ตอนที่ 243-1 เอาชนะจั๋วหม่าตัวปลอม
ชนเผ่าถ่าน่าไม่มีฤดูหนาว อากาศที่นี่เหมือนฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี สภาพอากาศเหมาะแก่การดำรงชีวิต หลังจากเก็บข้าวของสำหรับเดินทางเรียบร้อยแล้ว คณะของเฉียวเวยก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังหุบเหวร้อยผีท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า ครั้งนี้นอกจากพวกเขากันเองแล้ว ไม่อนุญาตให้พาองครักษ์ใดๆ ไปด้วยทั้งสิ้น
ทางฝั่ง “จั๋วหม่าน้อย” ใช้เหตุผลที่ว่าสุขภาพไม่แข็งแรงในการไม่พา “จิ่งอวิ๋นน้อย” กับ “วั่งซูน้อย” ไปด้วย ให้เพียง “เฉียวเจิง” ไปตามหาสมบัติกับนางคนเดียว
เหล่าผู้อาวุโสไม่มีความเห็นใดกับคำขอนี้ เพราะถึงอย่างไรสถานที่เช่นนั้นผู้ใหญ่ไปก็ยังกลัว นับประสาอะไรกับเด็กสองคน ให้อยู่ที่นี่ก็ให้อยู่ที่นี่ไปสิ!
เหล่าผู้อาวุโสหันไปมองวั่งซูกับจิ่งอวิ๋น ขณะที่กำลังจะถามเด็กทั้งสองว่าอยากอยู่ที่นี่ด้วยเหรือไม่ ก็เห็นว่าทั้งสองกระโดดขึ้นรถม้ากันไปอย่างรวดเร็วแล้ว
เดิมทีเด็กทั้งสองก็โตอยู่บนภูเขา การขึ้นเขาจึงเหมือนการได้กลับบ้าน ไฉนเลยจะนึกกลัว กลับเป็นว่าดีใจเสียยิ่งกว่าอะไรที่ในที่สุดจะได้ออกไปเล่นข้างนอกเสียที
เฉียวเจิงไปเพื่อเด็ดสมุนไพร จากประสบการณ์ในการเป็นหมอพเนจรมาสิบห้าปีของเขา ยิ่งที่ที่ผู้คนอยู่น้อย สมุนไพรจะยิ่งอุดมสมบูรณ์
และแน่นอนว่าย่อมขาดเจ้าสัตว์น้อยทั้งสามที่ไว้เป็นแนวหน้าคอยเปิดทางไปไม่ได้
เฉียวเวยเอาตะกร้าใบเล็กใส่หลังให้สัตว์น้อยทั้งสามก่อนที่พวกมันจะกระโดดขึ้นรถม้าไปทีละตัว นั่งเรียงแถว มือวางบนตัก ว่าง่ายเสียยิ่งกว่าอะไร!
“นี่เป็นของที่เจ้าอยากได้” ไซน่าฮูหยินเดินนำองครักษ์ที่ถือห่อเล็กห่อน้อยเข้ามา องครักษ์เอา “สัมภาระ” วางให้บนรถม้า เฉียวเวยเอ่ยขอบคุณแล้วโบกมือลาไป
รถม้าเป็นของปราสาทเฮ่อหลัน สารถีคือองครักษ์ของปราสาทเฮ่อหลัน องครักษ์จะพาพวกเขาไปส่งยังปากทางเข้าหุบเหว หลังจากนั้นจะรอพวกเขาอยู่กับที่ พวกเขามีเวลากันสามวัน หลังจากสามวันนี้ผ่านไป ไม่ว่าจะตามหาไข่มุกจันทร์กระจ่างพบหรือไม่ จะต้องกลับไปรายงานทันที
ทางด้านนี้ คณะของเฉียวเวยขึ้นนั่งบนรถม้ามุ่งหน้าไปยังหุบเหว อีกด้านหนึ่ง จีหมิงซิวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยและจีอู๋ซวงก็ลอบออกเดินทางเช่นกัน เพียงแต่เพื่อหลบหูหลบตาผู้คน พวกเขาจึงเลือกไปยังทางเข้าแห่งใหม่
เฉียวเวยไม่อยากเอ่ยถึงการเล่นขี้โกงเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรตั้งแต่ชั่วขณะที่เจ้าตัวปลอมแปลงโฉมเป็นนาง ก็ไม่มีการประลองฝีมือที่ถูกต้องยุติธรรมมาแต่แรกแล้ว
