ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 24 โลหิตบนนครเดียวดายยังมิทันแห้ง (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เผยอวิ๋นผู้บัญชาการทหารไหวหนานยึดฉู่โจว ซื่อโจวได้อย่างง่ายดาย แล้วยังสังหารลั่วโหลวเจินแม่ทัพใหญ่แห่งไหวตงของหนานฉู่ด้วยตนเอง แต่ละเมืองของไหวตงได้ข่าวล้วนยอมจำนน มีเพียงไช่หลิน รองแม่ทัพแห่งกองทัพไหวตงรวบรวมทหารที่แตกพ่ายมาป้องกันก่วงหลิง กองทัพต้ายงบุกยึดมิสำเร็จ

เผยอวิ๋นสั่งให้กองทัพของเหออิ่งอ้อมไปจู่โจมยึดเกาโหยว จากนั้นล่องน้ำมาโจมตี ก่วงหลิงพ่ายแพ้ ขณะที่ทหารกองหนุนก็มิมาเสียที ไช่หลินทราบว่ามิอาจต้านทานได้แล้ว ยามนั้นเผยอวิ๋นใช้ลูกศรผูกสารกล่อมให้ยอมจำนนเข้ามา ไช่หลินนำทหารออกจากเมือง ปลิดชีพตนต่อหน้ากองทัพ แม่ทัพทั้งหลายของก่วงหลิงยอมจำนน

เดือนสิบ วันที่ยี่สิบเก้า กองทัพต้ายงบรรลุถึงหยางโจว กองทหารรักษาเมืองหยางโจวมิทันสู้ก็ปราชัย

…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม

สถานที่อันโด่งดังในฉู่โจวได้แก่หอเจิ้นไหว ศาลเจ้าหานโหวในตัวเมืองและศาลเจ้าเผี่ยวหมู่ที่ชานเมือง ศาลาตกปลาของหานโหวมีชื่อเสียงที่สุด กู้หยวนยงเจ้าเมืองฉู่โจวแต่เดิมชอบหอเจิ้นไหวมากที่สุด มิเพียงมักจะเรียกบัณฑิตชื่อดังภายในเมืองมาจัดงานเลี้ยงบ่อยครั้ง เมื่อคืนวานยังใช้ที่แห่งนี้บัญชาการกองทหารรักษาเมืองฉู่โจวต่อต้านการบุกตีของกองทัพต้ายงอีกด้วย

ทว่าภายในชั่วข้ามคืน เมื่อเขามาถึงหอเจิ้นไหวอีกครั้ง เขากลับตกเป็นนักโทษเสียแล้ว แม้ทหารต้ายงที่เฝ้าอยู่ด้านข้างจะมิได้กระทำเสียมารยาทแม้แต่น้อย ทว่าความขื่นขมกับความหวาดหวั่นในใจเขามิว่าอย่างไรก็มิหลุดออกไป

พลบค่ำคืนวาน ทหารแตกทัพจากค่ายใหญ่หนานฉู่วิ่งมาจากนอกเมืองในสภาพที่มิเหลือชุดเกราะหรือหมวกเกราะ ตนจึงได้ทราบว่ากองทัพต้ายงบุกยึดค่ายใหญ่ฉู่โจวสำเร็จแล้ว ลั่วโหลวเจินก็สู้รบจนตัวตายแล้ว เขารีบเปิดประตูเมืองให้ทหารที่พ่ายศึกมาเหล่านั้นเข้ามาในเมือง

คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็คือที่ปรึกษาหวง คนผู้นี้มักจะช่วยพูดแทนตนต่อหน้าลั่วโหลวเจินอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นตนจึงมิคิดสงสัย แต่กลับคิดมิถึงว่าผู้ที่เข้าเมืองมาจะเป็นดาวหายนะ แท้จริงแล้วที่ปรึกษาหวงถูกทหารต้ายงบีบให้มาหลอกยึดเมือง ฉู่โจวที่เดิมทียังพอสู้ศึกได้จึงแตกพ่ายอย่างจับต้นชนปลายมิถูกเช่นนี้

แต่ยังนับว่ากู้หยวนหงยังเหลือความระแวดระวังอยู่ส่วนหนึ่ง แม้กองทัพต้ายงบุกเข้ามาในเมืองแล้ว แต่เขาก็ยังถอยไปตั้งหลักที่หอเจิ้นไหวภายใต้การคุ้มกันของทหารคนสนิท จากนั้นเริ่มการต่อสู้บนถนนกับกองทัพต้ายง กำลังรบของกองทัพต้ายงแข็งแกร่ง แต่กองทหารรักษาเมืองของฉู่โจวก็คุ้นเคยกับภูมิประเทศดี สองกองทัพต่อสู้ยืดเยื้อกันอยู่นานก็ยังตัดสินแพ้ชนะมิได้

