ตอนที่ 245-1 ตาหลานได้พบหน้า
ภายในห้องโถงหารือในปราสาทเฮ่อหลัน ผู้อาวุโสทั้งห้ากับท่านผู้นำทุกคนนั่งเงียบกันอยู่ที่นั่น แต่ละคนสีหน้าเคร่งเครียด นี่จั๋วหม่าน้อยสองคนเข้าหุบเหวร้อยผีไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ไม่รู้ว่าทั้งสองคนเป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนอดเป็นห่วงไม่ได้
จะโทษที่พวกเขาเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ หุบเหวร้อยผีนั้นสมชื่อจนเกินไป หลายปีนี้คนในชนเผ่าที่ส่งออกไปสำรวจหุบเหวมีไม่น้อยกว่าพันคน บ้างส่งไปค้นหามรดกที่โหราจารย์เหลือทิ้งไว้ บ้างเข้าไปเด็ดสมุนไพร และก็มีบ้างที่เข้าไปเพียงเพราะไม่เชื่อ อยากไปลองดีกับร้อยผีที่ว่าสักครั้ง แต่ผลสุดท้ายแน่นอนว่าไม่ใช่ผลดี คนที่ไม่ได้ค้างคืนข้างในยังดีหน่อย แต่หากได้ค้างคืน ตอนออกมาล้วนอาการคล้ายวิญญาณไม่อยู่กับร่างทั้งสิ้น
คนไกลยังไม่พูดถึง มาพูดถึงไซน่าอิงก็แล้วกัน เขาเป็นถึงยอดผู้กล้าที่พานพบได้ยากในร้อยปีของปราสาทไซน่า ทั้งชนเผ่าถ่าน่ามีไม่กี่คนที่จะหาญกล้าไม่เกรงกลัวสิ่งใดได้มากกว่าเขา เขาเคยนำศพมาใช้งาน เคยเห็นโครงกระดูกจำนวนมากในมหาสมุทร ในยามนั้นเขายังอายุไม่เต็มสิบขวบดีด้วยซ้ำ การที่ต้องเผชิญกับเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ทุกคนคิดว่าเขาน่าจะใจกล้าพอที่จะรับมือหุบเหวร้อยผีได้ แต่กระนั้นที่ทำให้ทุกคนถึงกับตาค้างพูดไม่ออกก็คือ แม้แต่ไซน่าอิงยังเกือบตกใจจนเป็นบ้าไปจากการเดินทางเข้าไปในหุบเหว
หุบเหวที่น่าขวัญผวาเช่นนี้ถึงกับให้สตรีผู้บอบบางสองคนบุกเข้าไป จะไม่ให้รู้สึกเป็นกังวลเลยได้อย่างไร
มือของไซน่าเหอถูไถไปมาอยู่ตรงที่เท้าแขน เดิมทีประมุขตระกูลปี้หลัวก็เป็นกังวลมากอยู่ แต่เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่าย ก็ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้ไม่นึกกลัวเพียงนั้นอีก เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเยาะหยันว่า “ประมุขตระกูลไซน่าดูเหมือนไม่เชื่อมั่นในความสามารถของจั๋วหม่าน้อยสักเท่าไรนะ ก็คงจริง เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่จั๋วหม่าน้อยตัวจริง องค์เทพไม่มีทางคุ้มครองนาง”
ไซน่าเหอมองเขาอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเย็น ไม่สนใจอะไรนัก เรื่องทำสงครามน้ำลายเช่นนี้ไม่ใช่ทางของไซน่าเหอ และไม่อยากจะลดตัวลงไปด้วย เขากับประมุขตระกูลปี้หลัวรู้จักกันมาหลายสิบปี อีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร ไซน่าเหอรู้ดี ประมุขของตระกูลปี้หลัวรุ่นนี้ทำตัวตามสบายเสียเคย มักไม่สนใจสิ่งใด กระทำเรื่องใดก็สะเพร่าเหลือแสน แม้แต่บุตรหลานที่เขาอบรมสั่งสอนมาก็หาได้มีความสามารถอะไร ทั้งๆ ที่เป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลปี้หลัว กลับเอาชนะฮาจั่วที่เป็นบุตรนอกสมรสไม่ได้ แทบจะทำให้ตระกูลปี้หลัวไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หากไซน่าอิงของเขาเป็นเช่นนี้ น่ากลัวคงถูกเขาจับเข้าป่าไปเป็นอาหารให้หมาป่าไปแล้ว