แน่นอนว่าคนที่เล่นขี้โกงไม่ได้มีแค่พวกเขา ฮาจั่วแห่งตระกูลปี้หลัวก็พาองครักษ์มือดีลอบแทรกซึมเข้าไปในหุบเหวเช่นกัน
หลังจากพวกเขาแล้ว ตระกูลไซน่า ตระกูลถ่าถาเอ่อร์และตระกูลปาฮาเอ่อร์ก็ต่างส่งองครักษ์ที่ห้าวหาญที่สุดเข้าไปภายในเช่นกัน
ตกบ่าย รถม้าสองคันก็ตามกันมาถึงปากทางเข้าทางทิศใต้ ทหารผู้กล้าส่วนใหญ่เลือกที่จะเข้าไปจากทางนี้ เดิมทีที่นี่ไม่มีทางเดิน แต่พอมีคนเดินมากเข้า จึงค่อยๆ กลายเป็นถนนที่กว้างพอควร หากเดินตามทางเดินใหญ่นี้เข้าไป สามารถเข้าไปถึงใจกลางหุบเหวได้
เหล่าองครักษ์เลิกผ้าม่านเปิดให้อย่างเคารพนบนอบ ให้จั๋วหม่าน้อยทั้งสองรวมถึงคนในครอบครัวของพวกนางลงมาจากรถ
เฉียวเวยเอาสัมภาระเล็กใหญ่ลงมาจากรถ แบ่งใส่ตะกร้าสะพายหลังสองใบให้ตนกับเฉียวเจิงสะพายกันคนละใบ เจ้าสัตว์น้อยทั้งสามก็มีงานต้องทำ จึงแบ่งอันเล็กๆ ที่พอแบกไหวไปให้พวกมันด้วย
สตรีนางนั้นเห็นภาพเช่นนี้ก็อดยกมุมปากด้วยความดูแคลนไม่ได้ “พกของไปตั้งมากมายเพียงนี้ คิดจะไปอยู่ฉลองปีใหม่ในนั้นเลยหรือไร”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย ข้ามีคนมาก อยากเอาอะไรไปก็ได้ทั้งนั้น”
“คนมาก?” สตรีนางนั้นหลุบตาแล้วยิ้มเยาะ คิดในใจว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าฮาจั่วกับตระกูลปาฮาเอ่อร์ส่งคนมาอีกเท่าไรกระมัง พูดตามจริงนี่ไม่นับว่าเป็นการประลองระหว่างพวกนางสองคนอีก แต่เป็นการดูว่าขั้วอำนาจทั้งสองฝ่าย ใครจะช่วงชิงเป็นที่หนึ่งได้ก่อนกัน สิ่งที่นางต้องทำก็คือแค่แสดงละคร เดินไปเดินมาอยู่ริมชายป่า รอให้ฮาจั่วตามหาไข่มุกจันทร์กระจ่างพบ ก็นับว่านางปฏิบัติภารกิจครั้งนี้สำเร็จแล้ว หรือต่อให้หาไม่เจอก็ไม่เป็นไร ถ้าฮาจั่วหาไม่เจอ พวกเขาก็ต้องหาไม่เจอเช่นกันแน่ หากหาไม่เจอก็อิงตามคะแนนเดิมของเมื่อวาน เช่นนั้นนางก็ชนะเป็นหมื่นครั้งแน่นอนอยู่แล้ว
เฉียวเวยรู้ว่าเจ้าตัวปลอมคิดอะไรอยู่ แต่น่ากลัวว่าหมากที่วางเอาไว้คงจะล่มไม่เป็นท่า หมิงซิวก็เข้ามาในป่านี้แล้วเช่นกัน เขาคนนี้เจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นที่หนึ่ง ฮาจั่วเคยประสงค์ร้ายต่อบุตรทั้งสอง หากไม่ได้ประจันหน้ากันก็ยังไม่เท่าไร แต่หากได้เจอ น่ากลัวว่าใต้เท้าเจ้าสำนักคงอยากถลกหนังฉีกเนื้อเขาออกมาแน่
ส่วนองครักษ์กลุ่มนั้นของตระกูลปาฮาเอ่อร์ก็ให้เป็นหน้าที่ตระกูลถ่าถาเอ่อร์ในการจัดการก็แล้วกัน หวังว่าตระกูลเดิมของไซน่าฮูหยินจะไม่ทำให้ผิดหวัง
