War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2322
ตอนที่ 2,322 : พลังอันไร้ผู้ต้าน!

เมืองเหรินโม่เชิ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์นั้น มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลนัก

หากแต่บัดนี้พลังวิญญาณฟ้าดินที่มีอยู่ในบรรยากาศของเมืองเหรินโม่เชิ่ง กลับถูกต้วนหลิงเทียนคนเดียว ดูดกลืนไปจนเกลี้ยง!!

การที่อยู่ๆพลังวิญญาณฟ้าดินก็เสมือนหายสาบสูญไปจากเมืองเหรินโม่เชิ่งแบบนี้ ย่อมทำให้ปีศาจมนุษย์ในเมืองเหรินโม่เชิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กำลังปิดด่านบ่มเพาะถึงช่วงสำคัญได้รับผลกระทบมากที่สุด!

ปีศาจหลายตนก็กำลังจะทะลวงด่านพลังอยู่รอมร่อแล้วแท้ๆ แต่พอพลังวิญญาณฟ้าดินหายสาบสูญไปอย่างกะทันหันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะดูดซับสั่งสมพลังได้พอจะทะลวงด่าน!

เรียกว่าพวกมันแทบกระอักเลือดตายจากผลกระทบของปฐมเวทย์กลืนกินเสียให้ได้! แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้รับรู้เรื่องน่าคับแค้นของเหล่าปีศาจมนุษย์เหล่านี้เลย…

และเป็นธรรมดาที่ถึงเขาจะรู้แต่เขาก็ไม่คิดจะสนใจอะไร นับประสาอะไรกับความรู้สึกผิด!

เพราะสุดท้ายแล้วเมืองเหรินโม่เชิ่งแห่งนี้ก็คือเมืองของเผ่าปีศาจมนุษย์ และพวกมันส่วนใหญ่ก็เป็นพวกปีศาจไม่ก็ผู้ฝึกมารชั่วร้ายที่อาศัยเลือดเนื้อมนุษย์บ่มเพาะพลังทั้งสิ้น กระทั่งให้เขาฆ่าพวกมันล้างเมืองยังไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวอารมณ์ใดๆ…

‘ไม่สิ…นี่มันไม่ใช่แล้ว!’

ณ ใจกลางวังเซียนสัญจร น่านฟ้าเหนือคฤหาสน์จ้าววัง ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ภายในลำแสงเบญจรงค์ที่ส่องสว่างปานเสาค้ำสวรรค์ พลันฉุกคิดได้ถึงอะไรบางอย่าง คิ้วพลันยู่ย่นเป็นปมทันที…

‘จะว่ากันตามหลักความจริง…ต่อให้ข้าจะดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินทั่วทั้งเมืองเหรินโม่เชิ่ง แต่ก็ไม่มีวันที่พวกมันจะเพิ่มพูนพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดให้ข้าได้มากมายถึงขนาดนี้! อย่างไรนี่ก็เป็นภูมิภาคเบื้องล่าง…ไม่ได้มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นบริบูรณ์เหมือนกับภูมิภาคเบื้องบน…’

พลังเซียนอมตะต้นกำเนิด คือพลังที่เหนือล้ำใดๆในบรรดาพลังของระนาบโลกียะ เพราะมันเป็นพลังอำนาจของระนาบเทวโลก…อาศัยพลังวิญญาณฟ้าดินที่เบาบางของภูมิภาคเบื้องล่างในรัศมีคลุมเมืองแบบนี้ กล่าวไปไม่สมควรมากพอให้เปลี่ยนเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมหาศาลขนาดนี้ได้เลย…

เพราะสุดท้ายแล้วพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปราวกับลำห้วยเล็กๆกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่!

‘หืม…หรือว่า…’

ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนที่กำลังวิเคราะห์สาเหตุพลันฉุกคิดได้ถึงอะไรบางอย่าง สำนึกเทวะของเขาแผ่พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงปานอัสนีฟาด ชำแรกลงไปยังใต้ผืนดินของใจกลางเมืองเหรินโม่เชิ่ง!