ผู้สืบทอดของตระกูลปี้หลัวไม่แข็งแกร่งพอ ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลมีความเห็นกันอื้ออึง หลายคนมีความคิดที่จะคัดเลือกคนอื่นขึ้นมาแทน เช่นนี้แล้วเพื่อเป็นการรักษาตำแหน่งให้มั่นคง ตระกูลปี้หลัวจึงหาจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมมา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นไพ่ใบสุดท้าย
เมื่อคิดเช่นนี้ ไซน่าเหอจึงส่งเสียงหึอย่างประชดประชัน
ประมุขตระกูลปี้หลัวเห็นเขาไม่ยอมสนใจตน จึงเอ่ยด้วยความไม่ชอบใจว่า “ทำไม? ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือ”
ไซน่าเหอสีหน้าจริงจัง “ใครกันแน่ที่เป็นจั๋วหม่าน้อยตัวจริง เจ้ารู้ดีแก่ใจ”
ประมุขตระกูลปี้หลัวหัวเราะ “แน่นอนข้ารู้ดี ไม่ใช่แค่รู้ดี แต่ข้ายังมั่นใจด้วยว่าองค์เทพจะคุ้มครองจั๋วหม่าน้อย นางจะต้องกลับมาอย่างแคล้วคลาดปลอดภัยแน่นอน”
ล้อเล่นอะไรกัน บุตรชายที่เก่งกาจที่สุดของตนนำองครักษ์ฝีมือดีที่สุดเข้าไปในหุบเหวแล้ว พร้อมบอกว่าไม่ว่าอย่างไรจะต้องพาจั๋วหม่าน้อยกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ ส่วนเรื่องไข่มุกจันทร์กระจ่าง บอกตามตรงว่าตระกูลปี้หลัวไม่ได้คาดหวังกับสิ่งนี้นัก มรดกตกทอดจากโหราจารย์หากหาพบได้ง่ายดายเพียงนั้นจริง ก็คงไม่ถึงกับตามหามาหลายปีเพียงนี้แล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหรอก แต่ต่อให้ไม่มีไข่มุกจันทร์กระจ่างก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ เพราะความสามารถของจั๋วหม่าน้อยทุกคนได้เห็นกับตาตนเองแล้ว นางต่างหากที่เป็นคนที่ทุกคนคาดหวังจะให้กลับเข้าชนเผ่า! ยิ่งไปกว่านั้น หากแม้แต่ฮาจั่วยังตามหาไม่พบ คนกลุ่มนั้นของตระกูลไซน่ากับตระกูลถ่าถาเอ่อร์ก็ยิ่งไม่มีทางหาพบ พวกเขาที่ตามหาไข่มุกจันทร์กระจ่างไม่พบ จะเอาอะไรมาเทียบกับจั๋วหม่าน้อยของตนเล่า
“ตอนจบได้ถูกกำหนดไว้แล้ว พี่ใหญ่ไซน่า เจ้ายอมรับแต่โดยดีเถิด!” ประมุขตระกูลปี้หลัวเผยอยิ้มได้ใจอย่างผู้ชนะ
ไซน่าฮูหยินนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง นางเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น สายตาจึงคมกล้าใกล้จะเฉือนใบหน้าประมุขตระกูลปี้หลัวออกมาเป็นชิ้นๆ สมัยก่อนตอนนางยังสาว ตระกูลปี้หลัวเคยมาสู่ขอนางที่บ้าน ตอนแรกบิดาของนางถูกใจบุตรชายตระกูลปี้หลัว แต่มารดาของนางไม่เห็นด้วย มารดาของนางบอกว่า ประมุขตระกูลปี้หลัวนิสัยไม่เอาไหน บุตรที่เลี้ยงดูออกมาเชื่อว่าก็คงไม่ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ในตอนนั้นฐานะของตระกูลปี้หลัวอยู่เหนือตระกูลไซน่า ความคิดของมารดานางถูกโต้แย้งโดยผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลถ่าถาเอ่อร์ทุกคน แต่มารดาของนางก็ไม่ยอมแพ้ พร่ำพูดเกลี้ยกล่อมบิดาของนางเต็มที่จนในที่สุดก็ทำให้บิดานางยอมได้ หลังจากแต่งเข้าตระกูลไซน่าแล้ว นางได้พบว่าทุกคนในตระกูลไซน่าดีเลิศยิ่งนัก ตั้งแต่พ่อสามีไปจนถึงสามี ไปจนถึงน้องสาวสามี ทุกคนล้วนเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ส่วนนางที่ไม่อาจแต่งเข้าตระกูลปี้หลัวได้ สุดท้ายก็ให้สหายสนิทของนางแต่งงานไปแทน
