ผ่านไปอีกสองสามวัน หลี่เสี่ยนก็แต่งกายด้วยอาภรณ์สบายๆ เดินทางมายังสวนเหมันต์ เขารับบัญชาจากหลี่จื้อเดินทางมาขอสงบศึก การบุกลงใต้หนนี้หลี่เสี่ยนมิได้ถวายหนังสือขอบัญชานำทัพออกรบ ประการแรกเพราะมิเห็นกำลังทหารแถบเจียงไหวของหนานฉู่อยู่ในสายตา ในความคิดของเขาการบุกเจียงไหวหนนี้มิจำเป็นต้องให้เขาบัญชาการ รอปราบเจียงไหวได้แล้ว เมื่อจำต้องข้ามฉางเจียงไปทำศึกเขาค่อยขอพระบัญชาก็มิสาย ประการที่สองเพราะหลินปี้ใกล้คลอด เขาจึงตัดใจจากภรรยาและบุตรรักมิค่อยลง ด้วยเหตุนี้หลี่จื้อมิมีประสงค์จะให้เขายกทัพลงใต้ เขาเองก็มิเป็นฝ่ายเสนอตัว เพียงแต่เข้าร่วมหารือยามกำหนดแผนการบุกลงใต้เท่านั้น
ตอนแรกที่เจียงเจ๋อถวายหนังสือคัดค้านการบุกลงใต้หนนี้ เขาเองก็เห็นพ้องกับหลี่จื้อ คิดว่าเจียงเจ๋อยังผูกพันกับบ้านเกิด ดังนั้นสองพี่น้องจึงเห็นพ้องต้องกันร่วมมือกันปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ มิให้มีผู้ใดถือโอกาสโจมตีเจียงเจ๋อ คิดมิถึงการบุกลงใต้กลับพ่ายแพ้ยับเยิน สิ่งที่เจียงเจ๋อกล่าวถูกต้องยิ่งนัก
หลี่จื้อกับหลี่เสี่ยนล้วนเป็นยอดแม่ทัพผู้ฝ่าฟันสมรภูมิมามากมาย พวกเขาย่อมมิใช่คนธรรมดา พวกเขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วยิ่งว่าพวกเขาพลาดที่ดูแคลนศัตรู เวลาสิบปีแห่งการพักฟื้น ผู้ที่ทำนุบำรุงกำลังของแว่นแคว้นขึ้นมาได้มิใช่เพียงต้ายง หนานฉู่เองก็มิอ่อนระโหยโรยแรงเช่นในอดีตอีกต่อไป
ทว่าแม้จะตระหนักได้ถึงจุดนี้ แต่สถานการณ์ที่ผลิกพันก็ยากจะกอบกู้กลับคืน ลู่ช่านกุมอำนาจทหารของเจียงหนานได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ แผ่นดินครึ่งหนึ่งของฝั่งเจียงหนานก็ยากจะล้ม ในสายตาของพวกเขา ลู่ช่านกลายเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดในการบุกลงใต้ของต้ายง อยากจะปราบหนานฉู่ ต้องกำจัดลู่ช่านเสีย อยากกำจัดลู่ช่าน ถ้าเช่นนั้นการได้ความคิดเห็นของคนผู้หนึ่งมาย่อมสำคัญที่สุด คนผู้นี้ก็คือเจียงเจ๋อ
มิว่าลู่ช่านจะเก่งกาจอีกเพียงใด ก็มิอาจปฏิเสธว่าความสามารถของคนผู้นี้มากกว่าครึ่งหนึ่งเกี่ยวพันกับเจียงเจ๋อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากเจียงเจ๋อ ผู้ใดยังจะวางแผนการปราบหนานฉู่ได้อีก หลี่จื้อกับหลี่เสี่ยนต่างมิหวังให้สองแคว้นประจันหน้ากันเป็นเวลาหลายสิบปี
