ตอนที่ 967 ข้อเสีย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 967 ข้อเสีย

ชายหนุ่มทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนอย่างนอบน้อม จากนั้นกล่าวต่อ “สตรีไม่เคยขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีปกครองแคว้นของพวกเรามาก่อน แม้จักรพรรดิต้าจิ้นจะหมกมุ่นกับการปรุงยาวิเศษราวกับคนเสียสติจริง ทว่า พระองค์ควรสนับสนุนให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์แทน แต่พระองค์กลับโค่นล้มราชวงศ์หลินเพราะความแค้นส่วนตัวของตัวเองโดยไม่สนความเห็นของเหล่าขุนนาง คุณธรรมของพระองค์อยู่ที่ใดกัน”

เซวียเหรินอี้มองไปทางไป๋ชิงเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างกายไป๋ชิงเหยียนอย่างผ่าเผย “ต่อให้สุดท้ายตระกูลไป๋จำต้องกบฏเพราะชาวบ้าน ทว่า คุณชายเจ็ดไป๋ชิงเจวี๋ยสามารถขึ้นครองราชย์ได้ เหตุใดพระองค์จึงกล้าขึ้นครองราชย์เองเช่นนี้ พระองค์เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ปรับเปลี่ยนระบอบการปกครองใหม่โดยถือว่าตัวเองคือจักรพรรดินี ปกครองแคว้นโดยไม่สนธรรมเนียมเดิมที่เคยมีมาช้านาน ใช้ความรุนแรงผลักดันระบอบการปกครองใหม่! บัดนี้ยังอนุญาตให้สตรีได้ร่ำเรียน สอบขุนนางและเข้ารับราชการเพราะประโยชน์ส่วนตัวอีก พระองค์ทำลายประเพณีโบราณและธรรมเนียมที่เคยมีมา พระองค์กลัวว่าสตรีอย่างพระองค์จะขึ้นครองราชย์อย่างไม่ชอบธรรมจึงอยากให้สตรีมีฐานะสูงส่งในแคว้นอย่างรวดเร็วเช่นนั้นหรือ”

เซวียเหรินอี้เอ่ยถามเสียงดัง

“เซวียเหรินอี้!” หัวหน้าสำนักกั๋วจื่อเจียนหน้าซีดเผือด เขารีบลุกขึ้นตะโกนเสียงดังลั่น “ลากตัวเซวียเหรินอี้ออกไปเดี๋ยวนี้!”

“ท่านหัวหน้าสำนักไม่ต้องทำถึงเพียงนี้ วันนี้ภายในหอน่าเสียนไม่มีจักรพรรดิและขุนนาง พวกเราแค่ถกเถียงกันตามความคิดเห็นของแต่ละคนเท่านั้น!” ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นยืน กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง จากนั้นกล่าวกับเซวียเหรินอี้ที่กำลังโมโหยิ้มๆ “เซวียเหรินอี้ ข้าจำเจ้าได้ เจ้าเคยตีกลองเติงเหวินเพื่อเปิดโปงเรื่องทุจริตในการสอบขุนนาง เจ้าทวงความยุติธรรมให้บัณฑิตทุกคนในใต้หล้า เจ้าคือคนที่มีคุณธรรมสูงส่งอย่างแท้จริง!”

ไป๋ชิงเหยียนโค้งคำนับเซวียเหรินอี้หนึ่งที จากนั้นกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงรื่นไหลราวกับน้ำ “หมอดูแลรักษาผู้ป่วย หากหมอเป็นสตรีจะรักษาผู้ป่วยได้ไม่ดีอย่างนั้นหรือ ไป๋ซู่ชิวท่านอาของข้าเป็นตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว ตอนที่เมืองเจียวโจวเกิดโรคระบาดร้ายแรง ทั่วทั้งราชสำนักไม่รู้จะรับมือเช่นไร ท่านอาไป๋ซู่ชิวของข้าเป็นคนเสนอตัวเดินทางไปรักษาโรคระบาดและช่วยเหลือชาวบ้านที่เมืองเจียวโจว! ผู้ใดกล้ากล่าวว่าท่านอาของข้าคือสตรี ผู้ใดกล้ากล่าวว่าท่านอาของข้าไม่เก่งบ้าง!”

เหล่าบัณฑิตที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ล้วนรับรู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในเมืองเจียวโจว เมื่อนึกถึงสิ่งที่ไป๋ซู่ชิว…สตรีผู้สูงส่งของตระกูลไป๋ บุตรสาวเพียงคนเดียวของเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงและองค์หญิงใหญ่ที่เสียสละแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองเพื่อชาวบ้าน บัณฑิตทุกคนต่างนิ่งเงียบไปทันทีราวกับรู้แล้วว่าไป๋ชิงเหยียนต้องการจะสื่อสิ่งใดต่อไป

“รักษาโรค ปกครองแคว้นล้วนใช้ตรรกะเดียวกัน! ข้าปกครองแคว้นดูแลชาวบ้าน ขอเพียงข้าสามารถทำให้ชาวบ้านไม่อดอยากหรือหนาวตาย ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงสตรี ทว่า ผู้ใดจะกล้ากล่าวว่าข้าปกครองแคว้นได้ไม่ดีกัน!”

