บทที่ 959+960 ต้องการสอบเทียบสอบเสร็จแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 959+960 ต้องการสอบเทียบ/สอบเสร็จแล้ว

บทที่ 959 ต้องการสอบถงชื่อ

ดวงตาที่สดใสสีดำราวกับผลองุ่นคู่หนึ่งดูสดใสมีชีวิตชีวา

ปากเรียวสีแดงระเรื่อ ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เส้นผมสีดำขลับ และความสูงก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

บางทีป้าจางและกู้ฟางสี่อาจเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของกู้เสี่ยวหวานทุกวันจนชินตา จึงไม่คิดว่ากู้เสี่ยวหวานนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

แต่สำหรับฉินเย่จือนั้นแตกต่างออกไป เขาไปจากที่นี่ไปเป็นระยะเวลาหนึ่งปี การได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของกู้เสี่ยวหวานในขณะนี้มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่า

ในอนาคตนางจะต้องโตขึ้นเป็นสาวงาม

ฉินเย่จือจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา แล้วรู้สึกอบอุ่นมากทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

ก็เหมือนกับการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งจนเติบใหญ่

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าฉินเย่จือกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ ๆ นางก็จำอะไรบางอย่างได้และพูดว่า “พี่เย่จือ คืนนี้พี่ดูอารมณ์ดีทีเดียว”

เมื่อตอนที่ฮูหยินสวีพูดคำเหล่านั้น ฉินเย่จือที่นั่งอยู่ที่นั่นก็เอาแต่กินทุกอย่างที่เขาต้องการโดยไม่แสดงสีหน้าใด

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีความกังวลใด ๆ เลย

“ข้าเชื่อในตัวเจ้า” ฉินเย่จือกล่าวอย่างมั่นใจ

ทันทีที่พูดประโยคนี้ กู้เสี่ยวหวานก็หน้าแดงอีกครั้ง นางจ้องมองเขาอย่างตำหนิแล้วมุดหน้าลงชามอีกครั้งอย่างเขินอาย

หัวใจดวงนี้บานเบิกบานแล้ว

ความไว้วางใจของฉินเย่จือที่มีต่อกู้เสี่ยวหวาน มันราวกับว่าเขาสามารถมอบชีวิตของเขาให้กับนางได้

ทั้งห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น ริมฝีปากของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ ฉินเย่จือเองก็โตขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาชอบกู้เสี่ยวหวาน ตอนนี้เขาอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้

กู้เสี่ยวหวานหวังว่าเวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว และนางจะได้เติบโตขึ้นเสียที

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในใจนางจะคิดเช่นนั้น แต่วันเวลาก็ยังคงดำเนินต่อไปวันแล้ววันเล่า

และในปีนี้กู้เสี่ยวหวานก็รู้ว่าจะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเกิดขึ้นที่บ้าน

นั่นคือ จะมีการสอบถงชื่อ*[1] เกิดขึ้นในช่วงเดือนสาม

แม้ว่ากู้หนิงอันอายุเพียงสิบปี แต่เขาก็มีผลการเรียนที่ดีมาก สวีเฉิงเจ๋อจึงสนับสนุนให้กู้หนิงอันลงชื่อสมัครสอบในครั้งนี้

ในช่วงปีใหม่ กู้หนิงอันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านเพื่ออ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนอย่างหนัก

หากพบสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ เขาก็จะไปพบอาจารย์สวีเพื่อหาคำตอบให้รู้แจ้ง

หลังจากปีใหม่ กู้เสี่ยวหวานไปหอหนังสืออวี้น้อยลง เพราะนางไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับฮูหยินสวีอย่างไร นางจึงไปที่นั่นน้อยลงเพราะนางรู้สึกขอโทษและเสียใจ

เพียงพริบตาเดียว วันสอบถงชื่อก็คืบคลานเข้ามาใกล้

ตั้งแต่กู้หนิงอันเริ่มเรียน เขาได้รับการยกย่องจากสวีเซียนหลินและสวีเฉิงเจ๋อ นอกจากนี้ฉินเย่จือเองที่เป็นบัณฑิตก็บอกว่าการบ้านของกู้หนิงอันนั้นทำได้ดี

