บทที่ 1003 ทางเลือก
“หานฮวง พร้อมรับพลังที่แท้จริงของข้าหรือยัง”
อู๋เซียงเทียนเซี่ยลอยอยู่บนฟ้า มือขวาวาดเป็นวงอยู่ด้านหน้า ชั่วพริบตานั้น ท้องนภาด้านหลังเขาพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง ดูคล้ายจะมีโลกขนาดใหญ่อีกใบเชื่อมต่อเข้ากับโลกอวิชชาฟ้าบุพกาล
โลกขนาดใหญ่แห่งนี้ยิ่งใหญ่อลังการ ยอดเขาสูงชัน ดูราวกับกระบี่เล่มยักษ์มากมาย เสียดแทงสู่ฟากฟ้า โลกขนาดใหญ่กดทับลงมายิ่งดูทรงอำนาจนัก บุตรแห่งสวรรค์สิบยอดฟ้าที่ต่อสู้อยู่ไกลออกไปล้วนหันมามอง
ในการต่อสู้ตัดสินก่อนหน้านี้ เคยมีบุตรแห่งสวรรค์ใช้พลังจากโลกขนาดใหญ่เช่นกัน แต่ไม่มีความตระการตาถึงเพียงนี้ ความทรงอำนาจของมันผิดกันอย่างลิบลับ
ผู้ชมในเมืองทศพิธก็ตกตะลึงเช่นกัน
หานเจวี๋ยมองแวบหนึ่ง โลกของอู๋เซียงเทียนเซี่ยยังคงว่างเปล่า ยังห่างไกลจากการกลายเป็นโลกมหามรรคอีกมากนัก
โลกมหามรรคมิใช่แค่การบุกเบิกสร้างโลกใบหนึ่งขึ้น ยังต้องมีมหามรรคสามพันวิถีร้อยเรียงกลายเป็นระเบียบกฎเกณฑ์และยิ่งต้องมีพลังวิญญาณที่เทียบได้กับฟ้าบุพกาลด้วย รวมถึงมีสรรพสิ่งที่คอยผลักดันให้เกิดการวิวัฒนาการตามกฎเกณฑ์
หานฮวงเผชิญหน้ากับโลกขนาดใหญ่ของอู๋เซียงเทียนเซี่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน ปราณสีม่วงผุดพัวพันท่วมร่างเขา มีเพียงหานเจวี๋ยที่มองออกว่านั่นคือปราณอนธการ
รูปลักษณ์ของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป สองเนตรกลายเป็นสีม่วง ผมดำกลายเป็นขาวยืดยาวจรดข้อเท้า ร่างกายของเขาก็แกร่งกำยำยิ่งขึ้น ปราณอนธการรวมตัวบนร่างเขากลายเป็นเกราะม่วงดุดันทรงพลัง ส่องประกายเยียบเย็น เทียบกับก่อนหน้านี้แล้วดูเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยทีเดียว
ความเปลี่ยนแปลงของหานฮวงทำให้อู๋เซียงเทียนเซี่ยหน้าเปลี่ยนสี เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายที่แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากโข
กลิ่นอายนี้เพียงพอจะกวาดล้างบุตรแห่งสวรรค์ทั้งหมดภายในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลได้!
เขาเป็นใครกันแน่
อู๋เซียงเทียนเซี่ยแตกตื่นอยู่ในใจ เขาเคยพบเห็นเทพมารฟ้าบุพกาลมาไม่น้อย แต่ไม่เคยมีความรู้สึกกดดันเช่นนี้เลย
หานฮวงย่อตัวกระโจนขึ้นไป มาโผล่ตรงหน้าอู๋เซียงเทียนเซี่ยในทันที ทั้งสองสบตากัน ทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร
อู๋เซียงเทียนเซี่ยรับรู้เพียงว่าห้วงมิติรอบตัวถูกแช่แข็ง เขาขยับตัวไม่ได้
ดวงตาหานฮวงเรืองแสงสีม่วง พุ่งเฉียดข้างตัวอู๋เซียงเทียนเซี่ยไป โจมตีทะลวงโลกขนาดใหญ่ของเขา โลกขนาดใหญ่พังทลายลงดังเงาจันทร์กลางวารีบุปผาในคันฉ่อง มวลเมฆบนฟ้าถูกพายุหมุนกวาดม้วน กระจัดกระเจิงวุ่นวาย ราวกับฟ้าจะถล่ม
อู๋เซียงเทียนเซี่ยตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นเลือนหายไป
หานฮวงหันไปมอง อู๋เซียงเทียนเซี่ยปรากฏตัวขึ้นที่ขอบฟ้า อักขระสีดำแถวแล้วแถวเล่าผุดหมุนวนอยู่ด้านหลัง รูปแบบของอักขระสีดำเหล่านี้ดูคล้ายใบหน้าหนึ่ง เป็นใบหน้าที่มองเห็นรูปลักษณ์ไม่ชัดเจน ทว่ากลับทำให้เขาขนลุกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หานเจวี๋ยที่อยู่ในห้องโถงขมวดคิ้ว
พลังเช่นนี้…
เปิดสูตรโกงแล้ว!
