เล่ม 1 ตอนที่ 246-1 เหอจั๋วเอ็นดูหลานสาว ความอบอุ่นของครอบครัว

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 246-1 เหอจั๋วเอ็นดูหลานสาว ความอบอุ่นของครอบครัว

ด้านนอกห้อง สาวใช้หลายคนแอบฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ทุกคนล้วนตกใจยิ่งนัก พวกนางเข้ามาในปราสาทเฮ่อหลันกันตั้งแต่ยังเล็ก จวบจนกระทั่งวันนี้ก็ใกล้จะสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เคยได้ยินเหอจั๋วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเช่นนี้มาก่อน จั๋วหม่าน้อยทำอะไรกันแน่ เหตุใดถึงทำให้เหอจั๋วหัวเราะได้ขนาดนี้ สุขภาพของเหอจั๋วไม่ดีอยู่นะ จะหัวเราะเช่นนี้ไม่ได้ เดี๋ยวจะขาดใจตายเสีย!

“พวกเจ้าทำอะไรกัน” นางกำนัลชิงเหยียนเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าดุดัน

สาวใช้สองคนรีบลุกยืนตัวตรง ก้มหน้าทำความเคารพอย่างนอบน้อม “นางกำนัลชิงเหยียน”

นางกำนัลชิงเหยียนมองค้อนทั้งสองด้วยความไม่พอใจ สาวใช้แทบอยากจะเอาหน้าซุกกระโปรงเสียให้ได้ ไม่นานนางกำนัลชิงเหยียนก็ได้ยินเสียงจากข้างใน สีหน้านางชะงักไปเล็กน้อย เขยิบเข้าใกล้ประตู เสียงหัวเราะของเหอจั๋วดังออกมาคล้ายคลื่นลูกใหญ่ ลูกตานางพลันขยับ ค่อยๆ แง้มประตูที่งับอยู่หลวมๆ แล้วนางก็เห็นจั๋วหม่าน้อยที่ยืนอยู่ตรงธรณีประตู ใช้ผ้าม่านหลากสีห่อศีรษะตัวเองเอาไว้ ท่าทางปอดแหกเช่นนี้ นางเห็นยังทนไม่ไหว ถึงกับหัวเราะ “พรืด” ออกมา

สาวใช้สองคนหันมองหน้ากัน ก่อนจะปิดปากลอบหัวเราะ

นางกำนัลชิงเหยียนรีบเอามือปิดปาก กระแอมแก้เก้อแล้วจึงสั่งทั้งสองเสียงเข้มว่า “ตรงนี้ไม่ต้องคอยเฝ้าแล้ว พวกเจ้าไปที่โถงหารือ เชิญนายท่านเฉียวกับนายน้อยทั้งสองคนมาที่นี่เถอะ”

“เจ้าค่ะ!” ทั้งสองรับคำแล้วเดินออกไปอย่างระมัดระวัง

นางกำนัลชิงเหยียนจัดระเบียบแขนเสื้อ เดินกลับห้องตนเอง ปิดประตูลงด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง…

พอทิ้งตัวลงบนเตียงได้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น!

ซาลาเปาน้อยทั้งสองกับเฉียวเจิงได้รับเชิญมายังเรือนพักของเหอจั๋วอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซาลาเปาน้อยได้เดินเข้ามาภายในปราสาทเฮ่อหลัน แต่เพราะปราสาทเฮ่อหลันงดงามเกินไปจริงๆ จนรู้สึกว่าตาพวกเขาไม่พอมองเลยทีเดียว สายตากวาดไปมาไม่หยุด แต่ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกว่าเหอจั๋วดุดันกับพวกเขานักนะ!