พื้นฐานความรู้ของกู้หนิงอันนั้นค่อนข้างดี แต่เขาก็อยากที่จะลองลงสนามสอบดู ถ้าเขาสอบผ่านเร็วขึ้น เขาก็จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว

ตอนแรกกู้เสี่ยวหวานไม่สนใจ เพราะนางคิดว่ากู้หนิงอันยังเด็กอยู่ และนางไม่ต้องการให้กู้หนิงอันเข้าสอบชิงตำแหน่งทางการ แต่กู้หนิงอันมีความคิดแบบนั้นและต้องการใช้เส้นทางดังกล่าว ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนความคิดและหันมาสนับสนุนกู้หนิงอันอย่างเต็มที่โดยไม่มีเงื่อนไข

จากมุมมองของกู้เสี่ยวหวาน การสอบถงชื่อของกู้หนิงอันนั้นยากไม่น้อยไปกว่าการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยในยุคสมัยของนาง

แม้ว่าในสมัยโบราณมีบัณฑิตไม่เท่าสมัยนี้ และคนเข้าสอบไม่มากเท่าสมัยนี้ แต่ในสมัยโบราณวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตได้คือการศึกษาเล่าเรียน เด็ก ๆ ที่ไม่มีเงินก็ให้ความสำคัญกับการเรียนเช่นกัน เพราะมีแค่ทางนี้เท่านั้นที่จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองได้

ดังนั้นกู้หนิงอันจึงเริ่มศึกษาการบ้านของเขาอย่างเต็มที่ที่บ้าน

ป้าจางและกู้ฟางสี่พูดคุยกับกู้เสี่ยวหวานเกี่ยวกับมื้ออาหารของกู้หนิงอันทุกวัน สิ่งที่ควรกินและวิธีกินอย่างมีคุณค่าทางโภชนาการ

ฉินเย่จือยังช่วยสอนการบ้านเขาเป็นครั้งคราว แม้จะมีการกล่าวว่าฉินเย่จือไม่ได้เข้าสอบปากู่เหวิน*[2] เพื่อได้รับเกียรติและชื่อเสียง แต่เขาได้รับการสอนจากอาจารย์ในพระราชวังตั้งแต่เขายังเด็ก นอกจากนี้ฉินเย่จือยังทำงานหนัก หากเขาถูกขอให้สอบ เขาก็อาจจะกลับมาเป็นบัณฑิตอันดับหนึ่งก็ได้

แต่เขาคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ชื่อเสียงและเกียรติยศเหล่านี้เขาคงไม่ต้องลำบากตะเกียกตะกายไขว่คว้ามันมา

และเป็นเพราะการให้คำปรึกษา กู้หนิงอันได้เปลี่ยนมุมมองของเขาต่อฉินเย่จืออย่างมาก

เมื่อเทียบกับสวีเฉิงเจ๋อแล้ว ความคิดของฉินเย่จือมีขอบฟ้าที่กว้างกว่าและมีความคิดที่รอบคอบกว่า เขาสามารถคิดในสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ถึงได้ นอกจากนี้เขายังมีความรู้ และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนประเภทที่เสแสร้งเป็นคนโง่

กู้หนิงอันชื่นชมฉินเย่จือมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในทุก ๆ วัน กู้เสี่ยวหวานเทความสนใจไปที่กู้หนิงอัน แต่นางก็ไม่ได้ค้นพบว่ากู้หนิงอันนั้นชื่นชมฉินเย่จือ

ตอนนี้นางกลายเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเขา

เข้าไปส่งชาร้อนเป็นครั้งคราว รวมถึงขนมต่าง ๆ และผลไม้เพื่อสนองความหิว

บางครั้งก็ช่วยฝนหมึกอยู่ข้าง ๆ

กู้หนิงอันทบทวนการบ้านและแบบฝึกหัดของเขาอย่างหนัก ยิ่งเข้าใกล้เวลาสอบ กู้หนิงอันก็เริ่มกระสับกระส่าย

วันนี้กู้เสี่ยวหวานทำน้ำต้มกระดูกไก่มาให้เขาตามปกติ เมื่อนางเห็นว่าหมึกมราใช้เขียนหมดแล้ว นางจึงยืนข้าง ๆ เพื่อฝนหมึกให้เขา กู้หนิงอันวางพู่กันลง ก่อนจะมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความกังวลและเอ่ยว่า “ถ้าครั้งนี้ข้าสอบไม่ผ่าน ข้าจะทำอย่างไรดี?”