มหาเทวาพ้นนิวรณ์ไม่มีจรรยาบรรณในการต่อสู้เลย!
พลังวิเศษของอู๋เซียงเทียนเซี่ยคล้ายกับวิชาอัญเชิญเทพ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พลังของตัวเขาเอง
แต่มีเพียงหานเจวี๋ยเท่านั้นที่ทราบ อริยะมหามรรคและยอดมหามรรครับรู้พลังของผู้สร้างมรรคาไม่ได้ แต่หานเจวี๋ยอยู่เหนือกว่าสรรพสิ่งฟ้าบุพกาล สามารถรับรู้ได้ว่าพลังระดับนี้อยู่เหนือกว่ายอดมหามรรค หากมิใช่ผู้สร้างมรรคาแล้วจะเป็นพลังใดได้อีกเล่า
“นี่คือวิชาพ้นนิวรณ์ เจ้าแพ้แล้ว!”
อู๋เซียงเทียนเซี่ยมองหานฮวงอย่างเหยียดหยาม เอ่ยวาจาเย็นชา
หานฮวงหัวเราะหยัน “ลูกไม้เล็กน้อยก็กล้ายกมาอวดอ้าง!”
เขาโจมตีอู๋เซียงเทียนเซี่ยอีกครั้ง
เหนือยอดเมฆา
เทพมหาทัณฑ์มองไปที่อู๋เซียงเทียนเซี่ย ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น พลังวิเศษของเขาทำให้ข้าไม่สบายใจ ผิดปกติ…”
เทพมหาทัณฑ์ฉงนอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่าจะมีพลังจากนอกฟ้าบุพกาลแทรกซึมเข้ามาในเมืองทศพิธ หรือว่าอู๋เซียงเทียนเซี่ยคือหนึ่งในบรรดานั้นด้วย
แววตาที่เขามองอู๋เซียงเทียนเซี่ยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในเวลานี้เอง เขาพลันรับรู้ถึงบางอย่างได้ หันไปมองทันที
มองเห็นเงาร่างหนึ่งเหาะเข้ามาจากปากทางเข้าที่พวกเขาเข้ามาก่อนหน้านี้ เป็นชิงเทียนเสวียนจี
เทพมหาทัณฑ์จดจำชิงเทียนเสวียนจีได้ เป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่ค่อนข้างโดดเด่นในงานชุมนุมฟ้าบุพกาล
เด็กคนนี้มาได้อย่างไร หรือว่าคิดจะบุกเข้ามาร่วมศึกตัดสินของสิบยอดฟ้าเพื่อสร้างชื่อก้องฟ้าบุพกาล
ผิดปกติ!
ด้วยระดับตบะของเขาบุกเข้ามาก็ตายเปล่ามิใช่หรือ
หลังจากชิงเทียนเสวียนจีปรากฏตัวขึ้นก็ไม่ได้มุ่งเข้าสู่สนามต่อสู้ แต่นั่งสมาธิบนพื้น พลังวิญญาณฟ้าดินไหลทะลักเข้าหาเขาอย่างต่อเนื่อง รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนค่อยๆ ก่อตัวเป็นลมมรสุม
สีหน้าเทพมหาทัณฑ์แปรเปลี่ยนเล็กน้อย
ชิงเทียนเสวียนจีสามารถดูดซับพลังวิญญาณของโลกนี้ได้ แปลว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับโลกนี้ เพราะอย่างน้อยเทพมหาทัณฑ์ก็ทำแบบนี้ไม่ได้
นอกจากอู๋เซียงเทียนเซี่ยแล้วยังมีชิงเทียนเสวียนจีอีก…
ที่แท้แล้วโลกนี้ส่งกองกำลังแทรกซึมเข้าสู่งานชุมนุมฟ้าบุพกาลมากเท่าไรกันแน่
ขณะที่เทพมหาทัณฑ์กำลังจะลงมือ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในหูเขา ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี
….