องครักษ์นายหนึ่งเอ่ยว่า “จั๋วหม่าน้อย เดินตามทางนี้มุ่งหน้าลงใต้ไปเรื่อยๆ จะมีกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กที่เหล่าบรรพบุรุษเคยสร้างไว้ ทุกท่านตามหาสมบัติในยามกลางวัน ตกกลางคืนสามารถไปพักผ่อนที่นั่นได้”
“ข้ารู้แล้ว” เฉียวเวยกับสตรีนางนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
สตรีนางนั้นปรายตามองเฉียวเวยทีหนึ่ง เฉียวเวยเลิกคิ้ว พาบุตรทั้งสองกับบิดาของตนเดินเข้าป่าไปด้วยกัน
จากนั้น สตรีนางนั้นกับท่านพ่อเฉียวตัวปลอมก็เดินเข้าไป
ป่าแห่งนี้ไม่มีร่องรอยของผู้คนเลยจริงๆ ต้นไม้แต่ละต้นสูงใหญ่ดกหนา มีมอสขึ้นตามลำต้นเต็มไปหมด ทั้งตามลำต้นและตามพื้น แสงแดดตามธรรมชาติส่องลอดลงมายังสีเขียวชอุ่ม สะท้อนจนเห็นเป็นประกายระยิบระยับ มีแม่น้ำสายเล็กไหลคดเขี้ยวอยู่ตรงกลาง น้ำใสจนเห็นไปถึงก้นบ่อ เสียงน้ำไหลนี้ทำให้จิตใจปลอดโปร่งยิ่งนัก
เฉียวเวยสูดหายใจเข้าออกลึกๆ อย่างงดงาม หุบเหวร้อยผีอะไรกัน นี่มันสรวงสวรรค์ในแดนมนุษย์ชัดๆ!
“หลิงจือ!”
จู่ๆ เฉียวเจิงก็ร้องลั่นพลางวิ่งเข้าไปหาต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง “เห็ดซู่เฉอ! นี่มันเห็ดซู่เฉอ! ข้าได้เจอเห็ดซู่เฉอเลยหรือนี่! ข้าบอกแล้วว่าที่นี่ต้องมีของดี!”
เห็ดซู่เฉอเป็นเห็นหลิงจือประเภทหนึ่ง มีฤทธิ์ในการลดอักเสบและต้านมะเร็ง นับเป็นสมุนไพรที่พบเห็นได้น้อยนัก
เฉียวเจิงเด็ดเห็ดซู่เฉอด้วยความระมัดระวัง แล้วเอาใส่ตะกร้าด้านหลัง
หลังจากนั่งรถม้ามาทั้งวัน ท้องก็ร้องเสียแล้ว พวกเขารีบเร่งเดินทางไปยังกระท่อมไม้ไผ่โดยเร็วที่สุด กระท่อมไม้ไผ่นี้หลังเล็กมาก มีห้องโถงหนึ่งห้อง ห้องนอนสองห้อง ห้องเล็กอยู่ข้างหน้า ห้องใหญ่อยู่ข้างหลัง ทุกห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย นอกจากโต๊ะ เก้าอี้ กับเตียงนอนหนึ่งหลังแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก
สตรีนางนั้นพอเข้าไปในบ้านได้ก็เดินเข้าไปยังห้องที่ใหญ่กว่าทันที เฉียวเวยดึงคอเสื้อด้านหลังนางไว้ ก่อนจะโยนนางออกไปอย่างไร้ความเกรงใจทันที
สตรีนางนั้นยกมือเตรียมจะฟาดฝ่ามือใส่เฉียวเวย แต่กระนั้นนางยังไม่ทันแตะถูกเฉียวเวยแม้แต่ปลายเส้นผม ก็ถูกเฉียวเวยคว้าข้อมือไว้ได้อย่างง่ายดายเสียแล้ว นางรู้สึกเพียงว่าข้อมือของตนคล้ายถูกคีมเหล็กหนีบเอาไว้ เป็นตายอย่างไรก็ขยับไม่ได้
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “แม่คนงาม ที่นี่ไม่ใช่ปราสาทเฮ่อหลันนะที่จะมีเหอจั๋วคอยคุ้มกะลาหัวเจ้า หากรู้อยู่ก็ควรเก็บหางเสียให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษหากข้าจะหักกระดูกเจ้าเป็นชิ้นๆ แล้วบอกเพียงว่าเจ้าเป็นคนเสียหลักล้มเอง”
สตรีนางนั้นเดือดดาล “เจ้ากล้า?”