กู้เสี่ยวหวานไม่เคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้

นางไม่เคยคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากู้หนิงอันผ่านการสอบ และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาสอบไม่ผ่าน

นางคิดแค่ว่าถ้าเขาสอบไม่ผ่าน เขาต้องเรียนต่อและไปสอบเรื่อย ๆ จนกว่าจะผ่าน

หรือถ้าสอบไม่ผ่านจริง ๆ ก็เปลี่ยนอาชีพเสีย อย่างน้อยก็เคยพยายามอย่างเต็มที่มาก่อน

นางมองดวงตาที่คาดหวังของกู้หนิงอันและพูดทันที “หนิงอัน เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะสอบผ่านหรือไม่ ถ้าเจ้าสอบไม่ผ่านในปีนี้ ปีหน้าก็ไปสอบใหม่ ถ้าไม่เหมาะกับการเรียนและสอบไม่ผ่านจริง ๆ เรามีที่ดินที่ยังสามารถทำไร่ไถนาได้ นอกจากนี้ก็ยังมีร้านค้าของเรามากมาย การสร้างชีวิตดี ๆ ด้วยมือของตนเองนั้นช่างดีกว่าเป็นไหน ๆ”

การเรียนหนังสือไม่ได้เป็นทางออกเดียว ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ขอแค่เป็นงานที่รักและสุจริตก็จะสามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้

*[1] การสอบถงชื่อ(童试)คือ การสอบในระดับชั้นต้น จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีและบุคคลที่สามารถเข้าสอบได้จะต้องมีการศึกษาในระดับชั้นต้นขึ้นไป จัดขึ้นภายในท้องถิ่น แบ่งย่อยได้อีกสามขั้นตามลำดับคือ เซี่ยนชื่อ (การสอบระดับท้องถิ่นหรือตำบล) ฝู่ชื่อ (การสอบระดับอำเภอ) และเยวี่ยนชื่อ (การสอบระดับสถาบัน)

*[2] การสอบปากู่เหวิน หรือ ความเรียงแปดขา คือรูปแบบการเขียนตอบข้อสอบ ในการสอบเข้ารับข้าราชการ โดยแบ่งเป็นตอน ๆ ทั้งหมดแปดตอน โดยกำหนดจำนวนตัวอักษรไม่เกิน 800 คำ ซึ่งต้องอ้างอิงและเชื่อมโยงกับเนื้อหาใน ‘สี่ตำราห้าคัมภีร์’

….

บทที่ 960 สอบเสร็จแล้ว

ในตอนนั้นกู้เสี่ยวหวานส่งกู้หนิงอันไปเรียนไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์ในการประกอบอาชีพ แต่เพียงเพื่อให้กู้หนิงอันเรียนรู้คำศัพท์เพิ่มเติม เพื่อที่จะได้รับรู้สถานการณ์ มีความรู้รอบตัว ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่รู้อะไรเลยนอกจากการทำไร่ทำนา

เมื่อกู้หนิงอันได้ยินพี่สาวของเขาตอบแบบนี้ นั่นหมายความว่า นางไม่สนใจว่าเขาจะสอบผ่านหรือไม่ผ่าน เขาก็รู้สึกอบอุ่นในใจ “ท่านพี่ ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน ดังนั้นการสอบคราวนี้ท่านไม่ต้องห่วง”

กู้หนิงอันใจจดใจจ่ออยู่กับการสอบถงชื่อนี้อย่างมาก

เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเพราะต้องการสอบให้ผ่านในครั้งแรก