สัตว์น้อยทั้งสามเดินอาดๆ ไปในสวนดอกไม้ที่เขียวชอุ่ม ที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ ด้วยเพราะปัจจัยบางอย่างที่รู้กันดี สัตวน้อยตัวปลอมทั้งสามยังคงอยู่ในปราสาทเฮ่อหลัน สัตว์น้อยทั้งสามจึงได้พบกับสัตว์น้อยตัวปลอมอย่างไม่เกินความคาดหมาย

คราแรกสัตว์น้อยตัวปลอมทั้งสามกำลังนอนอาบแดดกันอยู่ในสวนดอกไม้อย่างสบายอารมณ์ ดื่มด่ำกับแสงอาทิตย์อันงดงามและเงียบสงบในที่ที่เป็นของพวกมันแต่เพียงผู้เดียว ด้านข้างมีสาวใช้ถือแปรงขนอ่อนนุ่มคอยหวีคอยลูบให้พวกมันอยู่เป็นระยะๆ เรียกได้ว่าสบายกายสบายใจยิ่งนัก

ใครจะคิดว่าพวกมันดื่มด่ำอยู่ได้ไม่เท่าไร ก็รู้สึกว่าแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมามืดลง พอพวกมันลืมตาก็เห็นเจ้าตัวน้อยที่ลักษณะเหมือนพวกตนทุกอย่าง กำลังทำตาถมึงทึงมองมาที่พวกตน

สัตว์น้อยตัวปลอมตกใจจนขนตั้งชัน พากันเผ่นแน่บหนีไป!

สัตว์น้อยทั้งสามลงนอนบนพื้นกันอย่างเชื่องช้า กางแขนขาออกกว้างก่อนจะหลับตาลงด้วยความสบายใจ

เหล่าสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความอึ้งงัน ชั่วขณะนั้นถึงกับไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรดี

จูเอ๋อร์ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง ปรายตามองสาวใช้ที่นิ่งอึ้งไป จับมืออีกฝ่ายข้างที่ถือแปรงให้เอามาวางเบาๆ ลงบนตัวมัน

แปรงสิ!

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เฉียวเจิงกับตัวน้อยทั้งห้าที่ได้รับการเรียกพบจากเหอจั๋ว แม้แต่จีหมิงซิวที่อยู่ไกลถึงปราสาทไซน่าก็ได้รับเชิญจากองครักษ์ที่เหอจั๋วส่งมาให้ไปยังปราสาทเฮ่อหลันด้วย คนอื่นเคยเห็นเขาที่ลานประลอง ฐานะของเขาในตอนนั้นคือองครักษ์ของจั๋วหม่าน้อยเช่นเดียวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ย แต่การที่นางกำนัลชิงเหยียนมารออยู่ที่หน้าประตูและเชิญเขาเข้าไปภายในตำหนักนอนด้วยตนเอง ก็คล้ายเป็นการอธิบายบางอย่าง

ในที่สุดก็ได้พบเหอจั๋วอย่างพร้อมหน้าทั้งครอบครัวแล้ว

เหอจั๋วนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวใหญ่ที่ปูหนังสัตว์ทับเอาไว้ ซาลาเปาน้อยทั้งสองยืนอยู่ข้างหน้าอย่างเรียบร้อย ตากลมโตดำขลับเบิกกว้าง มองเขาอย่างใสซื่อและใคร่รู้

เหอจั๋วลูบหัวไหล่ซาลาเปาน้อยทั้งสองอย่างมีเมตตา “ข้าคือท่านตาทวดของพวกเจ้า”

จิ่งอวิ๋นกะพริบตา “ท่านตาทวดคืออะไร”

เหอจั๋วนิ่งคิดก่อนจะตอบยิ้มๆ ว่า “ตาทวดก็คือท่านตาของท่านแม่พวกเจ้า”

จิ่งอวิ๋นเข้าใจในทันที “ท่านแม่ก็มีท่านตาหรือนี่! ข้ากับน้องสาวก็มีท่านตา”

เฉียวเจิงยกนิ้วโป้งให้หลานชายในใจ ไม่ลืมที่จะบอกถึงการมีอยู่ของตา ไม่เสียแรงที่เป็นหลายชายคนดีของตาจริง!

