ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 30 ขอถามนี่บุตรชายบ้านใด (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

บนกำแพงเมือง ลู่อวิ๋นหอบหายใจหนักหน่วงนั่งอยู่บนพื้น เขามองศพของหน่วยกล้าตายกองทัพต้ายงที่นอนระเกระกะล้อมอยู่มากมาย แล้วหันไปมองดาบเหล็กที่คมบิ่นแล้วในมือ โลหิตอาบย้อมชุดออกศึกบนร่าง บนพื้นเลือดนองเป็นสายน้ำ การเข่นฆ่าสังหารเมื่อครู่ทำให้เขาไปวนเวียนอยู่แถวปากประตูผีมาหนึ่งรอบ หากมิใช่เพราะทหารสองนายแลกชีวิตขวางดาบและกระบี่ของศัตรูแทนเขา น่ากลัวว่าเขาคงจะทอดร่างอยู่บนพื้นแล้ว

แม้เขาจะเป็นบุตรชายของตระกูลแม่ทัพ ฝึกปรือทั้งกำลังภายนอกและภายในมาพรั่งพร้อม สองแขนพละกำลังมหาศาล ทว่าเมื่อเทียบกับทหารผู้หาญกล้ามิกลัวตายเหล่านี้ก็ยังด้อยกว่าอยู่บ้าง เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็นึกหวาดกลัวตามหลัง แผนล่อคนมาติดกับดักเกือบจะกลายเป็นพาหมาป่าเข้าบ้านเสียแล้ว แต่นี่จะทำอันใดได้อีก ทั้งที่รู้ว่าศัตรูที่มาคือทหารกล้าของหน่วยกล้าตาย แต่หากมิล้อมพวกเขาแล้วสังหารเสีย เอาแต่ตั้งรับการบุกอันรุนแรงของกองทัพศัตรู น่ากลัวว่าคงถูกศัตรูบุกตีแนวป้องกันแตก

หลังจากเก็บกวาดสนามรบครู่หนึ่ง เฉินหมิง แม่ทัพผู้รับผิดชอบป้องกันฝั่งนี้ก็เดินเข้ามา คลี่ยิ้มบอกว่า “แม่ทัพน้อย แผนการยอดเยี่ยมจริงๆ ก่อนหน้านี้พวกเราก็เคยสู้รบกับหน่วยกล้าตายของกองทัพศัตรูมาก่อน หากมิเสียไพร่พลมากกว่านี้สามเท่าคงมิอาจทำลายหน่วยกล้าตายได้ หนนี้พวกเราสูญเสียคนน้อยลงมากกว่าครึ่ง”

ลู่อวิ๋นหน้าแดงตอบว่า “ล้วนเป็นเพราะทุกคนสู้ตายอย่างเต็มกำลัง ข้าเป็นเพียงคนออกความคิดเท่านั้น”

เฉินหมิงตบไหล่ของเขาแล้วกล่าวว่า “มิเสียทีเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพของพวกเราส่งคนมาเชิญท่านไปหา”

ลู่อวิ๋นลังเลครู่หนึ่งแล้วถาม “ตอนนี้สะดวกหรือ กองทัพศัตรูยังบุกตีเมืองอยู่เลย”

เฉินหมิงหัวเราะ “มิเป็นอันใด กองทัพต้ายงผ่อนแรงลงแล้ว วันนี้คงจะต้านไว้ได้อย่างราบรื่นอีกหน”

เวลานี้เอง แม่ทัพคนหนึ่งก็ตะโกนเสียงดัง “แย่แล้ว กองทัพศัตรูชูธงค่ายใหญ่สวีโจวขึ้นมา จงหลีแตกแล้ว”

ลู่อวิ๋นกับเฉินหมิงต่างตกตะลึง วิ่งพรวดมายังช่องกำแพงแล้วมองลงไปเบื้องล่าง จากนั้นก็เห็นว่าด้านข้างธงแม่ทัพของกองทัพต้ายงมีธงผืนใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกสองผืน ผืนหนึ่งคือธงค่ายใหญ่สวีโจว อีกผืนหนึ่งบนธงมีอักษรคำว่า ‘ต่ง’ ตัวใหญ่เขียนอยู่ ลู่อวิ๋นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย ทั้งที่ทราบว่าจงหลีจะแตกเมื่อใดเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น แต่เมื่อทราบข่าวจริงๆ ก็ยังรู้สึกยากจะทนรับไหว

เวลานี้ในกองทัพต้ายงพลันมีคนตะโกนเสียงดังว่า “กองทัพข้ายึดจงหลีได้แล้ว ศีรษะของเจ้าเมืองจงหลีกับนายกองของจงหลีอยู่ที่นี่ แม่ทัพผู้พิทักษ์เมืองโซ่วชุนจงฟัง หากมิยอมจำนน เมื่อเมืองแตก พวกเจ้าก็จะถูกตัดหัวแขวนประจานหน้าประตูเมืองเช่นกัน” พูดจบก็มีคนใช้ด้ามธงเสียบศีรษะคนสองหัวชูขึ้นหน้ากองทัพ

