War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2315
ตอนที่ 2,315 : อัสนีทัณฑ์สายสุดท้าย!
ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ หลังจากที่มันแฉสถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนออกมาหมดสิ้นแล้ว มันก็เฝ้ามองเรื่องราวอย่างเงียบงันอยู่กลางฟ้า ไม่ได้หวนกลับไปอยู่บนแพเมฆหายนะอะไร
สำหรับผู้ชมของ 3 วัง 6 ตำหนักทั้งหลาย ก็พากันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย้ยหยัน กล่าวค่อนแคะออกมา “ข้าไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามขุมพลังของพวกมนุษย์กำลังจะพบจุดจบเช่นนี้! ตอนแรกพอเห็นมันทานรับอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 80 ได้อย่างไร้เรื่องราว ข้าก็หลงคิดว่ามันคงข้ามผ่านอัสนีทัณฑ์สุดท้ายได้ง่ายดาย และบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะเสียอีก…”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน…หลงคิดว่ามันจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ…แต่มิคิดเลยว่าที่แท้เรื่องราวกลับเป็นเช่นนี้!”
“ท่านประมุขเผ่าช่างร้ายกาจยิ่งนัก เพียงวาจาไม่กี่คำก็ทำลายความหวังของต้วนหลิงเทียนได้ง่ายดาย…หากเป็นดั่งที่ท่านประมุขว่า ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนนั่นจะต้านรับอัสนีทัณฑ์สายสุดท้ายได้สำเร็จ!”
“หึหึ! ช่างน่ายินดีเสียนี่กระไร อัจฉริยะไร้ผู้ต้านของพวกมนุษย์ สุดท้ายก็ต้องมาตายตกในเมืองของเผ่าปีศาจมนุษย์เรา!!”
…… ……
ขณะที่ทั้งหมดกล่าววาจาค่อนแคะ สายตาที่ใช้มองไปยังต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างอะไรจากสายตาที่พวกมันใช้มอง คนตาย!
เพราะในสายตาของพวกมันตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ต่างอะไรไปจากคนที่ตายไปแล้ว! ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะประมุขเผ่าของพวกมันตัดสินให้ต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งคนที่ตายไปแล้ว!!
นอกจากนี้ในสายตาของพวกมัน
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่อาจต้านทานอัสนีทัณฑ์สายสุดท้ายได้อีกต่อไป!
เพราะต่อให้ต้วนหลิงเทียนสามารถต้านทานอัสนีทัณฑ์สุดท้ายและกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะได้จริงๆ ด้วยมีประมุขเผ่าปีศาจของพวกมันอยู่ อย่างไรต้วนหลิงเทียนก็เสมือนถูกลิขิตให้ต้องพบชะตาตายตก!!
ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!
……
เหนือขึ้นไปยังแพเมฆหายนะสู่สวรรค์ เสียงฟ้าร้องคำรามยังคงดังไม่หยุด
ท่ามกลางแพเมฆหายนะทะมึนมืดก็ปรากฏเส้นสายอัสนีประหนึ่งอสรพิษสีม่วงแลบลั่นแปลบปลาบไม่หยุด สร้างความครั่นคร้ามให้แก่ทุกสรรพชีวิตเบื้องล่าง
“อีกไม่นาน อัสนีทัณฑ์สายสุดท้ายก็จักฟาดลงมาแล้ว!”
ตอนนี้ด้านจ้าววังเซียนสัญจรอวี่เหวินฮ่าวเฉิน ก็เลิกให้ความสนใจอะไรต้วนหลิงเทียนสืบไป มันหันมาโคจรพลังเพื่อฟื้นฟูร่างกายให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุด หลังจากที่อาการบาดเจ็บทั่วร่างหายดีดังเดิมแล้ว มันจะได้พร้อมเผชิญหน้ากับอัสนีทัณฑ์สายสุดท้ายของหายนะทัณฑ์สวรรค์!
ด้วยมีวิธีข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากจ้าววังเซียนสัญจรรุ่นก่อน อวี่เหวินฮ่าวเฉิน ย่อมมีความมั่นใจเต็มกระเป๋า ว่าสามารถพิชิตอัสนีทัณฑ์สุดท้ายและข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ!!
