บทที่ 996 ปลอบใจกู้หนิงอัน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 996 ปลอบใจกู้หนิงอัน

บทที่ 996 ปลอบใจกู้หนิงอัน

ปีที่แล้วองุ่นเหล่านี้ไม่ออกผล และปีนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจะออกผลหรือไม่

“หนิงอัน เถาองุ่นเหล่านี้ปลูกเมื่อปีที่แล้ว เจ้าจำได้หรือไม่ว่าปีที่แล้วองุ่นให้ผลผลิตหรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานถามขึ้นทันใด

กู้หนิงอันไม่คาดคิดว่าพี่สาวของเขาจะถามคำถามเช่นนี้ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ไม่ขอรับ ปีที่แล้วอาจารย์สวีนำองุ่นจำนวนมากจากภูเขาหมินมาให้ เมื่อปีที่แล้วเรากินองุ่นที่บ้านของอาจารย์สวี”

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า ทำไมไม่มีองุ่นงอกบนเถานี้” กู้เสี่ยวหวานถามอีกครั้ง

“บางทีเถาองุ่นนี้อาจยังไม่ถึงเวลา” กู้หนิงอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ

ดังคำกล่าวที่ว่า ลูกท้อสามปี ลูกพลัมสี่ปี ผลซิ่งห้าปี มันหมายถึงเวลาขั้นต่ำที่ผลไม้เหล่านี้จะเติบโต

“หนิงอัน ไม้ผลนั้นกว่าจะออกผลต้องใช้เวลา อายุยังน้อยก็ไม่เกิดผล คนก็เช่นกัน เจ้าอายุยังน้อย เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะสอบผ่านเองตามธรรมชาติ เจ้าไม่ต้องเร่งรีบ ค่อย ๆ ใช้เวลา” กู้เสี่ยวหวานใช้ผลไม้เป็นตัวอย่างเพื่อชักจูง

แต่ทันใดนั้น ใบหน้าของกู้หนิงอันก็เศร้าสร้อยขึ้นมา เมื่อไม่มีใครอยู่รอบ ๆ ดังนั้นเขาจึงพิงชั้นวางที่สร้างโดยเถาวัลย์และพูดอย่างเศร้าใจ “ท่านพี่ ข้ารู้สึกแย่ ทุกคนในครอบครัวต่างทำเพื่อข้า นอกจากใช้เงินของครอบครัวแล้วก็ยังต้องให้ทุกคนมาดูแลข้าอีก ข้าเสียใจจริง ๆ ตอนนี้แม้แต่เสี่ยวอี้ยังหาเงินให้ครอบครัวมากมายจากการปักผ้า เหลือเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่นอกจากการเรียนก็ไม่ได้ทำอะไรเลย” กู้หนิงอันตำหนิตัวเองและพูดว่า “ไม่สิ แม้แต่เรียนก็ยังทำได้ไม่ดี มีเพียงข้าที่ไม่ทำอะไรเพื่อครอบครัวและมักจะเป็นตัวถ่วงของทุกคน”

กู้หนิงอันพูดจบประโยคด้วยเสียงสะอื้น

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของนางก็ปวดร้าวเหมือนมีมือคู่หนึ่งมาบีบเค้นหัวใจ

“หนิงอัน” นางรุดขึ้นหน้ากอดกู้หนิงอันและพูดอย่างเป็นทุกข์ “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร? เจ้าเป็นสมาชิกในครอบครัว เจ้าเป็นตัวถ่วงของครอบครัวที่ไหนกัน”

“ท่านพี่ ข้าเกลียดตัวเองมาก เดิมทีข้าคิดว่าข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อสอบผ่านในครั้งนี้ ทำให้ท่านพี่ของข้ามีเกียรติและไม่ถูกคนอื่นเยาะเย้ย” กู้หนิงอันน้ำตาไหลพราก

เมื่อกู้ซินเถามาที่บ้าน นางเริ่มกล่าววาจาน่าเกลียด

พูดว่ากู้เสี่ยวหวานตาบอด เห็นได้ชัดว่ากู้หนิงอันเก่งในการขุดและทำการเกษตร ทำไมยังต้องส่งเขาไปเรียนอีก

มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการส่งเขาเรียนและแสร้งทำเป็นว่ารู้ทุกอย่าง ในที่สุดเมื่อมีการสอบก็ทำให้เห็นความจริง

มีแม้กระทั่งศิษย์บางคนที่ด่าว่าครอบครัวของอาจารย์สวีลับหลัง

กล่าวว่า ไม่รู้ว่าครอบครัวของอาจารย์สวีได้รับประโยชน์มากเพียงใดจากครอบครัวของกู้เสี่ยวหวาน จึงได้ดูแลขยะดังสมบัติล้ำค่า

กู้หนิงอันยังคงไปที่หอหนังสืออวี้และเข้าชั้นเรียนตรงเวลาทุกวัน ดังนั้นเขาจึงได้ยินคำพูดดังกล่าวไม่มากก็น้อย

สิ่งนี้ทำให้ข้ารู้สึกเศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และตำหนิตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ

ตำหนิตัวเองว่าทำไมจึงไร้ประโยชน์

“หนิงอัน ถ้าพวกเขาอยากจะดูถูกหรือเยาะเย้ยก็ปล่อยเขาไปเถอะ ข้าจะบอกเจ้าให้ว่า เจ้าเพิ่งเข้าเรียนได้ไม่กี่ปีและยังเด็กอยู่ การที่เจ้าจะสอบไม่ผ่านก็เป็นเรื่องปกติ วันนั้นข้าบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่า ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะสอบผ่านหรือไม่ สิ่งสำคัญคือเราต้องเรียนรู้หลักการของการเป็นคน ข้าเชื่อว่าตราบใดที่เจ้ามีจิตใจที่มุ่งมั่นอยู่เสมอ ถ้าปีนี้สอบไม่ผ่าน ปีหน้าก็จะสอบผ่านแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น พวกเรามาหัวเราะเยาะคนพวกนั้นกันเถอะ” กู้เสี่ยวหวานโอบแขนของนางไว้รอบกู้หนิงอัน และตบไหล่เขาเบา ๆ

“แต่ท่านพี่ ถ้าในปีหน้าข้าสอบไม่ผ่านอีกล่ะ” กู้หนิงอันถามอย่างระมัดระวัง

“ปีหน้าไม่ได้ก็ยังมีปีหลังจากนั้น หากยังสอบไม่ผ่านก็ไปทางอื่นกันเถอะ ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม*[1] ข้าเชื่อว่าวันหนึ่งเจ้าจะเป็นเสาหลักของเรา” กู้เสี่ยวหวานตั้งตารอคอย

ในทางตรงกันข้าม กู้หนิงอันรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ท่านพี่ กรุงโรมอยู่ที่ไหน”

“กรุงโรม…” กู้เสี่ยวหวานพูดในใจว่าแย่แล้ว และโกหกอย่างรวดเร็ว “กรุงโรมเป็นที่ที่เราสามารถมีชีวิตที่ดีได้ หากถนนเส้นนี้ไม่ดีก็เปลี่ยนไปใช้ถนนเส้นอื่น เจ้าดูสิ เมื่อเราออกมาจากหมู่บ้านอู๋ซี ถนนที่เราใช้ก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่หรือ ตอนนี้เราได้ซื้อร้านในเมืองหลวงและเปิดร้านหล่านเยว่ ข้าเชื่อว่าชีวิตของเราจะดีขึ้นเรื่อย ๆ หน้าที่ของเจ้าคือต้องไม่มีความคิดที่ทำให้เสียสมาธิ และมีสมาธิในการเรียน ไม่จำเป็นต้องสอบได้ที่หนึ่ง แต่ต้องมีใจใฝ่หาความรู้และความก้าวหน้าอยู่เสมอ แม้ว่าในอนาคตข้างหน้าจะเป็นได้แค่อาจารย์ก็ตาม นั่นก็เป็นเรื่องดีที่ได้ทำคุณงามความดีเช่นเดียวกับอาจารย์สวี”

คำพูดของกู้เสี่ยวหวานทำให้หัวใจของกู้หนิงอันรู้สึกดีขึ้นหลังจากเศร้าหมองมาหลายวัน

มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย และในที่สุดดวงตาก็ปรากฏร่องรอยแห่งความสุข “ท่านพี่ ข้าจะพยายามอย่างหนักแน่นอน”

ผลลัพธ์ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือยังคงรักษาทัศนคติที่มุ่งมั่นได้อยู่เสมอ

หลังจากคำพูดเหล่านี้ อารมณ์ของกู้หนิงอันดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา

ทุกวันเหมือนเมื่อก่อน เขาจะออกไปแต่เช้าและกลับดึก มุ่งหน้าไปที่หอหนังสืออวี้เพื่อเรียนและฝึกเขียนพู่กัน

เนื่องจากกู้จือเหวินสอบผ่านซิ่วไฉ เขาก็ได้รับการยกย่องจากเพื่อนร่วมชั้นเหล่านั้นจนแทบจะทำให้เขาลอยขึ้นฟ้า

วันนี้หากศิษย์คนนี้ไม่ได้เป็นเจ้าภาพเชิญกู้จือเหวินไปทานอาหารเย็น พรุ่งนี้จะเป็นศิษย์คนนั้นเป็นเจ้าภาพและเชิญกู้จือเหวินไปดูการแสดง

บัณฑิตกลุ่มหนึ่งพากันไปกินดื่มด้วยความสนุกสนาน

สวีเฉิงเจ๋อก็ไม่ได้ยุ่งในช่วงเวลานี้

นับตั้งแต่เขากลับมาจากเมืองรุ่ยเสียน เขาก็มีแต่คำถามมากมายอยู่ในใจ

หลังจากการสอบครั้งสุดท้าย เขาถามกู้หนิงอันเกี่ยวกับการสอบ

มีการสอบห้าครั้งติดต่อกัน และกู้หนิงอันก็จดจำเนื้อหาของการสอบแต่ละครั้งและจำคำตอบที่ตัวเองตอบไว้อย่างชัดเจน

สวีเฉิงเจ๋อพอใจกับคำตอบของเขามาก และแม้แต่สวีเซียนหลินก็ชื่นชมเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขียนได้ดี

แต่กู้จือเหวินได้ยินคนพูดว่าเขาเผลอหลับไปครึ่งชั่วยามในห้องสอบหนึ่งครั้ง และทำให้กระดาษทดสอบเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลาย

เมื่อถึงเวลาส่งกระดาษคำตอบก็เพิ่งตระหนักว่าตัวเองเขียนคำตอบไปเกินครึ่งเท่านั้น และแผนกระดาษด้านหลังก็ยังคงว่างเปล่า

ดังนั้นเมื่อรายชื่อถูกประกาศออกมา กู้จือเหวินรู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นว่าชื่อของตนเองอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อ

*[1] มีหลากหลายวิธีการที่ให้ผลลัพธ์อย่างเดียวกัน

————————————-