ทหารรักษาเมืองที่อยู่บนกำแพงเมืองส่งเสียงฮือฮา ชั่วขณะเดียวขวัญกำลังใจของทหารลดลงฮวบฮาบ ทหารมากมายกรูกันมาที่ริมกำแพงเมืองแล้วมองลงไป เห็นศีรษะคนถูกชูอยู่สูง แม้มองเห็นมิชัดนัก แต่เหนือกำแพงเมืองก็มีเมฆหมอกแห่งความหม่นหมองปกคลุมไปทั่ว

เวลานี้เอง ข้างกายของลู่อวิ๋นพลันมีเสียงกัดฟันดังกรอด ลู่อวิ๋นผินหน้าไปมองก็เห็นเฉินหมิงดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะและจิตสังหาร เขามองธงผืนใหญ่ที่มีคำว่า ‘ต่ง’ ในทัพหลักของกองทัพต้ายง สีหน้าโศกศัลย์อย่างมิรู้สาเหตุ น้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตา

ในใจเขานึกฉงนจึงหันไปมองด้านซ้ายขวา พลทหารนายหนึ่งกระซิบบอกว่า “นายกองเฉินแห่งเมืองจงหลีเป็นพี่ชายของพี่ใหญ่เฉิน”

ลู่อวิ๋นหลุดอุทานด้วยความตกใจแล้วมองเฉินหมิงอย่างเงียบงัน เวลานี้เองก็เห็นเฉินหมิงกระโดดขึ้นไปยืนบนกำแพง ตะโกนเสียงดัง “โจรถ่อยใต้กำแพงเมืองจงฟัง พวกเจ้าสังหารพี่ชายข้า ข้าเฉินหมิงต่อให้แลกด้วยชีวิตก็จะชำระแค้นครั้งนี้ พี่น้องทั้งหลายจะก้มหน้าคอตกทำอะไร เจ้าเมืองจูกับนายกองเฉินต่างทำเพื่อแว่นแคว้นจนถึงที่สุด พวกเราจะให้พวกเขาที่อยู่ในปรภพหัวเราะเยาะว่าพวกเรารักตัวกลัวตายหรือ”

ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำทรงพลังเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากใต้ธงแม่ทัพแถวหน้าประตูเมืองโซ่วชุน “สาบานแม้นตายจักปกป้องเมือง สังหารศัตรูล้างแค้น”

กองทหารรักษาเมืองโซ่วชุนได้ยินต่างตะโกนตามเสียงดัง “สาบานแม้นตายจักปกป้องเมือง สังหารศัตรูล้างแค้น!” เสียงกระหึ่มสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ไม่มีความโศกเศร้าหดหู่เมื่อครู่เหลืออยู่อีก

ชุยเจวี๋ยกับต่งซานที่อยู่ใต้กำแพงเมืองมองหน้ากัน แผนทำลายขวัญกำลังใจของศัตรูล้มเหลวแล้ว ชุยเจวี๋ยขมวดคิ้ว ส่งสายตาให้องครักษ์คนสนิทคนหนึ่ง องครักษ์คนสนิทผู้นั้นเป็นยอดพลธนูผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในสังกัดของจ่างซุนจี้ มีพลทหารที่ชำนาญการยิงธนูอยู่มากเป็นพิเศษ เขาเข้าใจความหมายของชุยเจวี๋ยจึงควบม้าไปข้างหน้า ยิงศรไปบนกำแพงเมืองภายใต้การคุ้มกันของพลทหารหลายคน

ลูกศรดอกนี้รวดเร็วประหนึ่งดาวตก แทบจะมองมิเห็นเงาศรชัด มันเคลื่อนผ่านระยะห่างสามร้อยก้าวในชั่วพริบตา ยิงเข้าใส่เฉินหมิงที่ยังยืนอยู่บนขอบกำแพงเมือง เฉินหมิงกำลังหลั่งน้ำตามองศีรษะของพี่ชายอยู่จึงมิทันระวังการลอบจู่โจมของกองทัพต้ายงแม้สักนิด ทหารทั้งหลายบนกำแพงเมืองตะโกนเสียงดัง “ระวัง!”

