เล่ม 1 ตอนที่ 241-1 เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 241-1 เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ

สุดท้ายนกอินทรีทองที่แสนดุดันหลายตัวก็ถูกองครักษ์ของปราสาทเฮ่อหลันควบคุมไว้ได้ บรรดาองครักษ์ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิทั้งสิ้น หากไปอยู่ที่จงหยวน เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สู้พวกเขาได้ การจัดการนกอินทรีทองไม่กี่ตัวจึงย่อมไม่ยากเย็นอะไร แต่ทว่าเมื่อเหล่าองครักษ์นับจำนวนนกอินทรีทองกลับต้องตกใจเมื่อพบว่าหายไปตัวหนึ่ง

หรือจะอาศัยจังหวะชุลมุนบินหนีไปแล้ว

แต่ก็ไม่เห็นนกตัวไหนบินออกจากลานประลองไปเลยนี่!

เหล่าองครักษ์เริ่มออกไปสอบถาม วั่งซูน้อยที่ยืนรับชมการแสดงของนกอินทรีทองอยู่ตรงชั้นหนึ่งก็ถูกถามด้วยเช่นกัน

มือน้อยๆ ของวั่งซูซ่อนอยู่ด้านหลัง ก้มหน้ามองหินที่อยู่ปลายเท้า คอยเอาเท้าเขี่ยเล่นไปมาพลางตอบด้วยสีหน้าใสซื่อว่า “อินทรีอะไรหรือ”

แม่นางน้อยผู้นี้ช่างน่ารักเหลือเกิน แก้มแน่นอมชมพู มองดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก องครักษ์จึงพูดด้วยสีหน้าใจดีว่า “อินทรีทอง ก็คือนกตัวใหญ่ที่เพิ่งบินออกมาเมื่อครู่ เจ้ามีเห็นนกตัวใหญ่บินไปทางไหนหรือไม่”

วั่งซูตอบอย่างไม่รู้ไม่เห็น “ไม่มีนะ”

องครักษ์ยิ้มก่อนจะเดินจากไป

วั่งซูถอยกรูดไปจนถึงริมรั้ว อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครทันสังเกต ยื่นมืออวบอ้วนของตน เอานกอินทรีทองที่ถูกตนลูบ (ตบ) จนสลบออกมา วิ่งกระหืดกระหอบขึ้นไปด้านบน “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านดูสิ!”

เฉียวเวยที่กำลังจะเดินลงไปดูว่าลูกน้อยได้รับบาดเจ็บหรือไม่ “…”

นี่นางเสียแรงเป็นห่วงทำไมนะ

วั่งซูเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ท่านแม่! เย็นนี้พวกเรากินเนื้อนกกันเถอะ! ข้าอยากกินแบบตุ๋นน้ำแดง! ใส่พริกลงไปหน่อยได้ก็ยิ่งดีเลย!”

เฉียวเวยมองเด็กทั้งหลายที่กำลังร้องไห้จ้าด้วยความตกใจอยู่กับอกพ่อแม่ แล้วหันมองลูกน้อยของตนที่ยืนถือนกอินทรีทองตัวใหญ่โดยไม่ใช่แค่ไม่เกรงกลัว แต่ยังดูตื่นเต้นที่จะได้กินมันเสียอีกแล้วจู่ๆ ก็เกิดอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ที่บอกกันไว้ว่าจะเป็นเด็กน้อยแสนน่ารักเล่า เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้…

แน่นอนว่าสุดท้ายแล้ววั่งซูไม่ได้กินนกอินทรีทองตัวนั้น ถึงอย่างไรการลากเอาสัตว์ตัวเขื่องที่มีขนาดใหญ่กว่าศีรษะของนางไปทั่ว ก็ง่ายที่จะถูกองครักษ์พบเห็นได้

องครักษ์เดินเข้ามาจะเอาตัวนกอินทรีทองไป

วั่งซูอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก กอดนกอินทรีลูบแล้วลูบอีก ลูบจนขนทองของมันร่วงกราวเต็มพื้นถึงได้ยอมปล่อยมือในที่สุด

นกอินทรีทองครั้นได้รับอิสรภาพก็ได้สติขึ้นมาในทันใด กรงเล็บยกกาง กระพือปีกบินออกมาจากชั้นสอง แต่กลายเป็นว่าบินได้แค่ไม่กี่ทีก็ร่วงแผละลงกับพื้น!

