บทที่ 942 ตอนอวสาน

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ไม่เป็นไร นั่นมันเป็นเรื่องในอนาคตแล้วล่ะ เรื่องในอนาคต ไม่มีใครฟันธงได้แน่นอนหรอก ก็ไม่แน่ว่าถ้าพวกเราอยู่ข้างล่างนานๆไป เธออาจจะหวั่นไหวกับฉันก็ได้?” นิรุตต์ยิ้มแปลก

วารุณีตอบอย่างเย็นชา “แกฝันไปเถอะ มันจะไม่มีวันตลอดไป!”

“งั้นเรามาลองดูกันดีมั้ย?” นิรุตต์อยู่ๆก็เดาะไกปืน

เสียงไกปืน ทำให้ทุกคนตกใจชั่วขณะ

นัทธีหน้าถอดสี รูม่านตาหดตัวเกือบจะเท่าปลายเข็ม

“นิรุตต์ แกกล้าลั่นไกหรอ!”

นิรุตต์เลิกคิ้วหันไปมองเขา “ฉันมีอะไรไม่กล้าเหรอ?นัทธี ตั้งแต่เล็กจนโต แกก็ทำตัวเหนือฉันมาโดยตลอด ฉันเป็นลูกหลานรุ่นที่3ของตระกูลไชยรัตน์แท้ๆ แต่ทำไมกลับกลายเป็นว่า แกเหนือกว่าฉันไปหมดทุกอย่าง ได้อะไรก็มากไปกว่าฉัน ความรักของพ่อแม่ ความชอบของคุณปู่ แม้แต่คนรัก แกก็แย่งจากฉันไป โลกใบนี้ ช่างไร้ความยุติธรรมจริงๆ”

“ดังนั้น แกก็เลยคอยเกลียดนัทธีอยู่ตลอด เพราะว่าแกอิจฉาเขาใช่มั้ยล่ะ?วารุณีเย้ยหยัน

นิรุตต์เหอะ “ก็ใช่น่ะสิ ฉันกำลังคิดว่า ฉันกับเขาต่างก็เป็นลูกหลานตระกูลไชยรัตน์เหมือนกัน แล้วมันเรื่องอะไรที่ฉันจะต้องตามหลังเขาอยู่หนึ่งก้าว”

“ดังนั้น เขาก็เลยสมควรตายงั้นหรอ?” วารุณีถามด้วยความโมโห “ทุกๆคนเกิดมาต่างกัน ซึ่งนั่นมันก็ความหมายว่าเราก็จะมีอนาคตที่ต่างกันด้วย คุณเกิดในครอบครัวสามีภรรยาขงเบ้ง พวกเขาไม่รักคุณ มันไม่ใช่เพราะนัทธี แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรที่จะเอาทุกๆเรื่องที่คุณประสบมาโยนความผิดให้กับนัทธี ความโชคร้ายของคุณ มันไม่เกี่ยวกับเขา คุณไม่มีสิทธิ์ไปโทษเขา แม้สิทธิ์ที่จะอิจฉาเขาก็ไม่มี คุณมันก็แค่หนอนเน่าในท่อโสโครก คนอื่นไม่รักคุณ แล้วคุณก็จะไม่รักตัวเองเลยรึไง คุณได้สู้เพื่อตัวเองมั้ย? คุณไม่แม้แต่จะเคยทำมันด้วยซ้ำ ดีแต่โทษทุกคน โทษนัทธี คุณเป็นแบบนี้ ก็เพราะคุณทำตัวเอง!”

คำพูดของวารุณี พูดไม่ได้เลยว่าไม่ทิ่มแทงใจ

นัทธีฟังจนหางตากระตุก อยากจะให้เธอหยุดพูด หยุดยั่วยุนิรุตต์อีก ถ้าหากว่าเขาเกิดลั่นไกขึ้นมาจะทำยังไง?แต่ว่าถูกพงศกรห้ามไว้ พงศกรส่ายหน้าให้กับเขา และส่งสายตาให้เขา บอกเขาว่า นักลอบสังหารเพิ่งจะตอบรับมา พร้อมเหนี่ยวไกฆ่านิรุตต์ได้ทุกเมื่อ

ดังนั้น ปล่อยให้วารุณีพูดต่อไปก็ไม่เป็นไร ไม่แน่ว่านิรุตต์อาจจะโมโหหลุดเผลอพิรุธอะไรออกมา ยิ่งจะทำให้นักลอบสังหารจัดการได้ง่ายขึ้น

เพราะเหตุนี้ นัทธียังคงไม่ได้พูดอะไร ยอมให้วารุณีพูดต่อไป

ทางด้านนี้ นิรุตต์พอได้ยินวารุณีพูดดังนั้น แววตางุนงงในทันใด และหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ “ทำตัวเอง?ที่แท้ที่ผมเป็นแบบนี้คุณมองว่าผมทำตัวเองงั้นหรอ ใช่ คนอื่นไม่รักเรา เราก็ต้องรักตัวเราเอง ต้องสู้เพื่อตัวเอง ผมไม่เคยทำมันมาก่อนเลย ถ้างั้นทำตอนนี้ก็คงไม่สายไป วารุณี คุณก็รู้ ผมรักคุณมากมาตลอด ตอนนี้ผมไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น ผมต้องการแค่คุณ ดังนั้นพวกเราตายด้วยกันเถอะนะ?”