เฉียวเวยยิ้มยั่ว “เจ้าว่าข้ากล้าหรือไม่เล่า”
“เจ้า…”
สตรีนางนั้นยังไม่ทันพูดอะไร ก็เห็นต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋เข้ามายืนตรงหน้าประตูอย่างพร้อมเพรียง แต่ละตัวถลึงตาดุดัน มองนางด้วยสายตาโหดเหี้ยมดุร้าย
ใจนางพลันสะอึก เก็บมือกลับมาเรียบๆ แล้วหิ้วห่อผ้าเดินเข้าห้องเล็กอีกห้องไป
อดทนไว้ นางแค่ต้องอดทนไว้ก่อน สามวันหลังจากนี้นางจะคอยดูว่าผู้หญิงคนนี้ยังจะโอหังอย่างไรอีก!
ตกกลางคืน เฉียวเจิงสุมไฟขึ้นที่ตรงลาน เสี่ยวไป๋จับงูพิษตัวเล็กที่เนื้อแน่นฉ่ำมาได้ตัวหนึ่ง จูเอ๋อร์เด็ดผลไม้ป่ารสหวาดอมเปรี้ยวมาหนึ่งตะกร้า น้อยครั้งนักที่ต้าไป๋จะไม่จับหนูนา แต่จับกระต่ายมาได้ตัวหนึ่ง
เฉียวเวยหั่นเนื้องูกับเนื้อกระต่าย พอล้างสะอาดเรียบร้อยก็เอาขึ้นไปวางบนไฟ
ซาลาเปาน้อยหิ้วกระบอกไม้ไผ่มาคนละอัน ในกระบอกใส่ผลไม้ที่จูเอ๋อร์เด็ดมา เดินจูงมือกันไปที่แม่น้ำด้านหลังกระท่อมไม้ไผ่ มือน้อยๆ ของเด็กทั้งสองยื่นลงไปในแม่น้ำที่ใสสะอาด เอาผลไม้ผลแดงฉ่ำล้างน้ำจนส่องประกาย
วั่งซูอ้าปากกัดคำหนึ่ง “ว้าว! หวานจัง!”
สตรีนางนั้นเคี้ยวธัญพืชแห้งๆ ไร้รสชาติอยู่ภายในห้อง พอได้กลิ่นหอมของเนื้อที่ลอยมาจากในลาน ท้องก็ร้องโครกครากๆ ทันที
นางกัดฟันกรอด อดทนไว้สามวัน อดทนไว้สามวัน อดทนไว้สามวัน…
“ท่านแม่! พวกเรากลับมาแล้ว!” วั่งซูกับพี่ชายเดินจูงมือกันกลับมาที่ลาน จิ่งอวิ๋นเอากระบอกไม้ไผ่วางไว้บนโต๊ะด้านนอก วั่งซูกลับไม่เอาไปวาง แต่ถือกระบอกไม้ไผ่เดินย่องเข้าไปในห้อง
“ทำอะไรน่ะ” เฉียวเวยถาม
วั่งซูตอบว่า “ข้า… ข้า… ข้าจะเอาไปวางในห้อง!”
