บทที่ 1011 กฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติ ลอยชายเสรี

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 1011 กฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติ ลอยชายเสรี

“เรียนเจ้าสำนัก นับว่าไม่เลวเลย…”

หลี่เต้าคงเริ่มเล่าประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมา แสดงสีหน้าภาคภูมิใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

ผ่านไปพักใหญ่ หลังจากหานเจวี๋ยฟังจบก็ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ยอดเยี่ยมมาก สมกับเป็นคนที่ข้าให้ค่าที่สุด”

หลี่เต้าคงได้ฟังพลันหน้าแดงซ่านด้วยความตื่นเต้น เขาคุกเข่าลงอีกครั้ง ประสานหมัดเอ่ยว่า “ขอบพระคุณที่เจ้าสำนักให้ความสำคัญ”

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “อยากสดับธรรมหรือไม่”

หลี่เต้าคงพยักหน้ารับทันที หากเป็นผู้ทรงพลังคนอื่น เขาฟังแล้วคงหมิ่นหยามแต่หานเจวี๋ยต่างออกไป นี่คือสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล

หลี่เต้าคงยังไม่ทราบถึงการมีตัวตนอยู่ของผู้สร้างมรรคา ดังนั้นจึงรู้สึกว่าหานเจวี๋ยอยู่ในจุดสูงสุดของการบำเพ็ญแล้ว

หานเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิลงไป หลี่เต้าคงก็นั่งตาม

การเทศนาธรรมในความฝันครานี้กินระยะเวลาหนึ่งร้อยปี

เมื่อแดนความฝันสิ้นสุดลง หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง

ยุคใหม่มาถึงแล้วจริงๆ

คนที่เคยอยู่ใต้การปกป้องดูแลของเขายามนี้มีศักดิ์เป็นผู้ทรงพลังที่โดดเด่นในฟ้าบุพกาลไปแล้ว

ดีจริงๆ

หานเจวี๋ยยิ้มออกมา จากนั้นจึงฝึกบำเพ็ญต่อ

ปราณปฐมยุคในโลกปฐมยุคกินพื้นที่ไปแปดถึงเก้าส่วนแล้ว อีกไม่นานภายในโลกปฐมยุคก็จะมีเพียงปราณปฐมยุค ไม่มีปราณอนธการอีกต่อไป

ปราณเทพมารเหล่านั้นก็ฟูมฟักออกมาเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลหมดแล้ว มีจำนวนสองพันเก้าร้อยสี่สิบเจ็ดตน ส่วนที่เหลืออยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง

หานเจวี๋ยตัดสินใจว่าต่อไปจะกำหนดระยะเวลาปิดด่านไว้ที่ห้าล้านปี

หนึ่งล้านปีต่อมา ภายในโลกปฐมยุคเต็มไปด้วยปราณปฐมยุค ไม่มีปราณอนธการอีกต่อไป

ทุกๆ หนึ่งล้านปี จะปรากฏสิ่งใหม่ที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมา ทำให้ตบะของหานเจวี๋ยยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เพียงพริบตาเดียวก็ครบกำหนดปิดด่านห้าล้านปีแล้ว

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ดวงเนตรสีแดงของเขาฉายประกายวาววับเล็กน้อย

ถึงแม้โลกปฐมยุคจะอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณแต่เขารับรู้ถึงน้ำหนักของโลกได้แล้ว

หานเจวี๋ยพบว่านอกจากมหามรรคสามพันวิถีที่เชื่อมโยงจนก่อตัวเป็นกฎเกณฑ์แล้ว ยังมีกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติที่โลกปฐมยุคฟูมฟักขึ้นมาโดยเฉพาะด้วย กฎเกณฑ์ในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับโลกปฐมยุคทั้งใบ แม้แต่เขาก็ไม่อาจบังคับควบคุมได้ หากเข้าไปแตะต้องรบกวนกฎเกณฑ์นี้ โลกปฐมยุคจะพังทลาย

มีเพียงผู้สร้างโลกอย่างเขาที่รับรู้ได้ หากเป็นศัตรูจากภายนอกไม่มีทางรับรู้ถึงการมีอยู่ของกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาตินี้ได้

หานเจวี๋ยนึกถึงกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติของฟ้าบุพกาลขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ซึ่งก็คือกฎเกณฑ์ที่คอยจำกัดควบคุมพรสวรรค์และการวิวัฒนาการ ทำให้เขาส่งต่อสายเลือดให้สืบทอดอย่างเต็มที่ไม่ได้

ทั้งสองอย่างมีความคล้ายคลึงกัน

ตอนนี้หานเจวี๋ยยังคิดไม่ออกว่ากฎเกณฑ์เหนือธรรมชาตินี้เป็นมาอย่างไรกันแน่

“ท่านพ่อ ท่านตื่นแล้ว มาประลองกันดีหรือไม่ ข้าพิสูจน์ยอดมหามรรคแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ!”