‘นั่นไง…ว่าแล้วเชียว’

ไม่นานใจต้วนหลิงเทียนก็สั่นไหว ด้วยเพราะมันเป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ

‘ข้า…เผลอกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินในชีพจรวิญญาณทั้งหมดของตำหนักเมฆาครามในกาลก่อนจนหมดแล้ว…’

‘แถมสายแร่หินเซียนขนาดใหญ่ทางนั้น…ตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับหินไร้ค่า ไร้ซึ่งพลังวิญญาณฟ้าดินหลงเหลือสืบไป’

ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้สาเหตุ

ว่าไฉนเขาแค่กลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินในรัศมีเมืองเหรินโม่เชิ่งแล้วพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขาถึงได้เพิ่มมากขึ้นจนผิดวิสัยแบบนี้…

ที่แท้เขาไม่เพียงกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศทั่วเมืองเหรินโม่เชิ่ง แต่เขายังกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินที่สั่งสมอยู่ในสายแร่หินเซียน กระทั่งชีพจรวิญญาณที่เป็นดั่งสายเลือดหลักคอยหล่อเลี้ยงเมืองให้เหรินโม่เชิ่งให้มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นจนหมด!!

‘เหมืองหินเซียนนั่นเดิมทีก็เป็นของตำหนักเมฆาครามข้า…และต่อให้มองไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่าง ก็เกรงว่าจะมีแต่สถานที่ตั้งตลาดมืดหยินชานเท่านั้น ที่เทียบได้ในเรื่องความบริบูรณ์…แต่ตอนนี้ข้ากลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินจากพวกมันจนเกลี้ยง ไม่รู้พลังวิญญาณฟ้าดินในเหมืองนั่นมีมากมายตั้งเท่าไหร่ แล้วสั่งสมมากี่ร้อยกี่พันปี…’

‘พลังวิญญาณฟ้าดินในเหมืองกับชีพจรวิญญาณนั่น กล่าวกันตามตรงสมควรมากกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินที่อยู่ในบรรยากาศของเมืองเหรินโม่เชิ่งนับร้อยนับพันเท่า…แต่ตอนนี้ข้าดูดกลืนมันจนเกลี้ยงแล้วจริงๆ?’

ถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้แล้วว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมหาศาลของเขามันมาจากที่ใด…

ที่แท้ไม่เพียงแต่เขาจะกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศของทั้งเมือง เขายังกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินในชีพจรวิญญาณรวมถึงพลังวิญญาณฟ้าดินในสายแร่หินเซียนของเมืองเหรินโม่เชิ่งจนเกลี้ยงกริบ!

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?”

“นี่มันเกิดอาเพศอันใดขึ้นกันแน่ ไฉนพลังวิญญาณฟ้าดินถึงได้เบาบางลงด้วยความเร็วขนาดนี้?”

“ใช่เป็นเพราะ นิมิตฟ้าดิน ที่กกำลังอุบัติขึ้นอยู่ตอนนี้หรือไม่! ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าการถือกำเนิดของครึ่งก้าวเซียนอมตะ อาจส่งผลให้พลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบเบาบางลงชั่วขณะ”

“และอาจเป็นเพราะครานี้กลับบังเกิดนิมิตฟ้าดินบ่งบอกการถือกำเนิดของ 2 ครึ่งก้าวเซียนอมตะ พลังวิญญาณฟ้าดินจึงร่อยหรอลงรวดเร็วเพียงนี้? เพราะอย่างไรการถือกำเนิดของครึ่งก้าวเซียนอมตะพร้อมกัน 2 คนในที่เดียวกันเช่นนี้ ก็ไม่เคยมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของเผ่าปีศาจเรา…”

“งั้นหมายความว่า…คราวนี้พวกเราได้อยู่เป็นพยานในเหตุการณ์ที่จักกลายเป็นหน้าหนึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์แล้วสิ!!”