เฉียวเวยได้ฟังก็รู้สึกแปลกๆ จึงคว้ากระบอกไม้ไผ่ในมือบุตรสาวไป พอเพ่งสายตามอง ผลไม้เล่า เหตุใดถึงไม่เหลือสักลูกเลย!
วั่งซูเลียปากอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับเรอออกมาเบาๆ
เฉียวเวยกระตุกมุมปาก สมองนางมีปัญหาอะไรกันแน่ถึงได้ให้บุตรของนางคนนี้เอาผลไม้ไปล้าง นี่มันต่างอะไรกับการให้หม่าป่าไปเลี้ยงแกะหรือ
เฉียวเจิงเด็ดเห็ดกลับมาจำนวนหนึ่ง เฉียวเวยเลือกส่วนที่กินได้ไปล้าง พร้อมกับจับปลาตัวอวบอ้วนกลับมาด้วยสองตัว
เฉียวเจิงนั่งลง พลิกย่างเนื้อกระต่ายที่อยู่บนไฟ
วั่งซูนั่งน้ำลายไหลอยู่ข้างๆ “เนื้อกระต่ายรสชาติเป็นเช่นไรหรือ ท่านตา”
เฉียวเจิงตอบยิ้มๆ ว่า “เนื้อกระต่ายน่ะนะ ฉ่ำๆ แน่นๆ”
“อร่อยหรือไม่ ท่านตา” วั่งซูสูดน้ำลาย
“อร่อยสิ มาๆๆ ตาเฉือนให้เจ้าชิมชิ้นหนึ่งนะ” เฉียวเจิงหั่นเนื้อแน่นๆ ตรงขากระต่ายให้หลานสาวอย่างเอาใจใส่ ก่อนจะป้อนใส่ปากนาง “อร่อยหรือไม่”
วั่งซูหลับตาดื่มด่ำ “อร่อยเจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยล้างเห็ด จับปลาตัวใหญ่ตามธรรมาชาติมาได้สองตัว แล้วจึงเดินเรื่อยๆ กลับมายังลาน เนื้อกระต่ายย่างมานานเพียงนี้ ควรเอาลงได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะแห้งไปเสีย เฉียวเวยกำลังจะอ้าปากบอกให้บิดาเอาเนื้อกระต่ายลงจากไฟ แต่กลายเป็นว่านางแทบเสียสติเมื่อเห็นว่าเนื้อกระต่ายมลายหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงโครงกระดูกอันเหี่ยวแห้งเท่านั้น
เนื้อเล่า? เนื้อของนางเล่า!
เฉียวเจิงเหลือบมองขึ้นฟ้า วั่งซูเรอออกมาเบาๆ
สุดท้ายของท้ายที่สุด อาหารอันแสนโอชะมื้อนี้ก็จบลงด้วยปลาเผาเนื้อแน่นสองตัว น้ำแกงเห็ดหอมฉุยหนึ่งหม้อเล็ก กับแผ่นแป้งธัญพืชแห้งๆ ที่พกมาเองสิบแผ่น
วั่งซูเอามือลูบท้อง “เฮ่อ กินอิ่มแค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น ดีต่อสุขภาพเหลือเกิน”
อิ่มแค่เจ็ดแปดส่วน… พูดราวกับว่าแผ่นแป้งห้าแผ่น ผลไม้หนึ่งกระบอก กระต่ายย่างเกือบทั้งตัว ปลาหนึ่งตัว กับน้ำแกงเห็ดครึ่งหม้อลงไปอยู่ในท้องคนอื่นอย่างนั้นแหละ!