ไป๋ชิงเหยียนกวาดสายตามองไปรอบห้อง ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นกล่าวต่ออย่างไม่รีบร้อน “เช่นเดียวกับที่ข้าเป็นสตรี ทว่า ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวว่าข้าทำสงครามสู้บุรุษไม่ได้!”

ผลงานในสงครามของไป๋ชิงเหยียนไม่มีผู้ใดในต้าโจวสามารถเทียบเทียมได้ สีหน้าของเซวียเหรินอี้ย่ำแย่ขึ้นทันที คำถามที่เขาเอ่ยถามไป๋ชิงเหยียนออกไปถูกหญิงสาวตอกกลับหมดทุกข้อ แม้เขาจะรู้สึกไม่พอใจ ทว่า เขากลับยอมรับในสิ่งที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวมาจากใจจริง

บัณฑิตทุกคนกลั้นหายใจมองไปทางไป๋ชิงเหยียนนิ่ง ภายในหอน่าเสียนเงียบสนิท มีเพียงเสียงน้ำไหลและน้ำหยดกระทบลงบนไม้ไผ่ดังขึ้นเป็นระยะ

“หากกล่าวว่าสตรีจะทำให้แคว้นล่มจม ทว่า ผู้ใดนำต๋าจี่และเป่าซื่อมาไว้ข้างกายกัน โจ้วอ๋องคือจักรพรรดิของแคว้นผู้ใดจะขัดคำสั่งเขาได้ หลงมัวเมาในสุราและสตรีไม่ใช่ความผิดของบุรุษ กลับกลายเป็นความผิดของสตรีรูปงามอย่างนั้นหรือ! นี่มันตรรกะใดกัน” ไป๋ชิงเหยียนเดินไปมาอยู่บริเวณที่นั่งของตัวเอง จากนั้นหันไปมองบัณฑิตที่นั่งอยู่บนชั้นสองและนอกโถงน่าเสียน “ตอนที่โจวโยวอ๋องจุดไฟสัญญาณเรียกทัพหลอกๆ เป่าซื่อใช้ความตายบีบบังคับให้เขาทำหรืออย่างไรกัน! นางไม่ยิ้มแย้มให้โจวโยวอ๋อง พวกเราไม่ควรนับถือที่นางหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ แต่ไรมาบุรุษและขุนนางเป็นคนทำให้แคว้นล่มจมทั้งสิ้น ไม่ใช่ความผิดของสตรีเหล่านั้นสักนิด”

เหล่าบัณฑิตของสำนักกั๋วจื่อเจียนเพิ่งเคยได้ยินความคิดแบบนี้เป็นครั้ง ทว่า พวกเขาต้องยอมรับว่าไป๋ชิงเหยียนกล่าวมีเหตุผล

การโยนความผิดที่แคว้นล่มสลายให้สตรีที่อ่อนแอสองคนเป็นเรื่องที่เกินไปจริงๆ

“หากยืนกรานที่จะโยนความผิดที่แคว้นล่มสลายให้สตรีจริงๆ เช่นนั้นเท่ากับว่าบุรุษอย่างโจ้วอ๋อง โจวโยวอ๋องและขุนนางบุรุษมากมายในสองราชสำนักสู้สตรีเพียงสองคนไม่ได้สินะ เมื่อเป็นเช่นนี้หากต้าโจวจะเลือกใช้งานสตรีให้เข้ามาทำงานในราชสำนักก็ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด”

เซวียเหรินอี้เบิกตาโพลง ขยับริมฝีปากเล็กน้อย ทว่า ไม่รู้จะกล่าวคัดค้านเช่นไร

ไป๋ชิงเหยียนหันไปทางเซวียเหรินอี้อีกครั้ง “เจ้ากล่าวว่าข้าไร้คุณธรรม ไม่คู่ควรเป็นจักรพรรดิ คุณธรรมที่เจ้าว่าคือสิ่งใด คนมากความสามารถที่มีคุณธรรมประเภทใดถึงจะคู่ควรนั่งบนบัลลังก์ที่สูงส่งแห่งนี้ ในสายตาของข้าผู้ที่สามารถดูแลบ้านเมืองและชาวบ้านให้อยู่อย่างมีความสุขได้คือคนที่มีคุณธรรม เจ้ากล่าวว่าข้าใช้วิธีชั่วช้า ไม่เคารพธรรมเนียมโบราณของบ้านเมือง ไป๋ชิงเหยียนด้อยความรู้ ข้าไม่กล้ากล่าวว่าธรรมเนียมเก่าผิด…”