สหายสนิทของนางคลอดผู้สืบทอดให้กับตระกูลปี้หลัว แต่สองแม่ลูกไม่เป็นที่รักใคร่นัก กลับเป็นบุตรนอกสมรสอย่างฮาจั่วกับมารดาของเขาที่ได้รับความรักใคร่จากแม่ทัพปี้หลัว สหายสนิทของนางไปร้องไห้กับพ่อสามีที่เป็นประมุขตระกูลปี้หลัวไม่เพียงแค่หนึ่งครั้ง แต่ประมุขตระกูลปี้หลัวกลับทำเพียงปิดตาข้างหนึ่งเท่านั้น
ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งที่สหายสนิทของตนต้องพบเจอ นางมักนึกยินดียิ่งนักที่ตนมีมารดาที่มากสติปัญญา หากไม่ใช่เพราะคราแรกมารดานางยืนกรานไม่ยอมผ่อนปรน เวลานี้นางคงได้น้ำตาเช็ดหัวเข่าทุกวันไปแล้ว
ไม่นาน องครักษ์ในชุดเกราะสีเทาน้ำเงินคนหนึ่งก็เดินเร็วๆ เข้ามา คนองครักษ์ตระกูลถ่าถาเอ่อร์ เขายื่นหน้าเข้าไปหาประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์แล้วกระซิบบางอย่าง สีหน้าประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์พลันเปลี่ยนไป
ความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนี้ไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนที่อยู่ในนั้นไปได้
ไซน่าฮูหยินมองไปทางบิดาของตน ใช้สายตาซักถามเขา ประมุขถ่าถาเอ่อร์ส่งสายตาไม่สะดวกจะบอกกล่าวกลับมา ไซน่าฮูหยินเข้าใจจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
แต่ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์นั่งนิ่งอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ไซน่าเหอ กระซิบบางอย่างกับอีกฝ่าย สีหน้าไซน่าเหอกลับดูสงบนิ่ง แค่เพียงพยักหน้าเรียบๆ บอกให้เขาใจเย็นไว้ก่อน ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์กลับไปนั่งยังที่ของตน ถลึงตาเรียบเย็นมองประมุขตระกูลปาฮาเอ่อร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ผ่านไปไม่เท่าไร องครักษ์ตระกูลปาฮาเอ่อร์ก็เข้ามาบ้าง เขารายงานบางอย่างให้ประมุขตระกูลปาฮาเอ่อร์ฟัง ประมุขตระกูลปาฮาเอ่อร์หันมองประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ
ประมุขตระกูลปี้หลัวหันไปหาประมุชตระกูลปาฮาเอ่อร์ ประมุขตระกูลปาฮาเอ่อร์ส่งสัญญาณมือตอบ ประมุขตระกูลปี้หลัวเข้าใจทันที เรื่องราวก็คือ องครักษ์ที่ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์ส่งออกไปทั้งหมด ถูกองครักษ์ตระกูลปาฮาเอ่อร์ขวางให้เข้าไปอยู่ในถ้ำหมดแล้ว ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง องครักษ์ตระกูลไซน่าก็เข้ามารายงาน ไซน่าเหอได้ยินที่องครักษ์บอกก็เพียงพยักหน้านิ่งๆ “ข้ารู้แล้ว ออกไปเถิด”
องครักษ์ถอยออกไป
สี่ตระกูลนี้ มีองครักษ์สามตระกูลเข้ามารายงาน “ข่าวร้าย” แล้ว มีเพียงตระกูลของตนที่ยังไม่มีข่าวคราวใดส่งมา แต่ไม่มีข่าวคราวก็นับว่าเป็นข่าวดีที่สุดไม่ใช่หรือ ฮาจั่วไม่ทำให้ต้องผิดหวังเลยจริงๆ เขาจะต้องเข้าไปถึงใจกลางหุบเหวแห่งนั้นได้แล้วแน่ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะรับตัวจั๋วหม่าน้อยไปแล้ว และบางทีอาจจะมีความเป็นไปได้อันน้อยนิดที่พวกเขาจะตามหามรดกตกทอดของโหราจารย์พบแล้ว