เหอจั๋วปรายตามองเฉียวเจิงเรียบๆ ทีหนึ่ง เฉียวเจิงคอหด ไม่ส่งเสียงใดทั้งสิ้น

วั่งซูคอยสังเกตเหอจั๋วด้วยความใคร่รู้ ใบหน้าของเขา หมวกของเขา เสื้อผ้าอาภรณ์ของเขา ไม่เหมือนกับท่านตานางเอาเสียเลย เหตุใดท่านตาของท่านแม่กับท่านตาของนางถึงไม่เหมือนกันนะ

“ท่านก็เป็นท่านตาทวดของพวกเขาด้วยหรือ” จิ่งอวิ๋นถาม เด็กจิ่งอวิ๋นผู้นี้ออกจะเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่เล็กน้อย คราก่อนที่เจ้าสัตว์น้อยมีเรื่องเบาะแว้งกัน เขาจำได้ว่าเด็กอีกสองคนที่ชื่อจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็เรียกเขาว่าตาทวดเหมือนกัน หรือว่าเขาก็เป็นท่านตาทวดของท่านแม่พวกเขาเหมือนกัน

เหอจั๋วบอกว่า “ตาทวดเป็นแค่ตาทวดของพวกเจ้า”

“ข้ากับน้องสาวหรือ” จิ่งอวิ๋นถามต่อ

เหอจั๋วยิ้มพลางพยักหน้า

จิ่งอวิ๋นเลยยิ้มด้วยความดีใจ เวลาเขายิ้มน่ามองยิ่งนัก ใบหน้าหล่อเหลาดวงน้อยเจือความอ่อนเยาว์ ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์อย่างบอกไม่ถูก แต่พร้อมกันนั้นก็เต็มไปด้วยความใสซื่ออย่างเด็กน้อยอันอ่อนโยน

“พวกเจ้ายังไม่เรียกท่านตาทวดเลย” เหอจั๋วเอ่ยอย่างมีเมตตา

ซาลาเปาน้อยทั้งสองเรียกอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ท่านตาทวด!”

เหอจั๋วดีใจยิ่งนัก รอยยิ้มในตาแทบจะหยาดเยิ้มออกมา เขามองเฉียวเวยที่ยืนห่างไปไม่ไกล พวกเด็กๆ ว่าง่ายกว่าเจ้ามากนัก

เฉียวเวยเบือนหน้าหนี เรื่องหลอกเด็กจะยากอะไรกัน

“ท่านตา” จีหมิงซิวเดินเข้ามา

เฉียวเวยพลันหน้าบึ้ง เหตุใดเจ้าต้องหักทางลงข้าทิ้งด้วย!

เหอจั๋วหยุดมองใบหน้าของจีหมิงซิว ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายเรียกตนว่าท่านตาสักนิด คล้ายว่าเดาฐานะของจีหมิงซิวได้ตั้งแต่แรกแล้ว ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น เขาคอยสังเกตจีหมิงซิวอยู่พักหนึ่ง นัยน์ตาค่อยๆ เผยแววพอใจ “เจ้าก็คือหมิงซิว?”

จีหมิงซิวตอบรับเสียงเบา “ขอรับ ท่านตา”

“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว” เหอจั๋วถาม

จีหมิงซิว “ข้าโตกว่าเสี่ยวเวยเจ็ดปีขอรับ”

“โตกว่าเจ็ดปี โตกว่าเจ็ดปีดี!” เหอจั๋วมองหนุ่มรูปงามตรงหน้าแล้วก็ให้ถูกชะตาไปหมด ชอบใจเสียยิ่งกว่าอะไร