ทว่าค่ำคืนวันนั้น กองหนุนของกองทัพต้ายงจำนวนสองหมื่นคนก็ทะลักเข้ามาในเมืองฉู่โจว ความหวังสุดท้ายอันริบหรี่ของกู้หยวนยงดับลง เมื่อเห็นภายในเมืองฉู่โจวเต็มไปด้วยธงของกองทัพต้ายง กองทหารรักษาเมืองที่เหลืออยู่พันกว่าคนถูกล้อมอยู่ใต้หอเจิ้นไหว เขาจึงได้แต่ขอยอมจำนนอย่างจนปัญญา หลังจากนั้นเขาก็ถูกบังคับให้นำทางกองทัพต้ายงไปปลอบประชาชนสี่มุมเมือง จนถึงเวลาฟ้าสาง เมืองฉู่โจวก็ถูกต้ายงยึดครองอย่างสมบูรณ์

กู้หยวนยงที่มิได้นอนมาทั้งคืนถูกเผยอวิ๋นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพต้ายงเรียกมาหาที่หอเจิ้นไหว กู้หยวนยงก้าวขึ้นมาบนยอดหอที่ตนคุ้นเคยเป็นที่สุด เขามองเห็นเผยอวิ๋นยืนอยู่ริมหน้าต่าง มือไพล่อยู่ด้านหลัง เขากำลังก้มลงมองทัศนียภาพด้านล่างของหอ ด้านหลังมีคนยืนอยู่ฝั่งซ้ายขวาฝั่งละสองคน พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือจากค่ายไป๋อีผู้สวมชุดเกราะสีครามเกือบดำทับด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่สีขาว

แม้กู้หยวนยงจะมิทราบตัวตนที่มิธรรมดาขององครักษ์คนสนิทเหล่านี้ แต่เขาก็ยังมองออกว่าแต่ละคนดูแข็งแกร่ง มิเหมือนพลทหารธรรมดา เขาก้าวเข้าไปคำนับด้วยสีหน้าขมขื่น เอ่ยขึ้นว่า “กู้หยวนยง ขุนนางสวามิภักดิ์แห่งหนานฉู่คารวะใต้เท้าผู้บัญชาการทหาร”

เผยอวิ๋นหันกลับมายื่นมือประคอง รอจนเขาลุกขึ้นแล้ว เผยอวิ๋นจึงยิ้มละไมบอกว่า “ผู้แซ่เผยรับพระบัญชาจากจักรพรรดิต้ายงของพวกเราบุกตีไหวตง ล่วงเกินประชาชนทั้งหลายแห่งฉู่โจวมาแล้ว เมื่อคืนวานต่อสู้นองเลือด ยากหลีกเลี่ยงทำร้ายถูกผู้บริสุทธิ์มากมาย ในเมื่อใต้เท้ากลับใจแล้วก็ขอให้ใต้เท้าปลอบประโลมชาวเมืองทั้งหลายให้มาก”

กู้หยวนยงตอบรับอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับเกิดความหวังขึ้นมา หรือว่ากองทัพต้ายงจะไม่คิดประหารตน ตนต่อต้านกองทัพต้ายงอยู่เกือบครึ่งค่อนคืน ในห้วงรัตติกาลอันมืดมิด ทหารต้ายงที่บุกตีเมืองก็บาดเจ็บล้มตายไปมิน้อย ทั้งหมดราวหนึ่งพันคน แต่เดิมเขาคิดว่ารอเมืองฉู่โจวสงบเรียบร้อย ตนจะต้องถูกคิดบัญชีทีหลังเสียอีก หากมิใช่กังวลว่าเมืองฉู่โจวจะถูกฆ่าล้างเมืองเป็นการชำระแค้น เขาก็คงมิยอมจำนน คิดมิถึงว่าผู้บัญชาการทหารไหวหนาน แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพต้ายงผู้นี้กลับดูเหมือนจะมิได้ถือโทษตนเอง

ก่อนหน้านี้กู้หยวนยงมิเคยมีประสบการณ์ทำศึกกับกองทัพต้ายง ย่อมมิทราบว่าในสายตาของกองทัพต้ายง กองทัพศัตรูต่อต้านจึงจะเป็นเรื่องปกติ หากมิต่อต้านก็ขอยอมจำนนกลับจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าแปลก