ให้ตายเถอะ ขนร่วงจนโกร๋นไปหมด อากาศลอดได้ บินไม่ขึ้นแล้วเนี่ย!

นกอินทรีทองทั้งหมดถูกจับกลับไปขังในกรง ที่โชคดีก็คือนอกจากชาวบ้านที่ขวัญกระเจิงแล้ว ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือล้มตาย กลับเป็นหนึ่งในนกอินทรีที่ถูกคนทำให้ขนร่วงจนตัวโกร๋น ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนัก พอถูกจับเข้ากรงก็ไม่ยอมออกมาอีกเลย!

ที่นกอินทรีหลุดออกมาได้ในครั้งนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ หลังจากองครักษ์ไปตรวจสอบดูที่กรงแล้ว พบว่าตรงกลอนของลูกกรงมีร่องรอยถูกงัดแงะ ซึ่งก็หมายความว่านกอินทรีเหล่านี้มีคนตั้งใจปล่อยออกไป ต้องรู้ก่อนว่าวันนี้ บุคคลสำคัญในชนเผ่าถ่าน่ามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งสิ้น การปล่อยให้สัตว์มีปีกดุร้ายเช่นนี้ออกมา เรียกได้ว่ามีใจคิดประสงค์ร้ายอย่างแน่นอน!

บรรดาองครักษ์ตรวจสอบทุกคนที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเข้าไปในส่วนเลี้ยงสัตว์ แต่ก็จนใจที่ตรวจอะไรไม่พบเลย

ตัวต้นเรื่องลูบศีรษะสิงโตคนงาม ก่อนจะเลี้ยวออกจากทางเดินไปอย่างเชื่องช้า

“หึ ข้ายังคิดว่าจะสูสีกว่านี้เสียอีก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะที่เป็นเช่นนี้ คนตระกูลจีหน้าโง่!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักก้าวขึ้นรถม้า ในมือถือขนนกอินทรีที่ถูกวั่งซูน้อยถอนขนจนเกลี้ยง ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ท่าทางเจ้าเด็กนั่นตอนลูบนกอินทรีช่างน่ารักยิ่งนัก อยากจะจับมากอดรัดฟัดเหวี่ยงให้หนำใจสักที!

เหอจั๋วถูกนกอินทรีจู่โจมจึงทำให้โรคเก่ากำเริบจนต้องนอนลงบนเสลี่ยงปล่อยให้องครักษ์พาตัวกลับไปส่งที่ปราสาทเฮ่อหลัน เมื่อเป็นเช่นนี้บทสรุปในวันนี้เกรงว่าคงไม่สามารถประกาศได้แล้ว

สตรีนางนั้นร้อนใจแทบแย่ ว่าตามจริงแล้ว การประลองในวันนี้นางไม่ได้มั่นใจเพียงนั้น รู้สึกเพียงว่าตนไม่ได้เลวร้าย กอปรกับความพยายามส่วนตน น่าจะพอเอาชนะเฉียวเวยได้ แต่ใครเลยจะคิดว่าโชคของคนทั้งครอบครัวอีกฝ่ายจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ แข่งอะไรก็แพ้ นางเรียกว่าชนะอย่างใสสะอาดเลยทีเดียว โอกาสที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้คงไม่เกิดเป็นครั้งที่สองอีก วันนี้เหอจั๋วจะต้องประกาศว่านางคือจั๋วหม่าน้อยตัวจริงแน่นอน