เฉียวเจิงเห็นว่าทุกคนเข้าไปทำความรู้จักกับเหอจั๋วหมดแล้ว เหลือแค่ตนคนเดียว จึงรีบทำใจกล้าก้าวออกไปบ้าง ในตอนนั้นจีหมิงซิวเข้าไปนั่งอยู่ข้างกายเหอจั๋วแล้ว ซาลาเปาน้อยทั้งสองก็ถอดรองเท้าขึ้นไปปีนเล่นอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ของเหอจั๋วแล้วเช่นกัน สีหน้าเหอจั๋วดูอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เฉียวเจิงรู้สึกว่าในตอนนี้ ไม่ว่าเหอจั๋วมองใครก็น่าจะถูกชะตาไปหมด

เขาเลยฉีกยิ้มกว้าง เอยเรียกเสียงหวานว่า “ท่านพ่อ”

รอยยิ้มของเหอจั๋วพลันหายไป

ในใจเฉียวเจิงร้องลั่น เป็นเขยเหมือนกันแท้ๆ เหตุใดท่าทีถึงต่างกันเช่นนี้!

“ชิงเหยียน เอากล่องของข้ามา”

“เจ้าค่ะ เหอจั๋ว”

นางกำนัลชิงเหยียนเดินไปที่ห้องเก็บของ ยกเอากล่องที่เหอจั๋วเก็บเอาไว้ออกมา ซาลาเปาน้อยทั้งสองเบิกตาโตใสแจ๋ว คอยมองเหอจั๋วเปิดกล่องออก จากนั้นก็พากันร้องว้าว

ในกล่องนี้คือสมบัติลับของเหอจั๋วทั้งหมด ถึงแม้เขาจะใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ชนเผ่าถ่าน่าร่ำรวยเงินทองมากเกินไป ปราสาทเฮ่อหลันยังมีกิจการใหญ่โต ด้วยเหตุนี้ต่อให้ไม่ตั้งใจจะใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย แต่ก็ยังมีของดีหายากไว้ในครอบครองไม่น้อย

วั่งซูมองมองของล้ำค่าในกล่องที่ดูอร้าอร่ามแล้วได้แต่น้ำลายไหล

เหอจั๋วลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง “ชอบอันไหน เลือกไปสิ”

“ข้าชอบนกตัวนี้!”

“ไม่สิๆ ข้าชอบเสือตัวนี้!”

“ตุ๊กตาตัวนี้!”

“พู่กัน!”

วั่งซูเลือกอยู่นานก็ตัดสินใจไม่ได้เสียที เหอจั๋วเอาของที่นางเลือกทั้งหมดออกมาให้นางกำนัลชิงเหยียนใส่กล่องให้อย่างดี

วั่งซูกอดกล่องสีทองอร่ามเอาไว้อย่างรักใคร่ มีความสุขจนแทบจะลอยได้

จิ่งอวิ๋นเลือกเอากริชกับหน้าไม้หนังไป เขาเอากริชเก็บใส่กระเป๋า ถือหน้าไม้หนักออกไปลองเล่นในสวน

เหอจั๋วเปิดลิ้นชัก เอาหยกนกคู่ยวนยางให้เฉียวเวยกับจีหมิงซิว หยกคู่สองชิ้นนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นหยกหมึก อีกครึ่งหนึ่งเป็นหยกน้ำข้าว เมื่อเอามาต่อกันจะคล้ายกระบวนพยุหะแปดทิศ

“ขอบคุณท่านตา” จีหมิงซิวรับเอาส่วนของเฉียวเวยมาด้วย

สุดท้ายก็ถึงตาเฉียวเจิง

เฉียวเจิงรอคอยของขวัญแรกพบหน้าจากพ่อตาตนอย่างมาก อันที่จริงของเพียงเป็นสิ่งที่ท่านพ่อตาให้ ไม่ว่าจะล้ำค่าหรือไม่ก็ต้องเก็บไว้อย่างทะนุถนอมทั้งสิ้น!