พูดจบ นิรุตต์มองดูวารุณี ภายใต้สีหน้าหวาดกลัวของวารุณี เขายิ้มเสียสติพร้อมกับเดาะไกปืน

“อย่า!” นัทธีตะโกนร้องสุดเสียง พร้อมกับวิ่งไปหาวารุณี

ปัง!

เสียงปืนดัง

วินาทีต่อมา เลือดไหลทะลักออกมา กระเด็นเปื้อนบนใบหน้าของวารุณี

วารุณีเห็นเลือดไหลออกจากหัว ร่างนั้นค่อยๆล้มลงไป นิรุตต์ยังคงยิ้มให้กับเธอ ม่านตาหดตัว หลังเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เธอก็เป็นลมสลบไป

แต่ว่าก่อนจะสลบไป เธอมองเห็นนัทธีและพงศกรกำลังวิ่งเข้ามาหาเธอ

2วันต่อมา

วารุณีสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย กรีด อ๊า ลุกขึ้นนั่งบนเตียง

นัทธีที่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียงม่อยหลับไป พอได้ยินเสียงเธอ ก็สะดุ้งตื่นทันที และมองเธอด้วยความตื่นเต้น “ณี ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว?”

วารุณีเหงื่อเปียกชุ่มศีรษะมองเขา อ้าปาก อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ด้วยเพราะความกลัว จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

นัทธีสวมกอดเธอเอาไว้ “ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว”

เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังกลัวอะไร อาจจะเป็นเพราะภาพก่อนตายของนิรุตต์ ทำให้เธอตกใจ

ดังนั้น สองวันมานี้ เธอหลับๆตื่นๆ หลับไปแล้วก็เหมือนกำลังฝันร้าย พูดพึมพำในปาก ทำให้เขาเป็นห่วงอย่างมาก

คงจะเป็นเพราะอ้อมกอดอันอบอุ่น ปลอดภัยของนัทธี ร่างกายที่สั่นเทาของวารุณีก็กลับมาสู่ภาวะปกติ น้ำเสียงก็กลับมาเป็นปกติ สองวันที่เธอไม่ได้พูด ทำให้เสียงของเธอแหบพร่าเล็กน้อย

“นิรุตต์ ตายแล้วใช่มั้ย?” เธอหลับตา แอบอิงอยู่ในอ้อมกอดนัทธี

นัทธีอืม แต่สีหน้าเหมือนกับกำลังสงสัยอะไรอยู่

วารุณีรับรู้แล้ว เงยหน้ามองเขา “มีอะไรรึเปล่า?”

“ปืนที่นิรุตต์โยนให้ผม รวมทั้งปืนที่จ่อหัวคุณ ไม่มีลูกกระสุน”

“อะไรนะ?” วารุณีตะลึง

นัทธีพยักหน้า “ใช่มันคือเรื่องจริง ตอนที่นิรุตต์ตาย คนของผมเข้าไปเคลียร์พื้นที่ พบว่าเต็นท์ที่พวกคุณออกมา มีอาวุธทางทหารมากมาย แต่ปืนสองด้ามนี้กลับไม่มีลูกกระสุน เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เป็นไปได้ ก็คือนิรุตต์ไม่ได้ต้องการฆ่าคุณจริงๆ และก็ไม่ได้ต้องการให้ผมฆ่าตัวตาย”

“ถ้างั้นทำไม……”

“เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว” นัทธีตัดบทเธอ “เขาตั้งใจวางแผนเมื่อคืนทั้งหมด เพื่ออยากจะให้พวกเราฆ่าเขา”

วารุณีเงียบขรึม ตอนนี้เธอคาดไม่ถึงจริงๆว่า เรื่องราวมันจะกลับกลายเป็นแบบนี้ได้

ผ่านไปสักพัก ริมฝีปากเธอเริ่มขาวซีด พึมพำเบาๆ “ไม่อยากอยู่แล้ว…..มิน่าล่ะ”

“คุณรู้อะไรมารึเปล่า?” นัทธีก้มหน้ามองเธอ

วารุณีขบริมฝีปาก “หลังจากที่ฉันถูกเขาลักพาตัว เขามักจะพูดแบบว่าเจอหน้ากันครั้งสุดท้ายแบบนี้อยู่ตลอด ไม่งั้นก็เหม่อมองฉันเหมือนกับว่าอยากจะจดจำฉันเอาไว้ในความทรงจำยังไงยังงั้น แถมยังให้สร้อยคอฉันด้วย ที่แท้ตอนนั้นเขาก็เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว เออ แล้วสร้อยล่ะ?”