แต่เมื่อถึงตอนที่เหอจั๋วถูกคนหามกลับปราสาทเฮ่อหลัน นางถึงได้รู้สึกขึ้นมาโดยพลันว่า น่ากลัวว่าเฉียวเวยต่างหากที่โชคดีที่สุด

เพราะหากใครแพ้หมดรูปขนาดนี้ คงไม่มีโอกาสได้พลิกกลับมาอีกแล้ว แต่กระนั้นในช่วงเวลาเช่นนี้ เหอจั๋วกลับมาล้มป่วยเสีย

เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูของตน สตรีนางนั้นไม่เอ่ยถึงเรื่องการประลองเลย เพียงกลับปราสาทไปเป็นเพื่อนเหอจั๋วอย่างสงบนิ่ง

นางไม่พูด ผู้อาวุโสยิ่งไม่ยอมพูดเข้าไปใหญ่ ใครต่างก็รู้ว่าเรื่องจั๋วหม่าน้อยตัวจริงตัวปลอมนับเป็นโรคทางใจของเหอจั๋ว ในเวลานี้ให้เขาได้พักผ่อนอย่างสงบต่างหากถึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่มีความจำเป็นต้องเอาเรื่องน่าปวดหัวไปรบกวนจิตใจเขาอีก

บนรถม้ากลับปราสาทเฮ่อหลัน ไซน่าฮูหยินถอนหายใจยาวเหยียด ตอนแพ้ราบทั้งสี่ตานั้น นางใจแป้วมากจริงๆ คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะเกิดเรื่องเช่นนี้ องค์เทพคุ้มครอง องค์เทพคุ้มครอง!

บนรถม้าของคณะเฉียวเวย บรรยากาศไม่ได้ผ่อนคลายเพียงนั้น จีหมิงซิวนั่งตัวตรงอยู่ตรงข้ามประตูรถม้า ซาลาเปาน้อยทั้งสองนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นที่ปูตัวหนังเสืออ่อนนุ่ม เล่นดีดลูกแก้วอยู่กับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยทั้งสาม

ทางซ้ายของจีหมิงซิวคือเฉียวเวยที่แผ่ไอสังหารออกมาทั่วตัว ทางขวาของจีหมิงซิวคือเฉียวเจิงที่แผ่ไอสังหารออกมาทั่วตัวเช่นกัน

สองคนพ่อลูกจ้องตากันไปมา หากสายตาสามารถสังหารคนได้ คิดว่าต่างฝ่ายคงได้ตายกันไปหลายร้อยรอบแล้ว

“ฉินหมากภาพวาดงั้นหรือ” เฉียวเวยกัดฟันกรอด

“ใช้หน้าอกบีบหินงั้นหรือ” เฉียวเจิงกัดฟันหนักยิ่งกว่า

ซาลาเปาน้อยทั้งสองมองท่านแม่กับท่านตาด้วยความงงงวย ก่อนจะก้มหน้าลงไปเล่นของตนต่อไป

จีหมิงซิวโอดครวญในใจ การต้องมานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างภรรยากับพ่อตานั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ

เฉียวเวยเดือดจัด “ผู้ชายที่ไหนจะมาประลองแข่งฉินหมากภาพวาด เรื่องพวกนี้มีแต่ผู้หญิงทำกันทั้งนั้น!”

เฉียวเจิงเดือดจัดยิ่งกว่า “ผู้หญิงที่ไหนจะประลองใช้หน้าอกบีบหิน หรือนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายเขาทำกัน! เจ้ายังมีความเป็นสตรีอยู่บ้างหรือไม่!”

“ข้าจะไม่มีได้อย่างไร ท่านเสียมากกว่า!” เฉียวเวยเถียงกลับ

“ข้าทำไม!” เฉียวเจิงตะคอกบ้าง

“หมิงซิว! เจ้าพูดมา!” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมหันไปมองจีหมิงซิว

จีหมิงซิวหยิบเบาะขึ้นมาปิดหน้าเงียบๆ