แต่ใครจะคิดว่าเหอจั่วกลับปิดกล่องนั้นลง

เฉียวเจิง “…”

ตกกลางคืน พวกเขาทั้งครอบครัวนั่งลงกินข้าวด้วยกัน บนโต๊ะกินข้าวของเหอจั๋วไม่เคยคึกคักเช่นนี้มาก่อน ต่อให้เป็นตอนเด็กที่ในบ้านมีพี่น้องสามคน ก็ไม่เคยมีบรรยากาศเช่นนี้ จีหมิงซิวกับเฉียวเวยแยกกันนั่งข้างเหอจั๋ว อีกด้านหนึ่งของจีหมิงซิวคือเฉียวเจิง เพราะถูกจัดให้นั่งอยู่ห่างจากท่านพ่อตาเช่นนี้ ทำให้เฉียวเจิงไม่สู้จะพอใจนัก! น่าเสียดายที่ไม่พอใจไปก็ทำอะไรไม่ได้ เขาถลึงตาใส่จีหมิงซิวทีหนึ่ง ท่านพ่อตาก็จะถลึงตาใส่เขาให้เป็นร้อยที เขาพลันรู้สึกว่าฐานะในบ้านของตนลดฮวบลงไปเป็นพันจั้ง!

จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเฉียวเวย จิ่งอวิ๋นถึงแม้จะกินน้อย แต่กินอย่างเอร็ดอร่อย กัดหมูตุ๋นน้ำแดงที่มันเยิ้มแต่ไม่เลี่ยนเข้าปาก น้ำแดงจากเนื้อไหลออกมาจากมุมปาก ทำให้คนมองพลอยน้ำลายไหลไปด้วย วั่งซูยิ่งไม่ต้องพูดถึง บนโต๊ะนี้นางกินเก่งที่สุดแล้ว คำสั่งสอนของจีหว่านนางลืมไปจนสิ้น ลูกชิ้นกุ้งสับหอมหวาน นางกินคำละลูก ไม่นานทั้งจานก็หมดเกลี้ยง

จีหมิงซิวคีบผักให้บุตรทั้งสอง พวกเขาไม่เลือกกิน กินลงไปด้วยความเอร็ดอร่อย

เหอจั๋วเพียงมองอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ท่านตา กินสิขอรับ” จีหมิงซิวตักลูกชิ้นกุ้งสับที่นุ่มเหนียวให้เขา ลูกชิ้นกุ้งสับนี้เอาไปนึ่งกับกระเทียมสับ จึงไม่เลี่ยนทั้งยังนุ่มแน่นกำลังดี ไม่ต้องเขี้ยวมากนัก

เหอจั๋วป่วยมานาน ความอยากอาหารหดหายไปนานแล้ว กินอะไรก็ล้วนไร้รสชาติไม่ต่างอะไรกับเขี้ยวผักเขี้ยวหญ้า แต่วันนี้เมื่อได้เห็นกับข้าวในชาม เขาถึงกับรับรู้ถึงรสเค็มหอมขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

นางกำนัลชิงเหยียนยกปูนึ่งเข้ามาถาดใหญ่

เฉียวเวยเอาไปตัวหนึ่ง เปิดกระดอง เอานมปู กระเพาะปู หัวใจปูกับพวกส่วนที่กินไม่ได้ออกแล้วส่งให้วั่งซู

เหอจั๋วก็เอาไปตัวหนึ่ง แกะออกอย่างละเอียดแล้วเอาไปวางให้ในจานเฉียวเวย

เฉียวเวยไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว นางพุ้ยข้าวกินอยู่หลายคำก่อนจะกินปูในจานลงไป

เหอจั๋วเลยได้ยิ้มน้อยๆ

วั่งซูยังกินไม่หนำใจ จีหมิงซิวเลยแกะปูตัวใหญ่เนื้อแน่นให้นางอีกตัวหนึ่ง

เฉียวเจิงก็คิดจะแกะปูให้ท่านพ่อตาเช่นกัน เขาตัดสินใจเลือกตัวที่ใหญ่ที่สุด แต่พอจะแกะ กลับแกะไม่ออก ลองอีกที อีกหลายที ก็ยังไม่ยอมออก! ปูตัวนี้มีความแค้นอะไรกับเขาหรือไร!

