บทที่ 981 ทำให้คนใหญ่คนโตขุ่นเคืองเข้าจนได้

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 981 ทำให้คนใหญ่คนโตขุ่นเคืองเข้าจนได้

บทที่ 981 ทำให้คนใหญ่คนโตขุ่นเคืองเข้าจนได้

ช่างเถอะ ถึงจะเป็นอาจารย์ของเด็กสาว แต่อย่าเอาไปเทียบกับเด็กหัวกะทิเลย

รังแต่จะทำให้ไม่สบายใจเท่านั้น

“เอาเล่มนั้นมาก็ได้”

อ่านฆ่าเวลาไปก่อน

เซี่ยหนานรับมาแล้วเริ่มอ่านบ้าง

หลังจากอ่านได้สักพักก็เริ่มสนใจเนื้อหาในนั้น

โลกเราจะพัฒนามาถึงจุดนี้ได้จริง ๆ หรือ?

หรือเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน?

เซี่ยหนานตั้งใจอ่านมากจนไม่ทันสังเกตว่า อิ่นหรูอวิ๋นกำลังมองมาที่เธอ

หญิงสาวนึกอิจฉา

ซูเสี่ยวเถียนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนเลย

ถ้าตอนนั้นเลือกอีกเส้นทางหนึ่ง คงได้กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว

ยิ่งได้ยินเสี่ยวเถียนพูดถึงหนังสือ ‘Les Misérables’ เวอร์ชันภาษาฝรั่งเศส เธอถึงกับยิ้มออกมา

ความอิจฉาในตอนนั้นน่าตลกจริง ๆ

เราต้องเปรียบเทียบกับคนที่พอ ๆ กันสิ ถึงจะสมเหตุสมผล

เสี่ยวเถียนไปไกลจากเธอหลายพันลี้แล้ว แต่ตัวเธอกลับพยายามเทียบเท่าจนทำลายชีวิตตัวเอง

พอตอนนี้มาคิดก็ได้แต่นึกว่าทำไปทำไมนะ?

ต่อให้ขี่ม้าตามไปก็ยังไล่ตามไม่ทันเลย

เซียวหย่วนหยางตกใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ซูเสี่ยวเถียนเป็นคนที่เขาหมายหัวเอาไว้ จึงรู้โดยปริยายว่าเจ้าตัวเรียนคณะภาษาจีน

ทั้งยังเคยได้ยินข่าวคราวมาอยู่ว่าทักษะภาษาต่างประเทศของเธอดีมาก

แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจ

แค่คิดว่าเด็กบ้านนอกมันจะไปเก่งขนาดไหนกันเชียว

แท้จริงแล้วคือแบบนี้เองหรือ?

อ่าน ‘Les Misérables’ ต้นฉบับได้ไม่ใช่แค่เก่งเฉย ๆ นะ แต่ต้องเก่งระดับมืออาชีพเลยใช่ไหม?

เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมกระทรวงการต่างประเทศถึงให้คนส่งเขาไปตะวันตกเฉียงเหนือ

นี่คือเหตุผลเองสินะ?

เซียวหย่วนหยางรู้สึกพ่ายแพ้

ทำให้คนใหญ่คนโตขุ่นเคืองเข้าจนได้!

ระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเซี่ยหนาน

“เสี่ยวเถียน เล่มนี้เขียนดีจัง แต่ฉันไม่เคยได้ยินชื่อคนเขียนมาก่อนเลย”

“อาใหญ่ของหนูเขียนเองค่ะ ท่านไม่ได้เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงน่ะอาจารย์เลยไม่เคยได้ยินมาก่อน”

คำตอบของเธอทำเอาคนฟังตื่นตระหนก

“อาของเธอเขียนนิยายด้วยหรือ?” เซี่ยหนานประหลาดใจ

ถึงจะเคยไปหมู่บ้านหนานหลิ่งมาก่อน แต่มันก็เหมือนหมู่บ้านธรรมดา ๆ ทั่วไปนั่นแหละ

แถมชาวบ้านก็แค่ชาวนาเองนะ

แต่สถานที่แห่งนั้นกลับทำให้ตระกูลซูเติบใหญ่ขึ้นมา

ทีแรกคิดว่าเด็ก ๆ บ้านนี้เก่งแล้วนะ

กลายเป็นว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่เก่งอยู่แล้ว

ไม่สิ ปู่ย่านู่นเลยต่างหากที่ไม่ธรรมดา

คนแบบคุณย่าซูจะธรรมดาได้ยังไง?

ทั้งสองสนทนากันอย่างมีความสุข เนื้อหาหลัก ๆ คือสิ่งที่ซูหม่านซิ่วเขียนในนิยาย

ส่วนอนาคตจะไปทางไหนไม่มีใครรู้

เซี่ยหนานรู้สึกว่าเทคโนโลยีที่กล่าวไว้ในนั้นน่าทึ่งมาก

และเสี่ยวเถียนก็เชื่อมั่นว่าจะต้องเป็นเรื่องจริงได้ในสักวัน

ที่เชื่อเพราะเธอเคยตายมาก่อน เทคโนโลยีที่อาใหญ่เขียนได้รับการค้นคว้ามาหมดแล้ว

ถึงจะยังไม่มีผลงานออกมาให้ได้ดู แต่เหมือนว่าจะมีคนศึกษากันอยู่นะ

และอีกสิบปีข้างหน้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว ความฝันพวกนั้นจะกลายเป็นจริงในที่สุด