เผยอวิ๋นปลอบกู้หยวนยงอีกสองสามประโยค ถ้อยคำอ่อนโยนทำให้กู้หยวนยงค่อยๆ สงบใจลงได้ เวลานี้เอง ตู้หลิงเฟิงก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินเข้ามาในหอ คำนับเผยอวิ๋นหนหนึ่งแล้วรายงานว่า “ท่านแม่ทัพ จ่างสื่อของฉู่โจวคนนั้นไร้มารยาทเกินไปแล้ว ผู้น้อยรับบัญชาไปยึดหนังสือราชการกับตราประทับ แต่เขากลับมิยอมมอบให้ แล้วยังด่าท่านเสียยกใหญ่ บอกว่าท่านใช้เล่ห์กลชิงเมือง เป็นคนถ่อยชั่วช้า”

กู้หยวนยงหัวใจกระตุก จิงฉางชิง จ่างสื่อแห่งฉู่โจวผู้นี้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อผู้สอบได้อันดับเก้าของขั้นที่สองในการสอบฤดูใบไม้ร่วงรัชศกถงไท่ปีที่สอง สี่ปีก่อนมารับตำแหน่งที่ฉู่โจว คนผู้นี้เป็นลูกหลานตระกูลขุนนางเมืองจยาซิง แต่เดิมด้วยภูมิหลังและความสามารถของเขาสมควรได้ตำแหน่งที่สูงกว่านี้ อย่างน้อยก็เข้าสำนักฮั่นหลินได้ แต่เส้นทางการเป็นขุนนางของเขากลับมีแต่อุปสรรค ผ่านมาหลายปีวนเวียนรับตำแหน่งที่ปรึกษาในค่ายทหาร บ้างก็ตำแหน่งซือหม่าตามเมืองต่างๆ มิได้เลื่อนขั้นเสียที คนที่สอบเป็นขุนนางรุ่นเดียวกับเขาต่างเจริญรุ่งเรืองกันหมดแล้ว มีแต่เขาที่อายุเกือบสี่สิบแล้วเพิ่งจะได้รับตำแหน่งเป็นจ่างสื่อของเมืองฉู่โจว

หลังจากเขามารับตำแหน่ง กู้หยวนยงก็เฝ้าสังเกตเขาอย่างพิจารณา คนผู้นี้รู้จักกาละเทศะ รุกถอยได้เหมาะควร ขยันขันแข็งทำหน้าที่ สุจริตซื่อตรง เป็นขุนนางน้ำดีมีความสามารถอย่างแท้จริง เขาเคยถามสาเหตุที่เส้นทางขุนนางของอีกฝ่ายมิราบรื่น แต่คนผู้นี้เพียงถอนหายใจมิพูดจา เบื้องหลังเรื่องนี้คงมีความลับอยู่ แต่ปกติกู้หยวนยงก็มิชมชอบสืบหาความลับของผู้อื่นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเก็บไว้ในใจแต่เพียงเท่านั้น

คิดมิถึงว่าวันนี้คนผู้นี้กลับดื้อดึงเช่นนี้ หากล่วงเกินกองทัพต้ายงขึ้นมา ไฉนมิใช่มิเหลือชีวิต ภรรยา อนุภรรยาและลูกๆ ของเขาล้วนอยู่ในเมืองฉู่โจว หากจัดการไม่ดี ทั้งตระกูลถูกฆ่ายกครัวขึ้นมาก็เป็นไปได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ลอบร้อนใจอย่างห้ามมิได้

เผยอวิ๋นสีหน้ามิเปลี่ยน ถามขึ้นมาเรียบๆ “หลิงเฟิง เจ้าจัดการเช่นไร”

ตู้หลิงเฟิงตอบว่า “ข้าโมโหจึงให้คนจับเขามัดลากมาอยู่ด้านล่างของหอ ขอท่านแม่ทัพอนุญาตให้ผู้น้อยตัดศีรษะคนผู้นี้ต่อหน้าผู้คน เป็นการเตือนผู้ที่กล้ามองต้ายงของพวกเราเป็นศัตรู”

กู้หยวนยงหวนนึกถึงข้อดีของจิงฉางชิงในยามปกติ จึงรีบก้าวเข้าไปคำนับเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพโปรดอภัย ท่านแม่ทัพโปรดอภัย จิงฉางชิงเป็นคนซื่อตรง อาจล่วงเกินไปบ้าง ท่านแม่ทัพเป็นผู้ใจกว้าง โปรดละเว้นชีวิตเขาด้วย”

เผยอวิ๋นยิ้ม “พาเขาเข้ามา ข้าต้องการพบจ่างซื่อผู้หัวแข็งคนนี้เสียหน่อย”

ตู้หลิงเฟิงดีใจนัก ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ไม่นานองครักษ์คนสนิทก็คุมตัวคนผู้หนึ่งขึ้นมา คนผู้นี้อายุราวสี่สิบปี หน้าตาสุภาพ กิริยาท่าทางนุ่มนวล แต่เวลานี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่ดิน หมวกขุนนางก็มิทราบว่าร่วงตกไปที่ใดแล้ว บนหน้าผากยังมีคราบเลือดอยู่ด้วย เห็นได้ว่าตลอดทางที่มาคงจะประสบความลำบากมิน้อย