หานหลิงเอ่ยด้วยความตื่นเต้น หานเจวี๋ยได้ฟังก็เลิกคิ้ว

ก่อนหน้านี้ตอนที่สาวน้อยคนนี้พิสูจน์มหามรรคก็ตระหนักรู้ ครอบครองกองทหารจักรพรรดินับล้าน ตอนนี้ทหารจักพรรดิไม่ทะลุถึงสิบล้านแล้วหรือ

หานเจวี๋ยชักสนใจขึ้นมาจึงเอ่ยไปว่า “มาเถิด มาลองดู”

หานหลิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านต้องระวังด้วยนะเจ้าคะ แม้แต่พี่รองในช่วงงานชุมนุมฟ้าบุพกาลก็ยังถูกข้าพัดปลิวไปได้ง่ายๆ เลย”

หานเจวี๋ยยิ้มเล็กน้อย

สองพ่อลูกเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ

เป็นอย่างที่คาดไว้ หานหลิงอัญเชิญกองทหารจักรพรรดิสิบล้านคนออกมา ต่างก็มีพลังเวทระดับเทียบเท่ายอดมหามรรค

หานเจวี๋ยสำแดงปฐมยุคสิ้นสูญ สะกดข่มหานหลิงอย่างทรงพลัง

ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ

หานหลิงลืมตาขึ้น เปล่งเสียงโอดครวญ แสดงท่าทีแบบเด็กสาวออกมา

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายังต้องฝึกฝนต่อ”

“ฮึ่ม ท่านพ่อชอบเอาชนะเสียจริง ไม่เคยยอมให้ข้าเลย”

“ทำเช่นนี้เพื่อมอบเป้าหมายในการบำเพ็ญให้เจ้า หากวันไหนพ่อสะกดข่มเจ้าไม่อยู่ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าเจ้าคงไม่ยอมฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างกายพ่อแล้ว”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หานหลิงฟังแล้วเบะปาก ไม่ยอมรับฟัง

หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม “หลิงเอ๋อร์ ฝึกบำเพ็ญมาสิบล้านปีแล้วอยากออกไปเที่ยวเล่นหรือไม่”

หานหลิงส่ายหน้าพลางตอบว่า “ตั้งแต่ออกไปครั้งก่อนข้าก็ทราบแล้วว่าตัวข้าไร้วาสนากับฟ้าบุพกาล”

หานเจวี๋ยได้ยินก็ไม่เซ้าซี้อีก

“จริงสิ น้องห้าของเจ้าสืบทายาทขยายตระกูลอยู่ในแดนเซียนมาหลายสิบรุ่นแล้ว อยากไปเยี่ยมหรือไม่” หานเจวี๋ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วเอ่ยถาม

หานหลิงมองไปที่หานเจวี๋ย ถามไปว่า “ท่านพ่อจะไปหรือเจ้าคะ”

“ข้ายังต้องฝึกบำเพ็ญต่อ ไม่รู้อีกนานแค่ไหนกว่าจะออกจากปิดด่าน”

“เช่นนั้นข้าจะรอไปกับท่านพ่อเจ้าค่ะ”

“สาวน้อยอย่างเจ้านี่นะ ได้ หลังจากพ่อทะลวงระดับแล้วค่อยพาเจ้าออกท่องแดนเซียน ไปพบทายาทรุ่นหลังของตระกูลหานเรา”

หานเจวี๋ยเอ่ยกลั้วหัวเราะ พึงพอใจในท่าทีของหานหลิง

ในบรรดาบุตรธิดาทั้งหมด มีเพียงหานหลิงที่มีนิสัยเหมือนเขา เพียรบำเพ็ญเสมอมา

หานเจวี๋ยลุกขึ้นมา ไปเยี่ยมเยือนเหล่าภรรยา ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเขา ไหนเลยจะหมางเมินได้

หลายสิบปีต่อมา

หานเจวี๋ยออกจากอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง มาเตร็ดเตร่ที่เขตเซียนร้อยคีรี

เขาเดินมาถึงหน้าอารามเต๋าของเซียนซีเสวียน เขตเซียนร้อยคีรีที่อยู่ใต้การดูแลควบคุมของหานตั้วเทียนและหลี่เสวียนเอ้า มีศิษย์ผลัดเปลี่ยนกันไปรุ่นต่อรุ่น ส่วนเซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ได้กลายเป็นผู้ทรงพลังที่มีลำดับอาวุโสสูงสุดของที่นี่แล้ว

ตามปกติแล้วจะไม่มีเหล่าศิษย์มารบกวนพวกนาง เนื่องจากหลี่เสวียนเอ้าและหานตั้วเทียนล้วนรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างหานเจวี๋ยและพวกนางไม่กระจ่างชัด จึงกำชับเหล่าศิษย์อย่างเข้มงวดว่าห้ามเสียมารยาท

“สหายเต๋า ข้าเข้าไปสนทนาได้หรือไม่”

ภายในอารามเต๋า พอเซียนซีเสวียนที่นั่งสมาธิอยู่ได้ยินประโยคนี้ คราแรกนางก็ไม่ได้ใส่ใจ นึกว่าหูแว่วไปเท่านั้น หลังจากหานเจวี๋ยเอ่ยซ้ำอีกครั้ง นางพลันลืมตาขึ้นมาก่อนรีบเอ่ยว่า “เชิญ”

