บทที่ 971 ไปเมืองหลวงกับข้า

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 971 ไปเมืองหลวงกับข้า

บทที่ 971 ไปเมืองหลวงกับข้า

แต่ฉินเย่จือเดินผ่านหน้านางโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง และเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจกู้ซินเถาเลย

กู้ซินเถาเห็นว่านางได้เตรียมตัวมาอย่างดี แต่ฉินเย่จือไม่แม้แต่จะมอง ไม่ต้องพูดถึงว่านางรู้สึกอึดอัดและไม่พอใจมากแค่ไหน

ทว่าเมื่อเห็นว่าการปฏิบัติต่อหลิวเทียนฉือนั้นคล้ายคลึงกับนาง และยังเป็นคุณหนูที่มาจากเมืองหลวงอีก เช่นนั้นอารมณ์ของนางจึงดีมากยิ่งขึ้น

และก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

หลิวเทียนฉือมองฉินเย่จือที่เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ความโกรธทั้งหมดในใจของนางก็พลันปะทุขึ้นทันที

“พี่ใหญ่ฉิน ข้าคือหลิวเทียนฉือ ข้าเป็นลูกสาวคนเดียวของหลิวฉงหร่านผู้เป็นขุนนางระดับห้าในเมืองหลวง” หลิวเทียนฉือเปิดเผยสถานะของตัวเองด้วยความโกรธ

แต่ใครจะรู้ว่าฉินเย่จือไม่ได้สนใจนางเลย ฝีเท้าของเขาไม่ได้หยุดลง และก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น

ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงของนาง

หากคนธรรมดาได้ยินคำพูดเช่นนี้ พวกเขาจะรีบคลานไปที่ด้านข้างของหลิวเทียนฉืออย่างประจบสอพลอ

ลูกสาวคนเดียวของขุนนางระดับห้าในเมืองหลวง

หมายความว่าถ้าเขามีความสัมพันธ์กับหลิวเทียนฉือ ในอนาคตเขาอาจจะสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดได้

แต่ฉินเย่จือดูเหมือนจะหูหนวกและเป็นใบ้ เขาไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งนั้น

เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือยังคงไม่ตอบสนองหลังจากที่นางพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ หลิวเทียนฉือก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้น

นางรออยู่ที่สวนกู้ทั้งวัน นางทั้งหิวและเริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา เดิมทีนางคิดว่านางน่าจะได้คุยกับฉินเย่จือสักหน่อย

แต่ใครจะรู้ว่าเขาไม่ได้เหลือบตามองนางเลยสักนิด

ความอัปยศอดสูนี้ช่างเหลือทน

หลิวเทียนฉือไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าฉินเย่จือ และกางมือออกเพื่อขวางทางเขาเอาไว้

ด้วยสายตาที่ดุร้าย นางชี้ไปที่กู้เสี่ยวหวานในอ้อมแขนของฉินเย่จือ และพูดอย่างเคร่งขรึม “พี่ใหญ่ฉิน ข้าเป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงมาจากครอบครัวในเมืองหลวง มีอะไรที่ข้าไม่สามารถเปรียบเทียบกับสาวบ้านนอกที่หยาบคายผู้นี้ได้ ทำไมท่านถึงมักจะมองนางและไม่มองข้า ข้าสัญญาว่าท่านจะได้รับประโยชน์มากมาย ทำไมท่านถึงไม่สนใจมันสักนิด กู้เสี่ยวหวานคนนี้ให้ท่านกินน้ำแกงแบบไหนกัน ถึงทำให้คนที่ยอดเยี่ยมเช่นท่านยอมอยู่ในที่ที่กันดารเช่นนี้ได้!”

หลิวเทียนฉือพูดจบในลมหายใจเดียวโดยไม่หอบและพูดต่อ “พี่ใหญ่ฉิน ตราบใดที่ท่านตกลงจะกลับไปที่เมืองหลวงกับข้า ข้าสัญญากับท่านว่า สิ่งนี้จะช่วยให้ท่านได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเมืองหลวง และจะทำให้ท่านแน่ใจว่าจะสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดในชีวิตนี้ แทนที่จะทำไร่ทำสวนอยู่ในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้”

ฉินเย่จือไร้อารมณ์เมื่อเผชิญหน้ากับหลิวเทียนฉือที่ขวางทางเขาและยังคงพูดเรื่องไร้สาระที่นี่

เขาขมวดคิ้วและหรี่ตาลง

แต่เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือไม่พูดอะไร หลิวเทียนฉือจึงคิดว่าเขาฟังคำพูดของตัวเองแล้ว