ในเมื่อเจียงเจ๋อมิไว้หน้าหลี่จื้อ ถ้าเช่นนั้นหลี่เสี่ยนจึงมิอาจปัดภาระ ต้องเดินทางมาช่วยกล่อม ทว่าแม้จะมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่นิสัยของหลี่เสี่ยนโอหังถึงเพียงนั้น เขาจึงบุกตะลุยเข้ามาอย่างเหิมเกริม องครักษ์ในจวนองค์หญิงฉางเล่อล้วนมิกล้าขัดขวาง แม้เจ้านายบอกว่ามิพบแขก แต่หลี่เสี่ยนก็ยังฝ่าตรงเข้ามาถึงสวนเหมันต์โดยมิมีสักคนกล้าห้ามปราม
หลี่เสี่ยนเพิ่งเดินมาถึงประตูห้องหนังสือก็เห็นเจียงเจ๋อกำลังโกรธจนเต้นผางก่นด่าเสียงดังอยู่ หลี่เสี่ยนนึกแปลกใจนัก คบหากันมาหลายปีเช่นนี้ เหมือนจะมิเคยเห็นเจียงเจ๋อด่าคนเช่นนี้มาก่อน จึงหยุดฝีเท้าอย่างห้ามมิได้แล้วเงี่ยหูฟัง
ข้ามองเซิ่นเอ๋อร์ที่คุกเข่าอย่างว่าง่ายอยู่ตรงนั้น ในใจเพลิงโทสะลุกโชติช่วง เจ้าเด็กน่าชังคนนี้ ถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่เจ้าดูเขาสิ ตากลอกไปมามิหยุด เห็นก็รู้ว่าเขาคิดฟุ้งซ่านอยู่ชัดๆ มีความคิดจะสำนึกผิดสักนิดเสียที่ไหน ข้าด่าทออย่างห้ามตนเองมิไหว “วันๆ รู้จักแต่ฝึกวรยุทธ์เที่ยวเล่น ข้าสอนหนังสือให้เจ้าด้วยตนเอง แต่เจ้ากลับหนี ตำราหลุนอวี่[1]เล่มเดียวท่องมาครึ่งปีแล้วกลับยังท่องมิได้ เจ้าฟังไว้ วันนี้ลงโทษเจ้าคัดหลุนอวี่สามจบ หากไม่มีมาส่งก็อย่าฝันว่าจะได้กินข้าวเย็น”
ปีนี้เซิ่นเอ๋อร์อายุแปดขวบแล้ว เขาเกิดมาหน้าตางดงามหมดจด ฉลาดเฉลียวน่ารัก แต่สมองดันมีแต่ความโง่เขลา การให้เขาท่องตำรายากลำบากกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น มิรู้ว่าเหมือนผู้ใด ตอนอายุเท่าเขาข้าก็ท่องพงศาวดารได้คล่องแล้ว มารดาของเขาก็เป็นคนฉลาด เหตุไฉนเขาจึงโง่เง่าเช่นนี้ แต่ปรมาจารย์ฉือเจินพระเฒ่าคนนั้นกลับบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะแห่งการฝึกยุทธ์ ไม่มีเหตุผลจริงๆ
ข้าเพิ่งบอกวิธีลงโทษจบ เซิ่นเอ๋อร์ก็กระโดดผลุงขึ้นมา “ท่านพ่อ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปคัดหนังสือตามที่ท่านพ่อสั่ง ข้าท่องหลุนอวี่มิได้ ปัญหามิได้อยู่ที่ข้า ล้วนเป็นเพราะท่านพ่อสั่งสอนมิได้เรื่อง ตำราเล่มหนึ่ง ท่านพ่อเดี๋ยวก็โยงไปนั่นโยงไปนี่ โยงไปเรื่องที่มิเกี่ยวกันมากมายพะเรอเกวียน ท่านพี่ยังบอกเลยว่าหากอยากเรียนหนังสือ เรียนกับพี่ฮั่วดีกว่ามากนัก”
ข้าได้ยินคำพูดนี้พลันโมโหจนเกือบลมจับ คว้าไม้เรียวขึ้นมาจะตีมือเขา คิดมิถึงเจียงเซิ่นหมุนตัวได้ก็วิ่งหนีไปด้านนอกอย่างว่องไวยิ่งนัก ตัวเขาประหนึ่งควันเบาบางสายหนึ่งหายวับไปอยู่ตรงประตู ข้าคำรามเสียงดัง “เสี่ยวซุ่นจื่อ จับเขากลับมา ข้าจะตีมือเขาให้ลาย”