ประตูใหญ่เปิดออก หานเจวี๋ยเดินเข้าไป จากนั้นประตูก็ปิดลง

พอเห็นหานเจวี๋ยที่หล่อเหลาดังเทพบุตร แววตาของเซียนซีเสวียนเลื่อนลอยไปเล็กน้อย

หานเจวี๋ยมองนาง รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง

ในอดีตนางเป็นอาจารย์ เขาเป็นศิษย์ แต่ช่วงวัยเยาว์อันสดใสกลับกลายเป็นอดีตที่ห่างเหินไปไกลยิ่ง

เซียนซีเสวียนปรับสีหน้าให้สุขุมดังเดิม ดูเย็นชาเช่นเดียวกับตอนที่หานเจวี๋ยพบหน้าเป็นครั้งแรก ราวกับดอกบัวงามพิสุทธิ์ไร้ราคี ไม่ควรหยามหมิ่นจาบจ้วง

“เชิญนั่งเถิด”

เซียนซีเสวียนโบกมือ เบาะกลมใบหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

หานเจวี๋ยนั่งลง เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่พบหน้ากันหลายล้านปี ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”

เซียนซีเสวียนตอบว่า “อยู่ในอาณาเขตเต๋าย่อมสบายดี ปัจจุบันนี้ไม่มีภาระใดต้องกังวล แต่กลับรู้สึกว่าอายุขัยอันยืนยาวค่อนข้างน่าเบื่อ”

“ไม่เช่นนั้น สหายเต๋าซีเสวียนอยากไปเกิดเป็นมนุษย์สามัญเพื่อสัมผัสความทุกข์ทางโลกหรือไม่”

“ท่านล้อเล่นเสียแล้ว”

เซียนซีเสวียนส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา

นางจ้องมองหานเจวี๋ยพลางเอ่ยถาม “เหตุใดหลายล้านปีมานี้ไม่กลับมาเลยเล่า ข้านึกว่าท่านหลงลืมเขตเซียนร้อยคีรีไปเสียแล้ว”

หานเจวี๋ยตอบว่า “สำหรับพวกท่านเวลานับล้านๆ ปียาวนานยิ่ง แต่สำหรับข้าใช้ปิดด่านได้สองครั้งเท่านั้น เสมือนความฝันสองตื่น”

เซียนซีเสวียนได้ฟังก็รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง

เรื่องที่นางสะท้อนใจมิใช่มุมมองต่อกาลเวลาของหานเจวี๋ย แต่เป็นทัศนคติในการบำเพ็ญของหานเจวี๋ย นับตั้งแต่ทั้งสองรู้จักกันมาเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย

ทั้งสองสนทนากันต่อไป สงบดั่งสายน้ำ ทว่าไม่กระอักกระอ่วนกันเลย ตรงกันข้ามหานเจวี๋ยรู้สึกสบายใจยิ่ง

เซียนซีเสวียนเป็นเหมือนสหายเก่าคนหนึ่งของเขา ท่าทีของนางไม่เปลี่ยนไปเพราะตบะของหานเจวี๋ยเลย

ทอดสายตามองไปรอบกายหานเจวี๋ย มีเพียงเซียนซีเสวียนที่เป็นเช่นนี้และดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้เสมอไป ไร้ความปรารถนาอาวรณ์

พูดคุยกันมาหลายชั่วยาม หานเจวี๋ยเตรียมจะจากไป เมื่อมองดวงหน้างามพิลาสของเซียนซีเสวียน หานเจวี๋ยใจเต้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านมีความปรารถนาหรืออยากได้สิ่งใดหรือไม่ ข้าจะช่วยเติมเต็มให้ท่าน ตัวข้าในปัจจุบันนี้ไม่ว่าท่านประสงค์สิ่งใด ข้าสามารถช่วยให้ท่านสมปรารถนาได้ จากกันครั้งนี้ ข้าจะปิดด่านต่อแน่นอน พบกันครั้งหน้าอาจจะเป็นอีกหลายล้านปีให้หลัง”

เซียนซีเสวียนได้ยินก็ตะลึงไปเล็กน้อย

หานเจวี๋ยก็ไม่รีบร้อน รอคอยให้นางเอ่ยความปรารถนาออกมา

เขาสังเกตเห็นว่าฉางเยวี่ยเอ๋อร์ไม่อยู่ในอารามเต๋าด้านข้าง จากกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่รับรู้ได้ว่าจากไปหลายหมื่นปีแล้ว

เขาแอบทำนายดู พบว่าฉางเยวี่ยเอ๋อร์กลายเป็นอาจารย์ของหานอวิ๋นจิ่นไปนานแล้ว ซ้ำยังคอยพิทักษ์ตระกูลหานด้วย ยามปกติจะปลอมเป็นผู้บำเพ็ญทั่วไป ออกท่องแดนเซียน ลอยชายเสรี