‘วันนี้ข้า อวี่เหวินฮ่าวเฉิน กำลังจักกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ…ข้าจักนำพาวังเซียนสัญจรให้ก้าวไกลเหนือล้ำขุมพลังใดๆในเผ่าปีศาจมนุษย์ และเป็นขุมพลังผู้นำเพียงหนึ่งเดียวของ 3 วัง 6ตำหนัก!!’
จังหวะนี้จ้าววังเซียนสัญจรอย่างอวี่เหวินฮ่าวเฉิน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นสุดขีด
ในขณะที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินตื่นเต้นนั้น คนของวังเซียนสัญจรเองก็ตื่นเต้นไม่ต่าง!
“อีกมินานท่านจ้าววังของพวกเราก็จักบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว!!”
“จากนี้ไปในบรรดาขุมพลังของเผ่าปีศาจมนุษย์ วังเซียนสัญจรของพวกเราจักกลายเป็นเอกอุ! เป็นผู้นำเพียงหนึ่งเดียว!!”
……
ต่างกันกับทางฝั่งของวังเซียนสัญจร
สำหรับคนของขุมพลังที่เหลือ โดยเฉพาะจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง พอตระหนักได้ว่าอีกไม่นานอวี่เหวินฮ่าวเฉินจะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ สีหน้าของมันก็เริ่มมืดลงทันใด
แม้ความสำเร็จในการทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะของอวี่เหวินฮ่าวเฉินจะเป็นเรื่องดีของเผ่าปีศาจมนุษย์ หากแต่สำหรับพวกมันแล้ว…นี่กลับไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่!
“พี่เทียนมิว่าเรื่องราววันนี้จักจบลงเช่นไร…เค่อเอ๋อจะเคียงข้างท่านไปมิห่าง ไม่มีวันแยกจากท่านไปไหนอีก…”
สองตาของเค่อเอ๋อก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่วาง แววตายังฉายชัดถึงความแน่วแน่ยิ่งกว่าครั้งใด
เค่อเอ๋อย่อมสังเกตเห็นสายตาที่ต้วนหลิงเทียนมองมาที่นางกับลูกเมื่อครู่ เช่นนั้นนางจึงรู้สถานการณ์ดี และได้เตรียมใจพร้อมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว
……
ณ ระนาบเทวโลก จี้เมี่ยเทียน*
(เดียวดายผลาญสวรรค์)
จี้เมี่ยเทียนนั้น เป็นหนึ่งในเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก ซึ่งเป็นระนาบเทวโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลนัก ไม่ทราบว่าใหญ่โตกว้างขวางกว่าระนาบโลกียะทั้งหลายกี่เท่าต่อกี่เท่า
“ฮาย…”
ตอนนี้ ณ สถานที่แห่งหนึ่งบนแดนสวรรค์จี้เมี่ยเทียนอันกว้างใหญ่ไพศาล มีใครบางคนกำลังถอนหายใจออกมาอย่างระอา…
และเสียงถอนหายใจนี้ก็ดึงขึ้นมาจากสถานที่ลี้ลับแห่งหนึ่งในจี้เมี่ยเทียน…
สถานที่ลึกลับแห่งนี้ในจี้เมี่ยเทียนนั้น ไม่ว่าแหงนมองไปทางใดก็เห็นเพียงฟ้าเวิ้งว้าง หากไปยืนอยู่ชายขอบของสถานที่แห่งนี้แล้วก้มมองลงไป ก็จะเห็นเพียงความมืดอันไร้สิ้นสุด เป็นดั่งหุบเหวลึกไร้ก้นบึ้ง!