ดังนั้นนางจึงพล่ามต่อไปโดยไม่กลัวตาย “ข้าเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลหลิว ท่านพ่อของข้าจะฟังข้าอย่างแน่นอนเพียง ขอแค่ท่านเพียงเต็มใจไปเมืองหลวงกับข้า ท่านจะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ พี่ใหญ่ฉิน ท่านมีความสามารถทั้งด้านวรรณคดีและศิลปะการต่อสู้ คนที่ยอดเยี่ยมเช่นท่านเมื่อไปถึงเมืองหลวง ไม่ว่าจะทำอะไรก็สามารถทำออกมายอดเยี่ยม พี่ใหญ่ฉินเคยไปเมืองหลวงหรือไม่? เมืองหลวงดีกว่าเมืองหลิวเจียมากนัก ที่นั่นเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็เจอแต่วิมานหยกอันงดงาม ทุกคนที่เดินอยู่บนถนนล้วนสวมผ้าไหมชั้นดี พี่ใหญ่ฉิน เมืองหลวงนั้นดีมาก ตราบใดที่ท่านไปถึงเมืองหลวง จะพบว่าท่านสามารถแสดงความสามารถของตัวเองได้มากกว่าในเมืองหลิวเจีย นอกจากนี้ ผู้หญิงในเมืองหลวงนั้นสวยกว่าในเมืองหลิวเจียหลายพันเท่า” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหลิวเทียนฉือก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้งทันทีราวกับมะเขือเทศสุก

ฉินเย่จือยืนอยู่ที่นั่น มองหลิวเทียนฉือที่พูดพล่ามอย่างเย็นชา

เมื่อเผชิญกับสิ่งที่นางพูด เขาก็ไม่สนใจเลย

เมื่อเห็นว่านางพูดจบแล้ว ฉินเย่จือก็หันไปด้านข้างและกำลังจะกลับไป

หลิวเทียนฉือหยุดเขาอีกครั้งโดยไม่กลัวความตาย

ฉินเย่จือไม่สนใจนาง เขาหันหลังกลับและต้องการจากไปอีกครั้ง

แต่หลิวเทียนฉือกลับยืนขวางทางเขาอีกครั้ง

คราวนี้ ฉินเย่จือเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลิวเทียนฉือที่กำลังหน้าแดงก่ำ

เมื่อเห็นเขามองมาที่ตัวเอง หลิวเทียนฉือก็รู้สึกตื่นเต้นมากจนมือไม้สั่นและเรียกอย่างอ่อนโยน “พี่ใหญ่ฉิน…”

ริมฝีปากบางของฉินเย่จือเม้มเบา ๆ และดวงตาของเขาก็หรี่ลง ผู้ที่คุ้นเคยกับเขาจะรู้ดีว่านี่คืออาการของฉินเย่จือก่อนที่เขาจะโกรธ

แต่หลิวเทียนฉือไม่รู้ และเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่จืออย่างมีความหวัง โดยหวังว่าเขาจะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของนางเมื่อครู่นี้

ทันใดนั้น ฉินเย่จือยกยิ้มที่มุมปากของเขา ขณะหลิวเทียนฉือมองเขาที่กำลังยิ้มอยู่ ฉินเย่จือก็ยกเท้าขึ้นและเตะต้นขาของหลิวเทียนฉือด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด

การเตะนี้ดูเหมือนจะเบา แต่เขาแอบออกแรงเล็กน้อย

ครั้นเห็นหลิวเทียนฉือร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็นอนลงบนพื้น จับต้นขาของนาง พลางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่หยุดหย่อน

ฉินเย่จือเพิกเฉยต่อนาง ตบด้านหลังกู้เสี่ยวหวานเบา ๆ และเข้าไปในลานโดยไม่หันกลับมามอง

“คุณหนู ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”

“ท่านพี่หลิว เป็นอะไรหรือไม่? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

แม้ว่าการเตะของฉินเย่จือจะไม่แรงนัก แต่หลิวเทียนฉือก็เป็นผู้หญิง เขาใช้พละกำลังเพียงหนึ่งส่วนเตะไปที่จุดอ่อนไหว ดังนั้นย่อมรู้สึกเจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมดา

เมื่อมองไปยังประตูลานบ้านที่ปิดอยู่ กู้ซินเถาจึงอยากก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธ หมายจะคว้าตัวกู้เสี่ยวหวานจากมือของฉินเย่จือแล้วโยนลงเขาไปเสีย แต่ฉินเย่จือหลบทัน

ทั้งเสี่ยวเถาและกู้ซินเถาถามหลิวเทียนฉือว่าเจ็บหรือไม่

คนหนึ่งจริงใจ แต่อีกคนเสแสร้งจอมปลอม

ครั้นเห็นว่าหลิวเทียนฉือ คุณหนูจากเมืองหลวงได้พบกับสถานการณ์เดียวกันกับตัวนางเอง กู้ซินเถาก็รู้สึกเบิกบานใจอย่างมาก

แต่เสี่ยวเถาเป็นห่วงหลิวเทียนฉือมาก แน่นอนว่านางมีความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ด้วย

ก่อนออกเดินทางมาที่เมืองหลิวเจียแห่งนี้ หลิวฉงหร่านขอให้นางดูแลคุณหนูให้ดีและต้องไม่ทำผิดพลาด ไม่เช่นนั้นนางจะต้องถูกลอกผิวหนังชั้นหนึ่งออก

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เสี่ยวเถาก็รู้สึกขนลุกขนพอง นางพยุงหลิวเทียนฉือขึ้นรถม้า “ยังไม่รีบไปหาหมออีก”

——————————————-