ความแน่วแน่ในดวงตาของเขา เขาได้มันมาจากกู้เสี่ยวหวาน

ใกล้จะถึงวันสอบของกู้หนิงอันแล้ว เนื่องจากการสอบถงชื่อจะจัดขึ้นที่เมืองรุ่ยเสียน กู้หนิงอันจึงต้องรีบไปที่นั่นเพื่อเตรียมตัวก่อนการสอบ

คราวนี้ฉินเย่จือพากู้หนิงอันไปที่เมืองรุ่ยเสียน โดยมีฉือโถวขับรถม้า

เมื่อทั้งสามคนมาถึงเมืองรุ่ยเสียนก็ไปอาศัยอยู่ที่บ้านของอาจารย์ฝาง

หลังจากการสอบติดต่อกันห้าวัน ในที่สุดเขาก็กลับมาที่สวนกู้ในวันที่หก

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กู้เสี่ยวหวานถือว่าเคยประสบกับความวิตกกังวลของพ่อแม่ เมื่อนางสอบเข้ามหาวิทยาลัยในชีวิตที่แล้ว

ป้าจางและกู้ฟางสี่ก็กังวลเช่นกัน เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่กินไม่ดื่ม

พวกเขาทั้งหมดมาเกลี้ยกล่อมกู้เสี่ยวหวาน โดยบอกว่าการสอบนี้มีการจัดสอบขึ้นทุกปี อย่างไรเสียกู้หนิงอันก็ยังเด็ก หากเขาสอบตกในปีนี้ เขายังสามารถสอบได้ในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า

เป็นเวลาหลายปีที่กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวหวานดูแลเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ในครอบครัว

ที่บ้านไม่ว่ามีเรื่องใหญ่แค่ไหนก็ไม่บอกกู้หนิงอันและขอแค่ให้เขาได้เรียนอย่างสบายใจ

กู้หนิงอันจึงต้องผ่านสักครั้งเพื่อให้ทั้งครอบครัวมีความสุขและพึงพอใจ

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางถึงพูดแบบนั้นกับเขา

แต่เมื่อเห็นท่าทีที่มั่นคงของเขา กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

ตราบใดที่ทำให้ดีที่สุด ไม่ว่ามันจะจบลงอย่างไร พวกเราก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้

กู้หนิงอันรู้สึกขอบคุณสำหรับคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน มีเพียงคนในครอบครัวของเขาเท่านั้นที่ไม่ว่าเขาจะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ เหล่าสมาชิกครอบครัวกู้ก็จะยืนเคียงข้างเขาเสมอ

ด้วยเหตุนี้ กู้หนิงอันจึงตัดสินใจที่จะเข้าสอบ

กู้หนิงอันยังรู้สึกดีอยู่ หลังจากผ่านการสอบไปห้าครั้ง

เขายังได้พูดคุยกับฉินเย่จือและอาจารย์ฝาง อาจารย์ฝางก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์และเป็นพรสวรรค์ที่หายาก

คิดว่าสำหรับการสอบถงชื่อนี้ เด็กคนนี้ต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน

หลังจากกลับไป ฉินเย่จือบอกกู้เสี่ยวหวานว่าอาจารย์ฝางพูดอย่างไร จากนั้นมองไปที่ความมั่นใจของกู้หนิงอัน กู้เสี่ยวหวานเดาว่าหนิงอันมีแนวโน้มที่จะผ่านการสอบในครั้งนี้

สวีเฉิงเจ๋อและสวีเซียนหลินถามคำถามที่เขาสอบและคำตอบที่กู้หนิงอันตอบ เมื่อพวกเขาได้ยินคำตอบของกู้หนิงอัน ทุกคนในครอบครัวสวีก็ปรบมือเช่นกัน

ทุกคนบอกว่าหนิงอันจะต้องได้รับการยอมรับในฐานะบัณฑิตอย่างแน่นอน

ช่วงเวลาที่รอการประกาศอันดับนั้นยาวนานมาก กู้หนิงอันไปเรียนที่หอหนังสืออวี้ทุกวัน กู้เสี่ยวหวานเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย นางยังคงต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง

ในช่วงเวลาเดียวกัน ร้านขายตุ๊กตาในเมืองหลวงก็เปิดขึ้น

0

——————————————-