“อืม สมควรเป็นเพราะสาเหตุที่เจ้าว่าไม่ผิดแน่!”

มีชนชั้นอาวุโสของ 3 วัง 6 ตำหนักมากมายที่อยู่รอบเสาแสงเบญจรงค์ทั้ง 2 กล่าวแสดงความเห็นที่พวกมันคาดกันออกมา

เพราะตอนนี้พวกมันเองก็ตระหนักได้ชัดเจนว่าพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบเบาบางลง

“มันกำลังใช้เวทย์พลังสนับสนุนของมัน?”

แน่นอนว่าในที่นี้ยังมีหลายคนที่หันไปจับจ้องเสาแสงที่คลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้

เพราะพวกมันหลายคนสัมผัสได้ชัดเจน

ว่ากลินอายพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบนั้น ไม่ได้สาบสูญไปที่ไหน หากแต่กำลังจมหายไปในเสาแสงเบญจรงค์ที่ต้วนหลิงเทียนอยู่!

คนที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ก่อนใครในที่นี้ก็คือ ประมุขเผ่าปีศาจ รวมถึงชนชั้นจ้าววังทั้ง 2 ไม่เว้นฉีหนานฟง

รองจ้าววังวิญญาณอสุรา ชิงหยวนป้า ที่แข็งแกร่งรองลงมาจากกตัวตนเหล่านี้ เพียงตระหนักได้ถึงเรื่องนี้อย่างคลุมเครือเท่านั้น…

“ดูเหมือนมันเองก็รู้ดีว่าทันทีที่เสาแสงเบญจรงค์หายไปข้าจะจัดการกับมัน!”

ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์แสยะยิ้มดูแคลน

คนอื่นๆเองก็คิดดุจเดียวกัน

“ถึงแม้มันจะเตรียมพร้อมล่วงหน้าแล้วอย่างไร สุดท้ายมันก็มิอาจหลีกหนีความตายได้พ้น!”

“ต่อหน้าท่านประมุขเผ่า ให้มันเตรียมการสัก 2-3สัปดาห์ยังไร้ประโยชน์!”

……

ชนชั้นจ้าววังรวมถึงจ้าวตำหนักที่ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเยาะออกมา

ซู่ม! ซู่ม!

หลังจากนั้นไม่นาน ประหนึ่งมีสายลมกรรโชกหอบใหญ่ซัดผ่าน เสาแสงเบญจรงค์ที่ประหนึ่งจะเชื่อมถึงสวรรค์ ในที่สุดก็จางหายไป…

หลังจากเสาแสงเบญจรงค์จางหาย ร่างทั้ง 2 ก็ปรากฏตัวสู่สายตาผู้ชมโดยรอบอีกครั้ง

เป็นต้วนหลิงเทียน กับจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน!

“ต้วนหลิงเทียน!”

ทันทีที่เสาแสงเบญจรงค์จางหาย สายตาอันรุนแรงของอวี่เหวินฮ่าวเฉินก็มองตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนทันที

ขณะเดียวกันทั่วร่างของมันยังลุกโชนไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานไปกับพลังเซียนต้นกำเนิดขึ้นมาดั่งเพลิงไฟ สภาวะดุร้ายปานสัตว์ป่ากระหายเลือดหมายกลืนกินต้วนหลิงเทียนในคำเดียว!

อย่างไรก็ตามแม้จะเผชิญหน้ากับการมองจ้องอย่างดุร้ายเอาเรื่องของอวี่เหวินฮ่าวเฉิน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แยแสมันแม้แต่น้อย เรียกว่ามันไม่อยู่ในสายตาเขาเลย!