ประมุขตระกูลปี้หลัวแค่เพียงคิดเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็เก็บซ่อนเอาไว้ไม่อยู่ดี
เขาในเวลานี้ไหนเลยจะรู้ว่า บุตรชายนอกรีตที่ตนภูมิใจนักภูมิใจหนา เวลานี้กำลังถูกขังอยู่ท่ามกลางเห็ดพิษ ร้องหาฟ้าฟ้าไม่ตอบ ร้องหาดินดินไม่สน
ผู้อาวุโสทั้งห้ามองท่าทางมี “ลับลมคมใน” ของพวกเขาแล้ว สีหน้าก็ดูไม่สู้ดีนัก หวังว่าคนพวกนี้จะไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของเหอจั๋ว ลอบกระทำการบางอย่างที่เหอจั๋วไม่อนุญาต ไม่เช่นนั้นแล้วหากถึงเวลาเกิดอะไรขึ้น สำนักผู้อาวุโสอย่างพวกเขาไม่มีทางขอความเห็นใจให้ผู้ใดเป็นแน่
เวลาผ่านไปทีละนาทีทีละวินาที ในขณะที่ทุกคนรอกันจนเริ่มร้อนใจ หัวหน้าองครักษ์ของปราสาทเฮ่อหลันก็เร่งฝีเท้าเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา หลังจากทำความคารพผู้อาวุโสท้งห้าแล้วก็รายงานว่า “ผู้อาวุโส จั๋วหม่าน้อยกลับมาแล้วขอรับ”
“อะไรนะ? กลับมาแล้ว?” ผู้อาวุโสทั้งห้าร้องขึ้นพร้อมกัน
นี่เพิ่งผ่านไปยังไม่ทันถึงสองวันเลย จั๋วหม่าน้อยถึงกับกลับมาแล้วหรือ ระยะเวลาที่กำหนดไว้คือสามวัน ที่กลับมาก่อนเช่นนี้มีความเป็นไปได้อยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น หนึ่งคืออยู่ต่อไม่ไหวแล้ว กับสอง… ภารกิจสำเร็จแล้ว
จะเป็นอย่างไรกันแน่ และเป็นจั๋วหม่าน้อยคนใดกันแน่
ใจของผู้อาวุโสทั้งห้าบิดเกร็งกันขึ้นมาทันที
ประมุขตระกูลปี้หลัวไม่คิดอะไรทั้งสิ้น แทบจะทันทีที่องครักษ์เข้ามารายงาน เขาก็พุ่งตัวออกไปทันที “จั๋วหม่าน้อย!”
แต่กระนั้นที่ทำให้เขาต้องผิดหวังก็คือ คนที่เขาเห็นไม่ใช่จั๋วหม่าน้อยที่ตนหามา แต่เป็นคนที่ตระกูลไซน่าหามา ถึงแม้ทั้งสองจะลักษณะเหมือนกันราวกับแกะ แต่บิดากับบุตรทั้งสองของพวกนางกลับรูปลักษณ์ไม่เหมือนกันเลย ดังนั้นชั่วขณะที่เขาได้เห็นเฉียวเจิงกับจิ่งอวิ๋นและวั่งซู เขาก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่คนที่ตนเฝ้ารอ สีหน้าเขาจึงอึ้งไป “เหตุใดถึงเป็นเจ้า”
เฉียวเวยมองหน้าเขาแล้วยิ้มน้อยๆ “สวัสดียามบ่าย ประมุขตระกูลปี้หลัว ไม่ได้พบกันนาน สบายดีนะเจ้าคะ”
นาน? เพิ่งจะสองวันเท่านั้น!
ประมุขตระกูลปี้หลัวมองนางอึ้งๆ หน้าตาดูไม่อยากเชื่อเอาเสียเลย “เจ้า…เจ้า…เจ้า…”
เจ้าอยู่นานก็ยังพูดอะไรต่อไม่ออกสักที
เฉียวเวยคลี่ยิ้มถามว่า “ประมุขตระกูลปี้หลัวอยากถามอะไรข้าหรือ”
“เจ้า… เจ้าออกมาได้อย่างไร” ลมหายใจของประมุขตระกูลปี้หลัวคล่องขึ้นมาเสียที
เฉียวเวยยักไหล่อย่างใสซื่อ “ภารกิจสำเร็จแล้ว ข้าก็ต้องออกมาสิ!”
สีหน้าประมุขตระกูลปี้หลัวพลันเปลี่ยน “สำเร็จแล้ว? เป็นไปได้อย่างไร!”
พอเห็นท่าทางยากจะกล้ำกลืนของประมุขตระกูลปี้หลัว เฉียวเวยก็พลันอารมณ์ดีขึ้นทันตา ใครใช้ให้เจ้าหาตัวปลอมมาแทนข้าเล่า! โดนเสียบ้างก็สมควรแล้ว! เฉียวเวยแกว่งกล่องผ้าไหมในมือ “จริงๆ นะ ประมุขตระกูลปี้หลัว ข้าหาไข่มุกจันทร์กระจ่างเจอแล้ว”
ประมุขตระกูลปี้หลัวเอ่ยอย่างไม่ปิดบังว่า “เจ้าหาของที่โหราจารย์ทิ้งไว้เจอได้อย่างไร เจ้ากำลังโกหก!” ผู้กล้าของชนเผ่าถ่าน่าจำนวนตั้งมากเพียงนั้นยังตามหาไม่พบ เด็กเลี้ยงแกะอย่างเจ้า จะทำได้ได้อย่างไร!