เขาเอาปูมาถือไว้ในมือ กำหมัดแล้วทุบลงไป! ได้ยินเสียงดังปัก แล้วปูก็แตกออกจริงๆ กระดองปูส่วนหนึ่งกระเด็นออกไปติดอยู่กลางหว่างคิ้วของเหอจั๋วอย่างพอดิบพอดี

สีหน้าของเหอจั๋วถึงกับดูไม่ได้ไปทันที ข้าวที่เหลืออีกครึ่งถ้วยก็ไม่รู้ว่าเฉียวเจิงต้องกล้ำกลืนกินลงไปท่ามกลางแรงกดดันได้อย่างไร พอกินเสร็จเขาก็เหงื่อท่วมไปทั้งตัว เขาสาบานเลยว่าตอนเขาลงเมล็ดเพาะปลูกเสี่ยวเวยกับชิงหลวนยังไม่เคยเหงื่อแตกท่วมตัวเช่นนี้!

พ่อตาอะไรนี่ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!

เฉียวเวยกินอิ่มแล้วเลยออกไปเดินเล่นในสวน ทิวทัศน์ในปราสาทเฮ่อหลันงดงามยิ่งนัก เสียงนกเคล้ากลิ่นหอมดอกไม้ แม้แต่อากาศยังสดชื่นเสียยิ่งกว่าอะไร เฉียวเวยเดินไปเดินมาก็มาถึงสระน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในสระนี้เลี้ยงปลาจิ๋นหลี่[1]น้ำจืดไว้สิบกว่าตัว มีสาวใช้กำลังให้อาหารอยู่

สาวใช้เห็นนางก็ค้อมกายคารวะ ถึงแม้จะยังไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่นางเป็นคนที่ผู้อาวุโสใหญ่พาเข้ามาในปราสาทเฮ่อหลัน ทั้งยังได้ร่วมโต๊ะกับเหอจั๋ว ฐานะของนางจึงไม่เหมือนในวันวานอีก

เฉียวเวยมองถาดใบน้อยในมืออีกฝ่าย “เอามาให้ข้าเถอะ ข้าป้อนเอง”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้เอาถาดอาหารปลาใบน้อยส่งให้เฉียวเวย

เฉียวเวยกระโดดขึ้นไปบนก้อนหิน แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นทำให้ปลาจิ๋นหลี่ในน้ำตกใจจนว่ายหนี แต่ไม่เท่าไร พอเฉียวเวยโปรยอาหารลงไป ปลาเหล่านั้นก็สะบัดหางว่ายเข้ามาด้วยความปรีดิ์เปรม

“เสี่ยวเวย”

เสียงของเหอจั๋วดังขึ้นด้านหลัง

หางตาของเฉียวเวยเหลือบมองเงาที่ปรากฏขึ้นในน้ำ ส่งเสียงหึๆ ไม่สนใจอีกฝ่าย

เหอจั๋วก้าวเข้ามาริมสระ ก้าวยาวๆ เข้ามายืนอยู่บนหินก้อนเดียวกับเฉียวเวย หินก้อนนี้ไม่นับว่าเล็ก สามารถยืนกันได้สองคน แต่มันอยู่ไกลจากฝั่งตั้งมากเพียงนั้น เขาอายุอานามเท่านี้แล้ว ก้าวยาวๆ มาเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะเป็นอะไรไปหรือไร

เหอจั๋วยืนไม่มั่นคง พอเท้าลื่นตัวจึงเอนไปทางสระน้ำ เฉียวเวยตาไวเอื้อมมือไปคว้าตัวเขากลับมาทัน นางถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างโกรธๆ ก่อนจะดึงมือกลับมา

[1] ปลาจิ๋นหลี่ ปลาคาร์ป