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ไปได้สำเร็จ ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามอันเป็นขุมพลังของมนุษย์ผู้นี้ ก็จะบรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะเช่นกัน!

ถึงยามนั้น หากอีกฝ่ายคิดฆ่ามันทิ้ง ก็คงลำบากเพียงยกมือ!

แน่นอนว่าตอนนี้มันตระหนักได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ว่าอาศัยพลังฝีมือของมัน…ไม่อาจเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนได้อีกต่อไป!

“ให้ตายเถอะ! ตัวบัดซบต้วนหรูเฟิงนั่นไฉนถึงได้มีลูกชายร้ายกาจถึงขนาดนี้!?”

นอกจากความไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างถึงขีดสุดแล้ว…

ในใจของฉีหนานฟง ยังเต็มไปด้วยความอิจฉา…อิจฉาถึงขีดสุด!!

ทว่าตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ สายตาของฉีหนานฟง…กลับหันไปจับจ้องมองร่างสตรีทั้ง 3 อันเป็นคนข้างกายต้วนหลิงเทียน!

เค่อเอ๋อ ต้วนซือหลิง และก่านหรูเยี่ยน!

ลูกตาของมันฉายประกายคมกล้าปานมีดดาบ ราวกับคิดนำโทสะทั้งหมดที่ไม่อาจทำอะไรต้วนหลิงเทียนได้ ไปลงกับสตรีทั้ง 3!

ส่วนอีกด้าน

“ต้วนหลิงเทียน เจ้าปกปิดพลังฝีมือได้มิดชิดนัก!”

หลังจากที่ยืนมองจ้องตากับต้วนหลิงเทียนอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดอวี่เหวินฮ่าวเฉินก็เป็นฝ่ายกล่าวคำออกมาก่อน

และทันใดนั้นเอง แววตาที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ทวีความดุร้ายมากยิ่งขึ้น!

3 ปีที่แล้ว ต้วนหลิงเทียนคนนี้ จากพลังที่เผยออก อาศัยมันซัดฝ่ามือด้วยพลังไม่กี่ส่วนก็สมควรฆ่าทิ้งได้ง่ายดาย…

หากทว่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับเผยความแข็งแกร่งที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าตัวมันแม้แต่น้อยออกมา กระทั่งฉวยโอกาสกับหายนะทัณฑ์สวรรค์ที่ตัวมันเองเป็นผู้ชักนำ เพื่อข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์!

“จ้าววังอวี่เหวิน ฆ่ามันเสีย! หรือเจ้าคิดส่งเสริมให้พวกมนุษย์บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!?”

ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนเยียบเย็นของฉีหนานฟงพลันดังขึ้น!