และเหนือขึ้นไปจากหุบเหวลึกอันไร้ก้นบึ้งที่ว่า ก็ปรากฏเกาะลอยล่องกลางฟ้าเกาะหนึ่ง
เกาะแห่งนี้หากมองจากไกลๆ ก็ประหนึ่งธุลีเม็ดหนึ่งที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าอันไร้สิ้นสุด
หากมองให้ชัดจะพบว่ารอบเกาะลอยดังกล่าวเต็มไปด้วยเมฆหมอกที่กำลังโชยเอื่อยพัดผ่าน ยากจะแลเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน
และหากท่านสามารถมองผ่านเข้าไปในม่านเมฆหมอกดังกล่าวให้ดี ย่อมแลเห็นบางสิ่งอันพิสดารแฝงเร้นอยู่
ภายในเมฆหมอกที่ปกคลุมฟุ้งตลบโดยรอบเกาะแห่งนี้ กลับมีกระบี่ไร้สภาพโปร่งใสจำนวนมหาศาลลอยล่องอยู่อย่างเงียบงัน กระบี่ไร้สภาพดังกล่าวยังมีรูปแบบหลากหลายชนิด
และถ้าสามารถมองผ่านเมฆหมอกและกระบี่พลังไร้สภาพจำนวนนับอนันต์ที่ประหนึ่งจะก่อเกิดเป็นค่ายกลกระบี่อันน่าพรั่นพรึงไปได้ ก็จะพบอีกว่า…
บานเกาะเล็กๆแห่งนี้ ยังมีบ้านลานเล็กๆหลังหนึ่งปลูกสร้างเอาไว้ บ้านลานเล็กๆที่ว่าเห็นชัดว่าปลูกสร้างขึ้นมาจากไม้ทั้งหมด แลดูเรียบง่ายสมถะนัก ไม่ได้สวยงามเลิศหรูแต่อย่างใด
นอกจากนั้นในลานของบ้านไม้แห่งนี้ ปรากฏร่างชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ประกอบแลดูเรียบง่ายธรรมดา ประหนึ่งจะสร้างขึ้นมาอย่างลวกๆ
ชายหนุ่มแม้นั่งอยู่ในอริยาบทสบายๆ กลับพาลให้ผู้ที่มองชมรู้สึกเสมือนคนคล้ายเลือนรางมิอาจจับต้องราวกับเป็นเพียงความว่างเปล่าอันไร้ตัวตนเท่านั้น
ชายหนุ่มผู้นี้สวมใส่ชุดจอมยุทธ์สีเทาอ่อน สภาพชุดแลดูซอมซ่อเล็กน้อยคล้ายมันไม่ได้ใส่ใจกับเสื้อผ้าอาภรณ์สักเท่าไหร่ เส้นผมยาวสลวยถูกมัดรวบไว้ด้านหลัง คิ้วมันคมกล้าปานมีดดาบ ใบหน้าคมเข้มประหนึ่งหยกเสลา มองแล้วมีเสน่ห์ชอบกล ยากที่ใครได้แลมองแล้วจะละสายตาออกไปโดยง่าย
สายตาสงบของชายหนุ่มที่กระจ่างประหนึ่งล่วงรู้ทุกสิ่ง กำลังจดจ้องไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า
ซัว! ซัว! ซัว!
……
ท่ามกลางความว่างเปล่าเบื้องหน้า กลับปรากฏม่านแสงหนึ่งที่กำลังฉายเรื่องราวที่ผันเปลี่ยนไปมา เป็นอะไรที่ดึงดูดสายตาชายหนุ่มผู้นี้นัก
ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้อยู่ที่นี่
หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ด้วยคงสามารถรู้ได้ทันที
ว่าฉากเรื่องราวที่สะท้อนอยู่บนม่านแสงที่กางขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่านั้น ที่แท้ล้วนเป็นฉากเรื่องราวการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ของเขาในวังเซียนสัญจร! ไม่เพียงเห็นเขาชัดเจน ยังครอบคลุมไปถึงทุกชีวิตที่รอการมาถึงของอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 81 ของเขา!!
“หึ!”