พูดยังมิทันจบก็ได้ยินเซิ่นเอ๋อร์เรียกขานอย่างดีใจ “ท่านพ่อตา”
ใจข้าผวาวูบ เปลี่ยนคำพูดทันควัน “เซิ่นเอ๋อร์ เดินดีๆ เดี๋ยวจะหกล้ม” วาจาดุจบิดาผู้เมตตาทุกประการ เสี่ยวซุ่นจื่อที่ยืนอยู่ด้านข้างตั้งแต่แรกเผยรอยยิ้มสนุกสนาน แน่นอนว่ารอยยิ้มนั่นหายวับไปตั้งแต่ก่อนข้าก้าวพรวดพราดออกไป
หลังจากนั้นข้าก็เห็นหลี่เสี่ยนจูงเซิ่นเอ๋อร์เดินเข้ามา สีหน้าไม่เป็นมิตรยิ่งนัก ข้าข่มกลั้นฝืนกลืนโทสะก้าวเข้าไปคำนับเอ่ยว่า “ที่แท้ก็พี่หกมานี่เอง ขายหน้าท่านแล้ว เซิ่นเอ๋อร์ซุกซนเกินไป”
เฮ้อ นับตั้งแต่หลี่เสี่ยนกลับมาอยู่นครฉางอันก็แทบจะยึดครองเซิ่นเอ๋อร์ไว้ผู้เดียว ทุกครั้งที่เซิ่นเอ๋อร์กลับมาจากวัดฝูอวิ๋น ยังมิทันได้อยู่บ้านถึงสองสามวันก็ถูกเขามารับไปแล้ว หากข้ามิรับปากก็จะต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าถมึงทึงของเขา มีเพียงสองสามปีนั้นที่เขาตามจีบหลินปี้ที่ดีอยู่สักหน่อย
แต่หลังจากหลี่หนิงถือกำเนิด ฉีอ๋องก็ยิ่งอาการหนักขึ้น หลอกให้เซิ่นเอ๋อร์เรียกเขาว่าพ่อตาล่วงหน้า หลังจากนั้นก็รับตัวคนกลับไปอย่างสง่าผ่าเผย กลับกลายเป็นว่าข้าผู้เป็นบิดาคนนี้ยากจะสั่งสอนบุตรชายของตนเอง ถึงอย่างนั้น ข้าลูบจมูก หากมิใช่ว่าข้าชมชอบกลั่นแกล้งเซิ่นเอ๋อร์ตั้งแต่เล็ก เจ้าเด็กคนนี้ก็คงจะมิเปลี่ยนฝ่ายรวดเร็วเช่นนี้กระมัง
หลี่เสี่ยนลังเลครู่หนึ่ง เขาเห็นเซิ่นเอ๋อร์เป็นเสมือนหนึ่งบุตรในสายเลือดของตนเอง เมื่อได้ยินว่าเจียงเจ๋อจะตีมือเซิ่นเอ๋อร์ ในใจก็รู้สึกไม่พอใจ แต่เขามาที่นี่เพื่อมาขอปรองดองแทนเสด็จพี่ จะมาโมโหใส่เจียงเจ๋อก็คงไม่ดีกระมัง ลังเลอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็กล่าวว่า “สุยอวิ๋น ข้าว่าท่านเชิญอาจารย์สักคนมาสอนหนังสือขั้นต้นให้เซิ่นเอ๋อร์เถิด หากมิยินดีทำเช่นนั้น ก็ให้ฮั่วฉงสอนเขาก็ได้ โหรวหลันบอกว่ายามท่านสอนหนังสือชอบยกตำรามาอ้างอิง มิแปลกที่เซิ่นเอ๋อร์จะฟังไม่เข้าใจ”
เซิ่นเอ๋อร์ฉลาดยิ่งนัก ฟังออกว่าน้ำเสียงของพ่อตาอ่อนให้อยู่บ้าง จึงเปลี่ยนมาทำตัวเรียบร้อยในทันใด เขามองข้าตาปริบๆ แล้วบอกว่า “ท่านพ่อ เซิ่นเอ๋อร์โง่เขลาเกินไป ฟังท่านสอนหนังสือมิเข้าใจ มิเหมือนพี่ฮั่ว ฟังหนึ่งเข้าใจสิบ ท่านให้ผู้อื่นสอนข้าเถิด”
ข้าเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มขมขื่นในใจอย่างห้ามมิได้ เจ้าเด็กคนนี้เหมือนผู้ใดกันแน่นะ