ไป๋ชิงเหยียนมองไปรอบๆ พลางถอนหายใจออกมา “ทว่า ทุกท่าน ใต้หล้าแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว นี่ไม่ใช่ยุคสมัยที่มีแต่ความสงบสุขและเสียงดนตรีเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เราควรปรับเปลี่ยนระบอบการปกครองตามยุคสมัย ปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้เหมาะสมกับแนวคิดและวิถีชีวิตของชาวบ้านในยุคนั้นๆ ไม่ใช่จมปลักอยู่กับประเพณีเดิมๆ การเอาแต่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติเดิมโดยไม่สนความเป็นอยู่ของบ้านเมืองและชาวบ้านมีแต่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดเพิ่มมากขึ้น ระเบียบเดิมที่เคยใช้กับชาวบ้านไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับยุคสมัยนี้ หากนำมาใช้ต่อ คนที่ลำบากก็มีเพียงชาวบ้านเท่านั้น…”

บัณฑิตบางคนเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของไป๋ชิงเหยียน

แม้แต่กฎหมายยังมีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ต้องมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขไปเรื่อยๆ ไม่มีกฎหมายใดที่สำเร็จสมบูรณ์ในทันที

ไป๋ชิงเจวี๋ยมองดูพี่หญิงใหญ่ของตัวเองยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ แสงแดดสีทองส่องผ่านไม้ใบ้สีเขียวขจีแสงสีทองอ่อนและกลีบดอกไม้สีขาวหล่นกระทบลงบนบ่าของพี่หญิงใหญ่ หญิงสาวส่งยิ้มให้เหล่าบัณฑิตนิ่งๆ น้ำเสียงของนางอ่อนโยน มีความเฉียบคม ทว่า ไม่ได้แข็งกร้าว น้ำเสียงที่นุ่มนวลราวกับสายน้ำที่ไหลอยู่ในโถงน่าเสียนทำให้บัณฑิตกว่าครึ่งเห็นคล้อยตามความคิดของนางแล้ว

“ไป๋ชิงเหยียนไม่ใช่คนมากความรู้ ข้ายอมรับว่าตอนแรกข้าอยากเข้าแทนที่ราชวงศ์หลินเพราะความแค้นส่วนตัว! ทว่า การกระทำทุกอย่างของราชวงศ์หลินไม่คู่ควรที่จะเป็นคนปกครองแคว้นแห่งนี้นานแล้ว!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างเปิดเผย “คนทุกรุ่นของตระกูลไป๋มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง พวกเราทำศึกกับศัตรูอยู่บนหลังม้าโดยไม่กลัวตาย ไป๋ชิงเหยียนคือสายเลือดของตระกูลไป๋ ไป๋ชิงเหยียนไม่เคยลืมปณิธานของตระกูลไป๋ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนไม่ใช่คนที่ดีแต่ปาก ระบอบการปกครองใหม่ของไป๋ชิงเหยียนทุกข้อล้วนเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านทุกคน หากจะสรุประบอบการปกครองใหม่ของข้าอย่างสั้นๆ ได้ใจความนั่นก็คือเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านและแคว้น”

“หากวันนี้พวกท่านคนใดคนหนึ่งสามารถหาข้อเสียจากระบอบการปกครองใหม่ของข้าได้ หากพวกท่านสามารถแก้ไขข้อเสียนั้นให้กลายเป็นประโยชน์ได้ ไป๋ชิงเหยียนจะยกย่องว่าคนผู้นั้นเหนือกว่าข้า” ไป๋ชิงเหยียนโค้งกายคำนับเหล่าบัณฑิตอย่างนอบน้อม หญิงสาวมองบัณฑิตเหล่านี้เป็นเสมือนนักรบของแคว้น

“ฝ่าบาท!” บัณฑิตคนหนึ่งลุกขึ้น จากนั้นทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน บัดนี้เขาไม่ได้ดูถูกหญิงสาวเพียงเพราะนางเป็นสตรีอีกต่อไปแล้ว “ฝ่าบาททรงอนุญาตให้สตรีร่ำเรียน สอบขุนนางและรับราชการ ทว่า ฝ่าบาททรงเคยคิดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะว่านอกจากตระกูลสูงศักดิ์และชาวบ้านธรรมดาแล้ว ครอบครัวใดจะอนุญาตให้สตรีร่ำเรียนและเข้าร่วมการสอบขุนนางพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสียเมื่อสตรีแต่งงานออกเรือนไปก็ไม่ใช่คนในตระกูลอีกต่อไป ถึงแม้จะให้สตรีแต่งเขยเข้าตระกูล ทว่า แทนที่จะเสียเงินส่งสตรีร่ำเรียน คนในตระกูลต่างๆ ยินดีจะส่งเสียบุรุษไปเรียนมากกว่าอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

****************************