ทันใดนั้นปรากฏเสียงแค่นสบถเย็นชาดังขึ้นจากด้านหลังของชายหนุ่มที่นั่งบนโต๊ะ
อย่างไรก็ตามเสียงแค่สบทเย็นชานี้หาได้มุ่งเป้าไปที่ชายหนุ่มที่กำลังนั่งชมเรื่องราวในม่านแสงที่โต๊ะไม่ หากแต่เป็นอีกร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มที่นั่งอยู่เช่นกัน
ด้านหลังชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ชมฉากเรื่องราวในม่านแสง มีร่างผู้คนยืนประกบอยู่ 2 คนด้วยกัน
เป็นชายหนุ่มร่างกำยำมาในชุดแดงเลือดนก กับชายชราร่างกายผ่ายผอมในชุดคลุมสีแดงเพลิง
และผู้ที่พ่นลมสบถออกมาเสียงเย็น ก็เป็นชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกที่กำลังหันไปมองชายชราร่างผ่ายผอมในชุดแดงเพลิง มันยังกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “หากเจ้ามิคิดเองเออเอง ยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วยการถ่ายทอดพลังสุริยันให้นายน้อยแต่แรก…มีหรือที่นายน้อยจักต้องมาเผชิญหน้ากับหายนะและเรื่องราววุ่นวายเช่นนี้?”
ชายชราที่ได้ยินน้ำเสียงค่อนแคะแฝงตำหนิ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเฝื่อนๆออกมาอย่างรู้ผิด “ใต้เท้าวิญญาณกระบี่กวงหลิง…ยามนั้นตัวข้าน้อยไหนเลยจักรู้ได้ ว่าเรื่องราวมันจักกลับกลายเป็นเช่นนี้เล่า…หากรู้แต่แรก ข้า…”
“เอาล่ะ…”
ชายชรากล่าวถึงจุดนี้ ชายหนุ่มที่นั่งชมดูเรื่องราวบนโต๊ะไม้ ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสงบให้ความรู้สึกเสมือนมีสายลมอบอุ่นฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน
“ดังคำกล่าว ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด…ข้าเองก็มิคิดตำหนิเจ้าเรื่องนี้หรอก…สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็เพราะเจ้ากระทำไปด้วยความหวังดี”
“นอกจากนี้ นี่ก็มิจำเป็นต้องเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับเจ้าหนูเสียหน่อย…”
สายตาของชายหนุ่มที่กำลังจับจ้องไปยังร่างในชุดสีม่วงที่ฉายในม่านแสงไม่วางตานั้น เผยความลึกล้ำประการหนึ่งออกมาให้เห็น
กระทั่งยังมองจ้องราวกับโลกหล้าในสายตาของมัน คงเหลือเพียงชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดม่วงเท่านั้น
“นายท่าน…ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอะไรหรือ?”
ต่อหน้าชายชราในชุดแดงเพลิง ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกกประหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจสุดไพศาล หากแต่ต่อหน้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะนั้น ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกกลับเผยความเคารพเทิดทูนออกมาจากใจ
“อ้อ…พวกเจ้ารอดูเองเถอะ…”
อย่างไรก็ตามหลังได้ยินคำถามของชายในชุดแดงเลือดนก ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้เพียงยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย แต่ไม่กล่าวบอกอะไรออกมา
ทันใดนั้นไม่ว่าจะชายหนุ่มร่างกำยำในชุดแดงเลือดนก หรือชายชราผ่ายผอมในชุดคลุมสีแดงเพลิง ก็พากันจับจ้องมองไปยังภาพเรื่องราวในม่านแสงเบื้องหน้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะทันที
กระทั่งตอนนี้ในสายตาของพวกมันสองคน ยังบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นนัก ว่าที่แท้เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปกันแน่!
หากต้วนหลิงเทียนได้มาเห็นร่างชายชราผ่ายผอมในชุดแดงเพลิง ที่แลดูทำตัวลีบเล็กข้างกายชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกและยืนอยู่ด้านหลังใครบางคนอย่างนอบน้อม เขาไม่พ้นต้องตกใจจนตาเบิกโพลงปานลูกวัวแรกเกิดแน่…
นั่นเพราะชายชราผู้นี้หาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นผู้เฒ่าหั่ว อีกาทองคำ 3 ขา ที่ตัวเขาคิดว่าอีกฝ่ายได้ตกตายไปหลังจากทำลายเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปแล้วนั่นเอง!
นอกจากนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ…ตอนนี้ผู้เฒ่าหั่วได้ออกมาจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเรียบร้อยแล้ว!
เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนย่อมไม่มีทางรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน ‘จี้เมี่ยเทียน’ หนึ่งใน 81 ระนาบเทวโลกได้เลย หาไม่แล้วไม่รู้ว่าเขาจะตกใจถึงขนาดไหน
มีใครบางคนที่แม้แต่จะอยู่ในระนาบเทวโลกแท้ๆ แต่กลับสามารถสอดส่องเรื่องราวที่บังเกิดขึ้นภายในระนาบโลกียะได้!
ช่างเป็นความสามารถและวิธีที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้!
ระนาบเทวโลกหรือแดนสวรรค์นั้น มีเพียงเก้าเก้า 81 แดนเท่านั้น
หากทว่าระนาบโลกียะนั้น มีมากมายจนนับไม่ถ้วน!
และตอนนี้ภายในระนาบโลกียะอันต่ำต้อยแห่งหนึ่ง ก็มีผู้ชมมากมายกำลังเฝ้ารอคอยการมาถึงของอัสนีทัณฑ์สวรรค์สายที่ 81 อันเป็นสายสุดท้ายอยู่…
‘อัสนีทัณฑ์สายสุดท้ายกำลังจะฟาดลงมาแล้ว…’
ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนคิดถึงเรื่องนี้ในใจ สำนึกเทวะของเขาก็ลอบแผ่ออกไปครอบคลุมร่างเค่อเอ๋อและต้วนซือหลิงที่ลอยอยู่ไกลห่างเอาไว้อย่างเงียบงัน ราวกับต้องการจะสัมผัสถึงลมหายใจและกลิ่นอายทั้ง 2 คนเป็นครั้งสุดท้าย
เพราะสุดท้ายแล้วเขาเองก็รู้ตัวว่าอัสนีทัณฑ์สายที่ 81 มันเป็นอะไรที่เขายากจะรอดพ้นไปได้
ลำพังแค่เผชิญหน้ากับอัสนีทัณฑ์สายที่ 80 หัวใจเขาก็ได้เตรียมใจรับความตายเอาไว้แต่แรก…
หากแต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าในห้วงเวลาคับขันเป็นตาย กลับบังเกิดความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ขึ้น!
พลังสุริยันที่พุ่งหายไปจากร่างเขาเกือบหมดก่อนหน้า ได้หวนกลับมาอีกครั้ง! ทั้งยังมาในรูปจำแลงของอีกาทองคำ 3 ขา และต้านทานอัสนีทัณฑ์สายที่ 80 ให้เขาด้วยตัวมันเอง…!!
น่าเสียดายที่พลังสุริยันนั้นสามารถช่วยเขาได้เพียงครั้งเดียว มิอาจช่วยเหลืออะไรเขาได้อีกครั้ง…
เพราะตอนนี้พลังสุริยันที่หลงเหลืออยู่ในร่างเขามันเล็กน้อยเกินกว่าจะต้านทานพลังของอัสนีทัณฑ์สายที่ 81 ซึ่งเป็นอัสนีทัณฑ์สายสุดท้ายของหายนะสู่สวรรค์ครั้งนี้ได้ไหว…
“มาแล้ว!!”
ทันใดนั้นสองตาของผู้ชมทั้งหมดก็เผยประกายสว่างวาบ เพราะตระหนักได้ว่าเวลามาถึงแล้ว!
แทบจะเท่าทันความคิดของพวกมัน
ครืนน!!
บังเกิดแสงขาวสว่างวาบลงมาจากเมฆหายนะบนฟ้าสูง พาลให้ผู้ชมไม่น้อยจำต้องเร่งรุดหยีตา บ้างก็ยกมือป้องบังเป็นการใหญ่
เปรี๊ยงงงง!!
ในขณะที่แสงขาวกำลังสว่างไสวย้อมโลกหล้าให้ขาวโพลน เสียงสนั่นกึกก้องพลันดังลงมาจากแพเมฆหายนะ!
อัสนีที่ดังสะท้านแดนดินคราวนี้ คล้ายจะลั่นดังยิ่งกว่าอัสนีสายใดที่เคยมีมา!
นอกจากนั้นในขณะที่เสียงอัสนีลั่นดังขึ้น ทั่วทั้งวังเซียนสัญจรก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างน่ากลัว ราวกับขุนเขาถล่มปฐพีพลิกคว่ำ!!