ช่วงเช้าเราสนทนาและอ่านหนังสืออย่างมีความสุข

ถึงช่วงกลางวันเสี่ยวเถียนจึงหยิบกล่องข้าวออกมา

เป็นมื้อที่สามของวันนี้แล้ว อาหารใส่ในกล่องอะลูมิเนียม ดูไม่มีอะไรน่าสนใจ

แต่อิ่นหรูอวิ๋นรู้ได้เลยว่าอาหารในนั้นจะต้องเป็นของอร่อยแน่นอน

ทันทีที่เปิดกล่อง กลิ่นหอมของแป้งทอดต้นหอมอันเข้มข้นก็พุ่งออกมาทันที เรียกความหิวโหยของผู้อาศัยในห้องโดยสารได้มาก

“อันนี้เป็นอาหารพิเศษท้องถิ่นในบ้านเกิดหนูเองค่ะ เรียกว่าโหยวหูเสวียนหรือเสื้อขนรุ่งริ่งค่ะ อร่อยนะคะ อาจารย์ลองชิมดู”

เสี่ยวเถียนหยิบแตงกวาและมะเขือเทศออกมาเป็นเครื่องเคียงด้วย

“ทำไมถึงเรียกว่าเสื้อขนรุ่งริ่งหรือ?” เซี่ยหนานสนใจ

เป็นแป้งทอดต้นหอมที่ชื่อแปลกจริง ๆ ไม่เข้าใจเสียเลย

“ปกติแป้งทอดต้นหอมในพื้นที่อื่น ๆ ตัวแป้งจะเป็นแผ่นเต็ม ๆ ใช่ไหมคะ แต่เจ้าเสื้อขนรุ่งริ่งเป็นอาหารทดสอบฝีมือค่ะ แป้งที่อบออกมาจะต้องปล่อยขาดตามธรรมชาติ พอวางบนจานแล้วจะเห็นเป็นแผ่นแป้งรุ่ย ๆ เหมือนเสื้อขนขาด ๆ ที่วางกองรวมกัน เพราะแบบนี้เลยตั้งชื่อว่าเสื้อขนรุ่งริ่งค่ะ”

เสี่ยวเถียนว่าแล้วใช้ตะเคียบคีบขึ้นมาแยกให้ดูชัด ๆ

“จริงด้วย!” เซี่ยหนานหัวเราะคำตอบเชิงเปรียบเทียบ

“ลองชิมดูค่ะ เราใช้น้ำมันงาที่ทำเองด้วยนะคะ”

เสี่ยวเถียนคีบชิ้นแป้งมาวางไว้บนจาน

ตัวแป้งที่หักตามธรรมชาติวางกองกัน

เมื่อคืนเราใช้จานนี้กินเกี๊ยวละ เป็นจานที่ทำอย่างประณีตด้วย

แม้เซี่ยหนานจะสงสัยว่าทำไมเสี่ยวเถียนถึงแบกอุปกรณ์มาครบครันเวลาเดินทาง แต่ก็ไม่ได้ถาม

ทุกคนล้วนมีงานอดิเรกของตัวเอง นี่คงเป็นนิสัยของเสี่ยวเถียนละมั้ง

เซียวหย่วนหยางพึมพำ

ซูเสี่ยวเถียนรู้จักมีความสุขเหลือเกินนะ แม้กระทั่งขึ้นรถไฟก็ยังเตรียมของมาพร้อม

อาหารเครื่องดื่มครบครัน เหลือแค่หม้อกับกระทะแค่นั้นแหละ

สองคนอีกฝั่งเตียงลอบกลืนน้ำลาย

“อาจารย์เซี่ยลองชิมมะเขือเทศลูกนี้ดูค่ะ อร่อยมากนะ บ้านเราปลูกเองเลย ยิ่งเก็บตอนสุกยิ่งอร่อยกว่าที่ขายข้างนอกเยอะเลยค่ะ!”

เสี่ยวเถียนแบ่งครึ่งมะเขือเทศเป็นสองซีก แล้วยื่นให้

เนื้อมะเขือเทศใสดุจคริสตัลน่าดึงดูดมาก จนทำเอาคนเห็นน้ำลายไหล

เซียวหย่วนหยางรู้สึกมีกรรมเหลือเกินที่ได้นั่งกับคนพวกนี้

โชคดีที่กำลังจะลงรถ เหลืออีกชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมาย

อดทนไว้ เรามีเงิน ลงไปเมื่อไรอยากกินอะไรซื้อเลย

แตงกวากรอบ ๆ มะเขือเทศรสเปรี้ยวหวาน และเสื้อขนรุ่งริ่งอันหอมหวนทำคนทั้งสองกินอิ่มอย่างสบายใจ

“คงจะดีถ้ามีซุปไข่มะเขือเทศอีกสักถ้วยนะคะ” เสี่ยวเถียน

“เรื่องเยอะจริง ๆ เราอยู่บนรถไฟนะ!” เซี่ยหนานยิ้ม

กินข้าวเสร็จเสี่ยวเถียนก็หยิบอุปกรณ์ไปล้าง ตอนนั้นเองที่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาทางเธออย่างเร่งรีบ