หลังจากที่เสาแสงเบญจรงค์หายไป สายตาต้วนหลิงเทียนก็จับจ้องไปยังร่างประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ทันที

“ต้วนหลิงเทียน เจ้าเองก็เสมือนนกรู้มิเบา ถึงกับเรียกใช้เวทย์พลังสนับสนุนเสริมพลังไว้แต่แรก…แต่เจ้าคิดจริงๆหรือว่า หลังใช้เวทย์พลังสนับสนุนนั่นแล้วเจ้าจักมีปัญญาเอาชนะข้าได้?”

ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแหลมคม มุมปากยกยิ้มแสยะเย้ยหยัน

ก่อนหน้านี้พอมันรู้ว่าต้วนหลิงเทียนคือนักรบมังกร 9กรงเล็บ ทำให้มันหวาดกลัวต้วนหลิงเทียนหลังบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะอยู่บ้าง เพราะไม่มั่นใจว่าจะเอาอยู่หรือไม่…

มาตอนนี้พอมันตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่เหลือพลังมังกรให้ใช้แปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บได้อีกต่อไป มันก็ไม่กลัวอะไรต้วนหลิงเทียนอีก!

เวทย์พลังสนับสนุน?

หรือมันไม่มี?

“เอาชนะเจ้า?”

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มเฉยเมยหลังได้ยินคำถามของประมุขจเผ่าปีศาจมนุษย์ จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นออกมาโบกปัดส่งๆ ราวกับลงมือทำอะไรบางอย่างไร้สำคัญ

ทว่าทันใดนั้นเอง

ซึ่มม!!

บังเกิดเสียงมวลพลังแหวกฟ้าไปฉับไวดังขึ้นแผ่วเบา

แทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือไปตามอำเภอใจนั้น บังเกิดเป็นกลิ่นอายพลังมหาศาลขุมหนึ่งกำจายออกมาทั่วอาณาบริเวณ เป็นพลังไร้สภาพขุมหนึ่งแหวกฟ้าทะลวงอากาศออกไปด้วยความเร็วประหนึ่งอัสนีฟาดผ่า!

และก่อนที่ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์และคนอื่นๆจะทันได้ตอบสนอง พลังไร้สภาพขุมดังกล่าวก็บรรลุถึงร่างหนึ่ง! กักขังเอาไว้ในห้วงพลังอย่างง่ายดาย!!

จนกระทั่งร่างดังกล่าวถูกต้วนหลิงเทียนใช้พลังชักนำมาหยุดเบื้องหน้าเขาแล้ว ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ถึงจะเริ่มตอบสนองเรื่องราว และนั่นทำให้หน้ามันเปลี่ยนสีไปอย่างใหญ่หลวง!!

“นิ…นี่มัน…”

หลังจากนั้นก็เป็นจ้าววังเซียนสัญจรอวี่เหวินฮ่าวเฉิน ที่ตอบสนองเรื่องราวเป็นคนต่อมา และสีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน

เพราะแต่ต้นจนจบมันไม่ทันเห็นเลยว่าต้วนหลิงเทียนลงมืออย่างไร…

แต่จ้าววังวิญญาณอสุราฉีหนานฟง กลับถูกต้วนหลิงเทียนใช้พลังจับตัวเอาไว้แล้ว!

กระบวนการคล้ายง่ายดายปานพญาอินทรีย์คว้าจับลูกเจี๊ยบ!

หลังประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์และอวี่เหวินฮ่าวเฉินรู้สึกตัว คนอื่นๆก็เริ่มรู้สึกตัวเช่นกัน

ฟืด! ฟืด! อา! โอ!

เมื่อพวกมันเห็นว่าบัดนี้ จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง อยู่ๆก็ไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน กระทั่งยังคุกเข่าก้มหัวลงไปไม่แม้กระทั่งเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนสีไปทันที แววตาฉายชัดถึงความหวาดกลัวเหลือเชื่อ

บางคนก็มีอาการดังกล่าวหนักกว่าใครเพื่อน

แน่นอน

หากจะถามว่าตอนนี้ใครที่กำลังตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัวระคนเหลือเชื่อมากกว่าใคร ก็ย่อมเป็นผู้ที่ถูกกระทำโดยตรงอย่างจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง นั่นเอง!