เธอลูบไปลูบมาบนหลังคอ ไม่เจอ

นัทธีเม้มปากเอ่ยราบเรียบ “ผมทิ้งมันไปแล้ว ผมรู้ว่านั่นเป็นของที่นิรุตต์มอบให้คุณ ในนั้นมีชื่อของเขาอยู่ด้วย ผมก็เลยทิ้งมันไป” วารุณีพยักหน้าหงึกๆ “ทิ้งไปก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้เขาไม่ต้องการจะเอาชีวิตพวกเรา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเราควรจะให้อภัยเขา สิ่งที่เขาทำลงไป ไม่มีทางที่จะเอากลับคืนมาได้ ของของเขา ฉันก็ไม่ได้อยากจะเก็บไว้อยู่แล้ว ให้มันเป็นแบบนี้แหละ เขาก็ตายไปแล้ว กลายเป็นอดีตไปแล้ว ต่อไปนี้พวกเราไม่ต้องเอ่ยถึงเขาอีกดีมั้ย?”

“ตกลง” นัทธีพยักหน้า ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่พอดี

“ต่อไปนี้ ไม่มีใครสามารถบีบบังคับพวกเราได้อีกแล้ว และจะไม่มีใครกล้าทำร้ายคุณอีก” นัทธีโอบกอดวารุณี เสียงทุ่มต่ำเอ่ย

วารุณีอืม “ใช่แล้ว ต่อไปนี้ พวกเราไม่ต้องคอยระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาอีกต่อไปแล้ว สามารถใช้ชีวิตอย่างสบายใจ เออใช่ พงศกรล่ะ?”

เธอถาม

ถึงอย่างไรพงศกรก็ได้ไปหาทางช่วยเธอ ยังไงซะเธอก็ควรที่จะถามถึงบ้าง

“เขากลับตระกูลจิรดำรงค์ไปละ เห็นว่าจะต้องได้รับการอภัยจากคนในตระกูลจิระดำรงค์แล้วก็หัวใจของปาจรีย์ด้วย ก็เลยอยู่นานไม่ได้ เขาบอกให้พวกเราไม่ต้องห่วงเขา” นัทธีตอบ

วารุณียิ้ม “ที่แท้ก็อย่างงี้นี่เอง แต่ว่าการที่พงศกรอยากจะได้รับการอภัยจากปาจรีย์แล้วก็คุณลุงกับคุณป้า คงจะไม่ง่ายเลยนะ”

“มันก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ทั้งหมดเป็นเพราะเขาก่อมันเอง เขาก็ต้องจัดการมันด้วยตัวเอง”

“ที่พูดมามันก็ถูก” วารุณีพยักหน้า พลางถาม นาน่าล่ะ?”

“เธอสบายดี เมื่อวานโทรคุยกัน เธอออกไปหารุ่นพี่เธอละ บอกให้คุณไม่ต้องเป็นห่วงเธอ”

“อ๋อ” วารุณีนึกขึ้นได้ “แล้วลูกเราล่ะ?”

นัทธีกำลังจะตอบ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกทันที

อารัณกับไอริณ รวมทั้งพี่นันทาที่อุ้มสุขใจปรากฏตัวอยู่หน้าประตู

มองเห็นเด็กทั้งสามคน ใบหน้าของวารุณีเปล่งรอยยิ้มงดงามออกมา

“หม่ามี้” อารัณกับไอริณเห็นแม่ฟื้นขึ้นมา ดวงตาพริ้มเป็นประกาย หลังจากนั้นก็วิ่งไปที่เตียงใหญ่พร้อมๆกัน

สุขใจตื่นขึ้นมาทันที เขาไม่วิ่งเหมือนพี่ชายกับพี่สาว แต่ก็อ้าแขนน้อยๆ เข้าหาวารุณี เหมือนที่พี่ชายกับพี่สาวกอดหม่ามี้

เห็นแบบนี้แล้ว นัทธีเดินเข้าไปอุ้มสุขใจจากพี่นันทา วางไว้ในอ้อมกอดของวารุณี

วารุณีนั่งอยู่บนเตียง กอดสุขใจไว้ในอ้อมอก และตัวเองก็ซบอยู่ในอกของนัทธี ฝาแฝดยืนอยู่บนเตียง ภาพสมาชิกในบ้านทั้ง5คนช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก

พี่นันทาอดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือออกมา ถ่ายภาพทั้ง5คน1ภาพ

แชะ ภาพความอบอุ่นภาพนี้ถูกสตาร์ฟไว้บนหน้าจอมือถือ

วินาทีแห่งความสุข และชั่วนิรันดร์

【จบบริบูรณ์】