แต่เมื่อเทียบกับเสียงเตือนของพวกเขา เงาศรสองสายรวดเร็วกล่าว ลูกศรสองดอกนี้ยิงออกมาจากด้านหลังของเฉินหมิงกับตรงที่ธงแม่ทัพชูอยู่ฝั่งละดอก เงาศรสองสายยิงถูกลูกศรที่ลอบจู่โจมดอกนั้นแทบจะในเวลาเดียวกัน ลูกศรดอกนั้นหักเป็นสามส่วน เงาศรสองสายดีดกลับมา เห็นชัดว่าพละกำลังด้อยกว่าอยู่บ้าง ทหารรักษาเมืองบนกำแพงต่างโห่ร้องชม กองทัพต้ายงใต้กำแพงเมืองก็มีเสียงตะโกนว่า “ฝีมือธนูยอดเยี่ยม!” เช่นเดียวกัน แต่เดิมกองทัพต้ายงก็มิเคยตระหนี่คำชมที่มอบให้แก่ศัตรูอยู่แล้ว ใจสู้ของพวกเขามิเพียงมิลดทอน ตรงกันข้ามกลับยิ่งลุกโชน ทุกคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือ

ชุยเจวี๋ยกับต่งซานต่างเผยรอยยิ้มจืดเจื่อน กองทัพศัตรูบนกำแพงเมืองขวัญกำลังใจลุกโชติช่วง แม้ความฮึกเหิมของฝั่งตนจะถูกจุดขึ้นมาเช่นกัน แต่หากเวลานี้บุกตีเมืองต่อ นอกจากจะเพิ่มความสูญเสีย ก็คงมิประสบผลสำเร็จอันใด ทั้งสองคนมองท้องฟ้าแล้วตัดสินใจถอนกำลังทหารพร้อมกัน

ลู่อวิ๋นมองกองทัพต้ายงถอยทัพไปช้าๆ ขณะที่วางศรลง ในใจก็ถอนหายใจ คิดว่ามิแปลกที่ต้ายงยืนตระหง่านมิล้มมานานหลายปีทั้งที่มีคนเก่งกาจมากมายคอยจ้องหาโอกาส เพียงดูจากการที่ทหารในกองทัพเหล่านี้ตะโกนชื่นชมกองทัพศัตรูแต่กลับมิบั่นทอนความฮึกเหิมสักนิด ตรงกันข้ามกลับยิ่งเกิดใจสู้ ก็ทราบแล้วว่าแม้แต่ทหารชั้นเยี่ยมใต้สังกัดบิดาก็สู้พวกเขามิได้ มิว่าอย่างไรพวกเขาก็ขาดความมั่นใจและความแน่วแน่เช่นนี้ ทหารต้ายงเหล่านี้น่ากลัวว่าต่อให้เสียแม่ทัพใหญ่ก็ยังคงรุกถอยอย่างเป็นระเบียบ แต่หากบิดาเกิดเป็นอันใดขึ้นมา ค่ายใหญ่เจียงเซี่ยกับค่ายใหญ่จิ่วเจียงคงเป็นมังกรไร้หัว สับสนอลหม่าน

ท่ามกลางคำพูดขอบคุณของเฉินหมิงกับเสียงสรรเสริญของทหารคนอื่น ลู่อวิ๋นถามอย่างประหลาดใจ “มิทราบว่าเมื่อครู่ผู้ใดยิงศรออกมาพร้อมกันกับข้า เหตุไฉนข้าจำมิได้ว่าองครักษ์คนสนิทข้างกายแม่ทัพสือมีพลธนูฝีมือสูงส่งเช่นนี้”

ทหารทั้งหลายได้ยินก็พลันเผยรอยยิ้มมีเลศนัย เฉินหมิงเริ่มคลายความเจ็บปวดที่สูญเสียพี่ชายแล้ว จึงฝืนยิ้มบอกว่า “แม่ทัพน้อย อย่างไรเสียแม่ทัพของพวกเราก็กำลังรอท่านอยู่ด้านนั้น ท่านไยมิไปลองดูด้วยตาตนเอง”

ลู่อวิ๋นคิดในใจว่าก็จริง แล้วจึงเดินไปทางด้านนั้น ไม่นานก็เดินมาถึงใต้ธงแม่ทัพ เห็นสือกวนแม่ทัพใหญ่แห่งไหวซีกำลังออกคำสั่งจัดการกำแพงเมืองอยู่ตรงนั้น เตรียมตัวสำหรับการทำศึกวันพรุ่ง แล้วสายตาของลู่อวิ๋นก็จับอยู่บนร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายสือกวนในพริบตา เด็กหนุ่มผู้นั้นอายุใกล้เคียงกับเขา หน้าตาคล้ายคลึงกับสือกวนเจ็ดส่วน เพียงแต่เค้าหน้าละมุนกว่ามาก

สือกวนแต่เดิมก็หน้าตาสง่างาม เด็กหนุ่มคนนั้นจึงมีหน้าตาทั้งหล่อเหลาทั้งงดงาม แม้จะดูแข็งแกร่งองอาจสู้ลู่อวิ๋นมิได้ แต่เอวห้อยกระบี่คู่กาย ไหล่สะพายคันศร ปราณกระบี่แผ่เลือนรางทั่วร่าง ดูกล้าหาญองอาจเช่นกัน