การต่อสู้ระหว่างสิบยอดฟ้าดำเนินอยู่หลายวัน บุตรแห่งสวรรค์คนแรกที่ตกรอบไปคือเต้าจื้อจุน
เต้าจื้อจุนพ่ายแพ้หวงจุนเทียน เกือบดับสูญไปแล้ว โชคดีที่เทพมหาทัณฑ์ออกโรงช่วยเหลือและส่งตัวกลับไปยังเมืองทศพิธ
เรื่องนี้ทำให้เต้าจื้อจุนหดหู่อย่างยิ่ง ถึงจะได้รับคำปลอบใจจากจ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้และเหล่าตาน เขาก็ยังคงเซื่องซึมอยู่ดี
“ไม่เป็นไรหรอก อีกฝ่ายคือเจ้าชะตา เป็นคนใหญ่คนโตเลื่องชื่อ แม้แต่หลี่เต้าคงและปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก็ยังทำงานอยู่ใต้อาณัติเขาทั้งสิ้น”
ฟางเหลียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แววตาเปี่ยมด้วยความอิจฉา
เขาไม่ได้เข้ารอบหมื่นผู้กล้าด้วยซ้ำ ในมุมมองของเขาความสำเร็จของเต้าจื้อจุนเป็นจุดที่เขาไม่กล้านึกถึงด้วยซ้ำ
คนอื่นๆ ก็พูดปลอบใจเช่นกัน
เต้าจื้อจุนอารมณ์ไม่ดียิ่งกว่าเดิม ขณะที่กำลังจะร้องด่า จู่ๆ เขาก็เงียบไป
‘รีบออกจากเมืองทศพิธ’
เสียงของเทวาที่หนึ่งดังขึ้นในหูของเต้าจื้อจุน เต้าจื้อจุนที่เดิมทีรู้สึกหดหู่พลันกระวนกระวายขึ้นมา
เกิดอะไรขึ้น
บอกว่าต้องการชักจูงบุตรแห่งสวรรค์ในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลมาเป็นพวกเท่านั้นไม่ใช่หรือ
เต้าจื้อจุนฟังจากวาจาของเทวาที่หนึ่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการลงมือกับเมืองทศพิธ
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้และเหล่าตานก็มีสีหน้าไม่น่ามองแล้ว คาดว่าคงได้รับการถ่ายทอดเสียงจากเทวาที่หนึ่งเช่นกัน
สามพี่น้องเริ่มถ่ายทอดเสียงหารือกัน
“พวกเราแค่แสร้งทำมิใช่หรือ”
“เทวาที่หนึ่งไม่มีเจตนาดีจริงๆ ด้วย แต่ยังมีอาจารย์อยู่ พวกเราจะกลัวอันใดเล่า”
“ถูกต้อง หากพวกเราหนีไปเช่นนี้ แล้วสำนักซ่อนเร้นจะเป็นอย่างไร”
“ไหนเลยจะไม่กลายเป็นทรยศต่อสำนักไปจริงๆ”
“ถึงแม้เทวาที่หนึ่งจะเคยเอ่ยถึงเจ้าสำนัก แต่เจ้าสำนักไม่เคยถ่ายทอดคำสั่งต่อพวกเราเลย ย่อมไม่อาจดำเนินการส่งเดชได้”
ทั้งสามลงความเห็นกันเร็วยิ่ง เลือกอยู่ต่อ
เต้าจื้อจุนเริ่มเรียกหาหานเจวี๋ยในใจ ด้วยพลังมรรคของหานเจวี๋ย เขาเชื่อว่าหานเจวี๋ยจะรับรู้ได้
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
ไม่นานนัก เสียงของหานเจวี๋ยก็แว่วขึ้นในหูของเต้าจื้อจุน “มีเรื่องใด เข้าฝันมาคุยกันเถอะ”
เต้าจื้อจุนนั่งขัดสมาธิทันที เริ่มขอเข้าฝัน
ในแดนความฝัน เต้าจื้อจุนเล่าเรื่องทั้งหมดของเทวาที่หนึ่งให้ทราบ พอได้ทราบว่าเทวาที่หนึ่งอ้างชื่อหานเจวี๋ยไปหลอกลวง หานเจวี๋ยก็ยิ้มออกมา
เขาไม่ถูกชะตากับเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลยิ่งกว่าเดิม
วิธีนี้ไม่ไว้หน้ากันเลยจริงๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าอยู่ในเมืองต่อไปเถอะ ทุกอย่างยกให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงเบา
เมื่อแดนความฝันสิ้นสุดลง ในฉากหน้าหานเจวี๋ยยังชมการต่อสู้ต่อไป แต่เอ่ยถามในใจว่า ‘หากข้ายอมช่วยเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจะสามารถโค่นล้มฟ้าบุพกาลได้หรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่ได้]
จุ๊ๆ เด็ดขาดจริงๆ!
ดูเหมือนเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจะประเมินความแข็งแกร่งของเจ้านวฟ้าบุพกาลต่ำไปเสียแล้ว
ในเมื่อเป็นหนทางสู่ความตายเท่านั้น หานเจวี๋ยย่อมไม่เอาด้วย
ถึงแม้เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจะชักจูงเขาเข้าพวก แต่กลับวางแผนต่อศิษย์ของเขา
ส่วนเจ้านวฟ้าบุพกาลอย่างน้อยก็ยอมรับประกันความปลอดภัยของมรรคาสวรรค์
เมื่อนำทั้งสองฝ่ายมาเทียบกันแล้ว ทำการตัดสินใจได้ง่ายยิ่ง!
เขาต่างจากผู้สร้างมรรคาคนอื่นๆ ที่พอพิสูจน์มรรคก็ถูกเจ้านวฟ้าบุพกาลพบเห็นทันที จากนั้นก็ทำการสะกดโลกมหามรรคของคนผู้นั้นไว้ แต่หานเจวี๋ยมีอาณาเขตเต๋าที่ใช้ปกป้องตัวเองได้