พวกเขาทั้งครอบครัวกินอิ่มกันพอประมาณแล้วก็เก็บข้าวของเข้าบ้านไป
ภายในห้องอีกห้องหนึ่ง สตรีนางนั้นกับเฉียวเจิงตัวปลอมพากันถอนหายใจยาว นับว่าจบแล้วใช่หรือไม่ พวกเขาถูกยั่วน้ำลายกันแทบจะตายอยู่แล้ว
เฉียวเวยกำลังยกเก้าอี้ยาวสองตัวอยู่ในห้องโถง เผอิญว่าสตรีนางนั้นก็จะออกมายกเก้าอี้เข้าห้องเช่นกัน สตรีนางนั้นมองเฉียวเวยด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง เชิดคางขึ้นเอ่ยอย่างแสดงอำนาจว่า “ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ออกมาทำเสียงอะไรให้น้อยๆ หน่อย ที่นี่เป็นหุบเหวร้อยผี ไม่ใช่ปราสาทไซน่า หากเจ้าเอะอะมะเทิ่งไปทั่วจนล่อเอาผีสางมาที่นี่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ข้ายินดี เจ้ายุ่งอะไรได้หรือ”
สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ตัวเจ้าอยากหาที่ตายเอง ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ!”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ถ้าไม่อยากเอาด้วย ออกจากบ้านก็เลี้ยวขวาไปเสีย”
สตรีนางนั้นเอ่ยขู่ “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!”
“ก็ข้าไม่เชื่อนี่” เฉียวเวยเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ
สตรีนางนั้นสะอึกจนสูดหายใจได้อากาศเย็นๆ “ไม่เชื่อก็แล้วไปเถอะ เห็นแก่ที่เดินทางมาด้วยกัน ข้าขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ตกกลางคืนลงกลอนประตูให้ดี ได้ยินเสียงอะไรก็อย่าออกมา ไม่อย่างนั้น…”
เฉียวเวยพูดแทรกว่า “ไม่อย่างนั้นข้าจะถูกผีร้ายเอาตัวไป ข้ารู้แล้ว ขอบใจเจ้ามากนะ เซวียหรงหรง!”
สตรีนางนั้นพลันทำหน้าเหยเก
เฉียวเวยคร้านจะสนใจเจ้าคนตัวปลอมผู้นี้ พอยกเก้าอี้เข้าไปในห้องเสร็จก็หันกลับมาปิดประตู
ที่สตรีนางนั้นบอกกับเฉียวเวยเมื่อครู่ไม่ใช่นางปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาเอง ก่อนออกเดินทางมานางสอบถามอย่างละเอียดมาก่อน หุบเหวร้อยผีมีผีออกมาหลอกหลอนจริงๆ คนที่เคยพักอยู่ที่นี่ในเวลากลางคืน ล้วนอกสั่นขวัญแขวนกันถ้วนทั่ว คนที่ปอดแหกหน่อยจะตกใจจนเป็นบ้า คนที่ใจกล้าหน่อยก็ตกใจจนล้มป่วย วิธีการเดียวที่จะเอาตัวรอดกลับไปได้อย่างปลอดภัยก็คือ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรห้ามออกมาจากห้องของตนเด็ดขาด
แน่นอนว่าที่สตรีนางนั้นเอ่ยเตือนเฉียวเวยไม่ได้มาจากความหวังดีแต่อย่างใด ในทางกลับกันนางอยากให้เฉียวเวยเกิดความใคร่รู้ ขอเพียงเฉียวเวยออกมาจากห้องนี้ นางต้องตกสู่อุ้งมือของผีร้ายกลุ่มนั้นเป็นแน่ หากผีร้ายเหล่านั้นทำนางตกใจจนสติฟั่นเฟือนไปได้ก็จะดีที่สุด หากเป็นเช่นนั้นตนก็จะกำจัดศัตรูไปได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงเลยจนนิดเดียว!
ภายในห้องที่อยู่ติดกับลานด้านหลัง เฉียวเวยเอาเก้าอี้มาวางต่อกันเป็นเตียงเล็กๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนแล้วเข้าสู่นิทรารมย์ไปทันที
เฉียวเจิงกอดเด็กทั้งสองนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ ไม่นานก็เข้าสู่นิทรารมย์ไปเช่นกัน
ดึกสงัด แสงจันทร์ขาวนวลสาดส่องลงมาในป่า ลึกเข้าไปภายในป่า จู่ๆ ก็มีเงาของภูตผีสีดำบ้างขาวบ้างปรากฏขึ้น เงาผีเหล่านั้นก้าวเดินในจังหวะประหลาด ท่าทางราวกับซากศพเดินได้ กำลังมุ่งหน้าไปที่กระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กนั้น
“ฮี่ๆ”
จู่ๆ ในอากาศก็มีเสียงหัวเราะของภูตผีที่ฟังดูน่าขนลุกดังขึ้น
เงาภูตผีเหล่านั้นเข้าโอบล้อมกระท่อมไม้ไผ่ไว้ ผีเหล่านี้แลบลิ้นยาวเหยียด ผมยาวสยายลงมาปรกหน้า มุมปากมีรอยเลือดสีดำ เป็นผีร้ายที่หน้าตาดุดัน พวกมันยื่นมือที่ขาวแห้งราวกับกระดูกออกไปลูบประตูหน้าต่างกระท่อมไม้ไผ่อย่างไร้สุ้มเสียง
เงาของภูตผีสะท้อนลงบนกระดาษปิดหน้าต่าง
แคว่ก…
กระดาษตรงหน้าต่างฉีกขาด
ผีร้ายตัวหนึ่งค่อยๆ ปีนเข้ามาราวกับเป็นแมงมุมก็ไม่ปาน
เฉียวเจิงตัวปลอมกำลังหลับๆ ตื่นๆ รู้สึกได้ลางๆ ว่ามีอะไรเปียกๆ หยดลงมาบนหน้าตน เขายกมือขึ้นจับหน้าแต่กลับสัมผัสกับอะไรบางอย่างที่ลื่นๆ เหนียวๆ ตัวเขาสั่นสะท้าน พอลืมตาก็เห็นหน้าที่ซาวซีดเหลือประมาณ ดวงตาที่ดุร้ายและเต็มไปด้วยเส้นเลือด กับลิ้นใหญ่ยาวสีแดงก่ำ
ความรู้สึกเปียกลื่นเมื่อครู่ ก็คือเจ้าตัวนี้กำลังเลียหน้าตนอยู่นั่นเอง
เฉียวเจิงตัวปลอมตั้งสติไม่อยู่ เขารู้สึกร้อนที่กางเกง ฉี่แตกเสียแล้ว…
จากนั้นสองตาก็ลอยคว้าง เป็นลมสลบไป!
ผีร้ายปีนเข้ามากันทีละตัว ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด พวกมันคลานอยู่กับพื้น ท่าทางคล้ายกับแมงมุม พวกมันปีนเข้ามาจากทางห้องนี้ คลานเข้าไปในห้องโถง เปิดประตูอีกบานหนึ่ง
“ฮี่ๆ”
ผีร้ายหัวเราะเสียงเย็น ยื่นมือที่มีเล็บคมยาวออกมาแตะลิ้นยาวของตน ก่อนจะเลียหน้าเฉียวเวย
เฉียวเวยกำลังจะหลับสนิท ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไหลไปไหลมาอยู่บนหน้าตน นางพลิกตัวด้วยความรำคาญ เจ้าสิ่งนั้นก็ตามมาอีก นางเลยเอามือคว้าไปมั่วๆ
ขาดเสียแล้ว!
ผีร้ายตนนั้นซวนเซจนเกือบล้มลง! รีบแย่งลิ้นของตนที่ขาดไปกลับมา!
มันพยายามดึงแล้วดึงอีก แต่ดึงอยู่นานก็แย่งมาจากมือเฉียวเวยไม่ได้เสียที มันใช้สองมือจับลิ้นเอาไว้ ขาข้างหนึ่งยันเก้าอี้แล้วออกแรงดึง
มันดึงไม่ออก
ผีร้ายอีกตัวหนึ่งเข้ามาถึง กอดเอวผีตัวแรกไว้ก่อนจะช่วยกันออกแรงดึง
ดึงอยู่นานก็ยังดึงไม่ออก
ผีร้ายตัวที่สามเข้ามา…
ผีร้ายตัวที่สี่เข้ามา…
แต่ทำอย่างไรก็ดึงไม่หลุดเสียที!
สำหรับผีตนหนึ่ง การที่ลิ้นถูกคนแย่งไปนั้นนับว่าขายหน้าเสียยิ่งกว่าอะไร! ที่หน้าขายหน้ายิ่งกว่าก็คือ ยังแย่งกลับมาไม่ได้อีก!