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ข้าคิดว่าต้องเป็นเพราะองค์เทพคงลอบชี้ทางให้ข้ากระมัง ไม่อย่างนั้นสตรีอ่อนแอไร้ความสามารถอย่างข้า น่ากลัวว่าคงถูกผีร้ายในหุบเหวรุมทึ้งจนไม่เหลือหลอแล้ว”
ประมุขตระกูลปี้หลัวสะอึกจนพูดอะไรต่อไม่ออก
เฉียวเวยไม่สนใจเขาอีก เดินถือกล่องผ้าไหมเข้าไปโถงใหญ่
ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ภายในโถงใหญ่ทุกคนลุกขึ้นยืนหมดแล้วและกำลังหันมามองนางกันเป็นตาเดียว สายตาเต็มไปด้วยความตกใจที่ยากจะปกปิด
ไซน่าฮูหยินตื่นเต้นจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา “จั๋วหม่าน้อย…”
เฉียวเวยส่งสายตาขี้เล่นกลับไปให้แล้วเอากล่องผ้าไหมไปวางบนโต๊ะตรงหน้าผู้อาวุโสพร้อมระบายยิ้มน้อยๆ “ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม ผู้อาวุโสสี่ ผู้อาวุโสห้า ข้าตามหาไข่มุกจันทร์กระจ่างพบแล้ว ทุกท่านเชิญดูได้”
ผู้อาวุโสใหญ่เพ่งมอง ยื่นมือไปเปิดกล่องผ้าไหม ชั่วขณะที่กล่องเปิดออก แสงสีขาวใส่เส้นหนึ่งก็ส่องออกมา ในใจผู้อาวุโสใหญ่เกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้นมา สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย เขามองลูกไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นเด็กแรกเกิดที่วางอยู่ในกล่องด้วยความระมัดระวัง ความรู้สึกเย็นเยียบอันศักดิ์สิทธิ์ส่งผ่านฝ่ามือ เขานิ่งไปพักหนึ่งแล้วจึงหยิบไข่มุกทั้งเม็ดขึ้นมา
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ พากันเขยิบเข้ามาใกล้
ผู้อาวุโสรองถามว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง? ใช่ไข่มุกจันทร์กระจ่างของจริงหรือไม่”
ผู้อาวุโสใหญ่เอาไข่มุกขึ้นส่องกับแสงอาทิตย์ พินิจมองโดยละเอียด ไม่ได้หันไปตอบคำถามผู้อาวุโสรองในทันที แต่ส่งไข่มุกเม็ดนั้นไปให้เขา “เจ้าดูเองเถิด”
ผู้อาวุโสรองรับไข่มุกไป ความรู้สึกหนักถึงทำให้ใจของเขาพลันกระตุก เขาทำเช่นเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ด้วยกันเอาขึ้นส่องกับแสงอาทิตย์ ก่อนจะอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ
ผู้อาวุโสสามสี่ห้าก็ทำการพิสูจน์ไข่มุกเม็ดนี้ด้วยเช่นกัน
ภายในห้องโถง ทุกคนกำลังมองไปยังพวกเขาด้วยความร้อนใจระคนตื่นเต้น บรรยากาศในตอนนั้นเงียบเสียจนได้ยินเสียงคนกลืนน้ำลาย
ประมุขตระกูลปี้หลัวเดินไปเดินมา เอ่ยกับผู้อาวุโสทุกคนว่า “ไข่มุกเม็ดนี้เป็นของปลอม! ต้องเป็นของปลอมแน่!”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ท่านมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าไข่มุกของข้าเป็นของปลอม ท่านเคยพิสูจน์หรือ”
ประมุขตระกูลปี้หลัวพูดเสียงเย็นว่า “นี่ยังต้องพิสูจน์อีกหรือ ของที่โหราจารย์ทิ้งไว้เป็นเพียงคำเล่าลือทั้งนั้น ในชนเผ่าเคยส่งคนมากสามารถออกไปตั้งมากเพียงนี้ก็ยังหาไม่พบ เหตุใดเจ้าเพิ่งมาได้ไม่กี่วันก็หาของสำคัญเพียงนี้เจอแล้วเล่า นี่จะต้องเป็นไข่มุกที่เจ้าหามาหลอกพวกเราแน่! ก็เหมือนตัวเจ้านั่นแหละ!”