เมื่อครู่ตอนที่ต้วนหลิงเทียลงมือแผ่พุ่งพลังไร้สภาพมาควบคุมตัวมันเอาไว้ กระทั่งหอบหิ้วร่างมันทั้งจัดให้มันอยู่ในท่าคุกเข่าเช่นนี้ ระหว่างกระบวนการทั้งหมด มันไม่อาจตอบสนองใดๆได้ทันเลย!

และมันก็ไม่มีปัญญาจะต้านทานใดๆได้!

เรียกว่าพอมันรู้สึกตัวอีกที อยู่ๆมันก็ถูกจับมาคุกเข่าก้มหัวแบบนี้เสียแล้ว!!

และเบื้องหน้าที่มันคุกเข่าก้มหัวให้ จากเท้าเปลือยเปล่าแบบนี้ก็คือนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน ที่มันแทบทนรอฆ่าอีกฝ่ายไม่ไหวไม่ผิดแน่!

ตอนนี้สองตามันแดงฉานด้วยเส้นเลือดฝอยปริแตก

มันพยายามแข็งข้อต่อต้านหมายลุกขึ้นยืนให้ได้ กระทังเกร็งร่างจนกล้ามเนื้อปูดโปนแทบปริ แต่มันก็พบว่ามีพลังมหาศาลประหนึ่งจะเป็นพลังอันไร้ผู้ต้านสะกดกักมันเอาไว้! ยังยับยั้งไม่ให้พลังเซียนต้นกำเนิดทั้งไอมารมันโคจรขับเคลื่อนได้สักกระผีกเดียว!!

‘เป็นไปได้อย่างไร!?’

‘ต่อให้มันเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ มันก็ไม่สมควรมีพลังสะกดข้ามากมายจนข้าทำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้!?’

ตอนนี้นอกจากความตกใจแล้ว ในใจของฉีหนานฟงก็เต็มไปด้วยความหวาดผวาพรั่นกลัว

ทั้งตกใจและหวาดผวากับพลังอันน่ากลัวของต้วนหลิงเทียน!

ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ หลังบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว กลับสำแดงพลังอำนาจที่เหนือล้ำยิ่งกว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะไปไกลโข!!

“นิ…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?!”

“นั่น…นั่นใช่จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ผู้นั้นจริงๆหรือ?”

“สวรรค์! พลังของต้วนหลิงเทียนไฉนกล้าแข็งร้ายกาจเพียงนี้…นี่น่ะเหรอพลังอำนาจของตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!”

“เป็นไปไม่ได้! ต่อให้ครึ่งก้าวเซียนอมตะจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งถึงขีดขั้นนี้! จ้าววังวิญญาณอสุราฉีหนานฟง จะอย่างไรก็เป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ที่สำนึกรู้ฟ้าดินเองก็เจียนถึงขีดจำกัดแล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ร้ายกาจที่สุด ก็ไม่มีทางมีพลังมากพอจะบีบคั้นให้มันอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้!!”

จังหวะนี้เหล่าคนของ 3 วัง 6 ตำหนักได้แต่อุทานกันออกมาอย่างตื่นตระหนก ความหวาดกลัวเริ่มฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าของพวกมัน และไม่มีทีท่าว่าความหวาดกลัวนี้จะหายไปได้โดยง่าย!

นั่นมันยอดฝีมือระดับแนวหน้าของเผ่าปีศาจมนุษย์ ชนชั้นจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง!!

ทว่าอยู่ต่อหน้านายน้อยตำหนักเมฆาคราม กลับไม่ต่างใดจากมดปลวกตัวกระจ้อยที่ทำได้แค่คุกเข่าโค้งคำนับ ไม่แม้แต่จะโงหัวขึ้นมาได้!