เวลานี้เอง ฉีอ๋องจึงกล่าวขึ้นอีกว่า “ความจริง อนาคตเซิ่นเอ๋อร์ก็มิเห็นจำเป็นจะต้องบากบั่นท่องตำราสิบปี วันหน้าเป็นแม่ทัพสักคนมิดีหรือ ข้าดูแล้วเด็กคนนี้พื้นฐานวรยุทธ์แข็งแกร่งทั้งยังใจกล้า ละม้ายคล้ายข้าอยู่บ้าง” กล่าวจบก็ลูบศีรษะเซิ่นเอ๋อร์อย่างภาคภูมิใจนิดๆ เซิ่นเอ๋อร์เองก็ยิ้มร่าจนดูเหมือนว่าหลี่เสี่ยนต่างหากที่เป็นบิดาของเขา
ในใจข้าเกิดความรู้สึกริษยาประการหนึ่ง จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงมิเป็นมิตร “เสี่ยวซุ่นจื่อ พาเซิ่นเอ๋อร์ไปคัดตำราที่ห้องหนังสือของเขา คัดหลุนอวี่หนึ่งร้อยรอบ เจ้าคอยเฝ้าเขาไว้ หากเขากล้าแอบหนีกลับวัดฝูอวิ๋นอีก เจ้าก็จับเขากลับมาแล้วโบยเขาแทนข้า”
เซิ่นเอ๋อร์ได้ยินก็ประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดกลางกระหม่อม นิ่งอึ้งในทันใด จนกระทั่งเสี่ยวซุ่นจื่อก้าวเข้ามาหิ้วคอเขาเดินไปด้านนอก เขาถึงแหกปากร้องเสียงดัง “ท่านอาซุ่นไว้ชีวิตด้วย ตรงคอเจ็บยิ่งนัก ท่านพ่อตาช่วยด้วย ท่านแม่ช่วยด้วย พี่ฮั่วช่วยด้วย พี่สาวช่วยด้วย”
ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือดังสะท้านฟ้าสะท้านดินก็ค่อยๆ ลอยออกไปไกล ข้ารู้สึกขายหน้านัก เจ้าลูกคนนี้ทำข้าขายขี้หน้าหมดแล้วจริงๆ ข้าถลึงตาใส่หลี่เสี่ยน ล้วนเป็นเพราะเขาตามใจเซิ่นเอ๋อร์จนเสียคน ดังนั้นวันนี้มิว่าเขาจะมาทำสิ่งใด ข้าล้วนจะมิให้เขาสมหวัง
หลี่เสี่ยนฉลาดเพียงใด เห็นแวบเดียวก็ทราบว่าตนไปแหย่รังผึ้งเข้าให้แล้ว เจียงเจ๋อผู้นี้ตั้งท่าจะเอาเรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวอย่างชัดแจ้งทีเดียว หลี่เสี่ยนจึงเผยรอยยิ้มจืดเจื่อนจางๆ เป้าหมายที่เดินทางมาหนนี้คงมิมีทางสำเร็จแน่นอนแล้ว
พระราชวังจักรพรรดิ หอสูงตำหนักร้อยพันตั้งเรียงราย ท้องพระโรงทองตั้งอยู่ปลายเส้นทางเสด็จ บันไดหยกรั้วแกะสลักงดงามตระการ ในห้องทรงพระอักษร หลี่จื้อขมวดคิ้วเป็นปมมองฎีกาและสารลับบนโต๊ะหนังสือแต่มิอาจสงบใจอ่าน ซ่งหว่านเดินเงียบเชียบเข้ามา รายงานว่า “ฝ่าบาท ฉีอ๋องรอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอก”
หลี่จื้อรีบตรัสว่า “ยังจะรอเข้าเฝ้าอะไรอีก เขารักษาธรรมเนียมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อได้ รีบเรียกเข้ามา”
ซ่งหว่านเดินออกไป มินานก็นำหลี่เสี่ยนเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร หลังจากนั้นมิต้องให้สั่ง เขาก็เดินนำนางข้าหลวงกับขันทีผู้คอยรับใช้ในห้องทรงพระอักษรถอยออกไป เหลือพื้นที่ให้สองพี่น้องคุยกันเป็นการลับ
[1] หลุนอวี่ ตำราเล่มสำคัญของลัทธิขงจื่อ