พริบตาที่ลู่อวิ๋นเห็นเด็กหนุ่มผู้นี้ก็รู้สึกประหนึ่งพานพบสหายรู้ใจ ในใจรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเป็นคนที่ยิงลูกศรดอกเมื่อครู่เป็นแน่ แต่เขามิสะดวกเอ่ยปากพูดกับอีกฝ่ายก่อน จึงก้าวเข้าไปคารวะสือกวนแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพเรียกหา แต่ลู่ช่านชักช้ามาสาย ขอท่านแม่ทัพโปรดอภัย”

สือกวนมองลู่อวิ๋นแล้วคลี่ยิ้ม “หลานอวิ๋นเป็นวีรบุรุษหนุ่มจริงๆ ทักษะการยิงธนูเหนือผู้อื่น ใช้ทหารได้อย่างมีแบบแผน มิเสียทีเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ เจ้ามิจำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจเกินไป ข้าเคยอยู่ใต้สังกัดแม่ทัพเฒ่าเจิ้นหย่วนกงอยู่หลายปี เรียกขานบิดาเจ้าเป็นพี่น้อง แม้วันนี้อำนาจกับตำแหน่งต่างกันยิ่งนัก แต่คิดว่าเจ้าเรียกขานข้าว่าท่านลุงก็สมควร”

เดิมทีลู่อวิ๋นมิกล้าใช้คำเรียกขานที่สนิทสนมเช่นนี้เพราะแม่ทัพสือผู้นี้เคร่งขรึมน่าหวั่นเกรง ดังนั้นจึงเรียกขานเขาว่าท่านแม่ทัพตามกฎกองทัพ วันนี้เห็นสือกวนท่าทีอ่อนโยน ในใจก็โล่ง ก้มลงคารวะเอ่ยว่า “หลานลู่อวิ๋นคารวะท่านลุง”

สือกวนยื่นมืออกมาประคอง ชี้เด็กหนุ่มรูปงามผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “นี่คือหลานสาวของข้าสือซิ่ว ตั้งแต่เล็กก็ซุกซน ถูกท่านย่ากับท่านแม่ของนางเลี้ยงดูมาเหมือนเด็กผู้ชาย โตกว่าเจ้าหนึ่งปี เจ้าก็เรียกนางพี่สาวเถิด”

ลู่อวิ๋นเบิกตาโต นี่จะเป็นไปได้เช่นไร เด็กหนุ่มผู้นี้แม้รูปงามอย่างยิ่ง แต่ใบหน้าหล่อเหลายิ่งนัก มิมีความอ่อนโยนอ่อนหวานของเด็กผู้หญิงแม้แต่เศษเสี้ยว จะเป็นดรุณีนางหนึ่งได้เช่นไร

สือซิ่วเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มหยัน เดินเข้ามาก็ยกเท้าขึ้นเตะ ถูกตรงหน้าแข้งของลู่อวิ๋นพอดี ลู่อวิ๋นเจ็บจนเซ เกือบหลุดเสียงร้อง สือซิ่วว่าอย่างโมโห “เบิกตาโตมองอะไร แล้วก็ห้ามเรียกข้าพี่สาว หากเจ้ากล้าเรียกส่งเดช ก็อย่าโทษข้าหากข้าจะฟันเจ้าสักสิบกระบี่แปดกระบี่”

สือกวนเพียงแสร้งทำเป็นมิเห็น ทิ้งทั้งสองคนไปจัดการงานของกองทัพต่อ บุตรสาวคนนี้ของเขาแต่งตัวเป็นชายมาตั้งแต่เล็ก มีท่าทางอย่างเด็กผู้หญิงสักนิดที่ไหน หากมิใช่เช่นนี้ ไฉนปีหน้าจะปักปิ่นอยู่แล้วกลับมิมีผู้ใดมาหมั้นหมาย แม้แต่ทหารใต้สังกัดของตนก็ยังเรียกขานนางว่าคุณชายไม่ก็แม่ทัพน้อยอย่างเชื่อฟัง บางคนถึงขั้นมิทราบด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วสือซิ่วเป็นเด็กผู้หญิง แต่เขาก็คงจะหลอกลู่อวิ๋นมิได้กระมังว่าตนเองมีบุตรชาย ยิ่งไปกว่านั้น หลายวันนี้หลังจากได้รู้จักลู่อวิ๋นทั้งจากการลอบสังเกตและการพบเจอซึ่งหน้า ในใจเขาก็เกิดความคิดประการหนึ่ง เพียงแต่มิทราบว่าจะเป็นการหวังสูงไปหรือไม่ ดังนั้นจึงบอกตัวตนของสือซิ่วให้ชัดเจนตั้งแต่แรก