พอขึ้นมาบนหอแล้ว คนผู้นั้นกลับยืนอยู่มิคุกเข่า เพียงจ้องมองมาด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยว ตู้หลิงเฟิงเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “พบแม่ทัพของข้ายังยังมิคุกเข่าขออภัยอีก”

คนผู้นั้นตอบอย่างเย็นชา “ผู้แซ่จิงเป็นขุนนางหนานฉู่ เหตุใดต้องคารวะแม่ทัพของต้ายงเล่า”

เผยอวิ๋นได้ยินก็ยิ้ม “เจ้าเมืองนำขุนนางทั้งหลายแห่งฉู่โจวมาสวามิภักดิ์ต่อต้ายงของข้าแล้ว ยามนี้ท่านก็คือขุนนางผู้เปลี่ยนฝ่ายมาสวามิภักดิ์ เหตุใดมิคุกเข่าเล่า”

คนผู้นั้นตอบด้วยโทสะ “เจ้าเมืองขอยอมสวามิภักดิ์แล้ว แต่ข้าจ่างสื่อผู้นี้ยังมิยอมสวามิภักดิ์ พวกเจ้ารุกรานบ้านเมืองของข้า ทำร้ายประชาชนของข้า ชาวหนานฉู่มิมีผู้ใดมิเคียดแค้นเข้ากระดูกดำ แม้ยามนี้ถูกบีบด้วยสถานการณ์จนต้องยอมก้มหัวชั่วคราว แต่รอกองทัพของเจ้าแคว้นเดินทัพขึ้นเหนือปราบศัตรู ย่อมมิมีทางปล่อยพวกเจ้าหนีออกไปจากไหวตงได้เป็นอันขาด”

ตู้หลิงเฟิงโกรธจัด ก้าวเข้าไปตบหนึ่งฉาด ตบคนผู้นั้นจนล้มคว่ำกับพื้น จากนั้นชี้หน้าด่าคนผู้นั้น “ชาวหนานฉู่ที่เคียดแค้นเข้ากระดูกดำนั่นมิทราบว่าคือผู้ใดเล่า ผู้ใดมิทราบบ้างว่าลั่วโหลวเจินทำตัวกำเริบเสิบสานในไหวตง ฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน ขูดรีดเสบียงและเงินทอง วันนี้กองทัพข้าแปะประกาศเรื่องที่ลั่วโหลวเจินถูกลงโทษประหาร ชาวหนานฉู่มิมีผู้ใดมิยินดีปรีดา

ในเมื่อเจ้าหัวแข็งเช่นนี้ เหตุไฉนจึงมิกล้าต่อต้านลั่วโหลวเจิน ชีวิตข้าเกลียดบัณฑิตคร่ำครึอย่างเจ้าที่สุด ในเมื่อเจ้ามิยอมสวามิภักดิ์ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เป็นนักโทษของกองทัพเรา ข้าจะมิสังหารเจ้า แต่จะจับเจ้าใส่ขื่อคาปล่อยไว้หน้าจวนเจ้าเมืองสักสามวัน ดูสิว่าเจ้ายังมีแรงด่าหรือไม่”

หนึ่งฝ่ามือนี้ของเขาหนักยิ่งนัก ตบจนคนผู้นั้นใบหน้าบวมไปครึ่งซีก มุมปากมีเลือดไหลออกมา คนผู้นั้นเองก็เหมือนจะไร้ความกลัวเกรงแล้วเช่นกัน อ้าปากด่าทอมิหยุด แม้ปากกับฟันจะออกเสียงมิชัด แต่ตู้หลิงเฟิงฟังแล้วเพลิงโทสะก็ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม เขาชักดาบคู่กาย ชี้ไปยังคนผู้นั้นแล้วว่า “ดี ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายเอง ข้าก็จะให้เจ้าสมปรารถนา”

แต่เดิมเผยอวิ๋นเพียงมองดูตู้หลิงเฟิงจัดการด้วยท่าทางนิ่งสงบ เต่เมื่อเห็นเขาจะตวัดดาบสังหารคนจริงๆ จึงห้ามไว้ “พอแล้ว เขาก็นับเป็นคนจงรักภักดีผู้หนึ่ง สังหารจะมิเป็นมงคล ขังเขาไว้ในคุกก็พอ อย่าสร้างความลำบากให้ครอบครัวของเขามากเกินไป”

ตู้หลิงเฟิงจึงตอบอย่างยินดี “ผู้น้อยรับบัญชา” กล่าวจบก็ลากคนผู้นั้นเดินลงจากหอไป