ปีอี่โหย่ว[1] รัชศกหลงเซิ่งปีที่แปด เดือนสาม จักรพรรดิต้ายงออกราชโองการแต่งตั้งฉีอ๋องเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองบัญชาการศึกเจียงหนาน แต่งตั้งรัชทายาทหลี่จวิ้นเป็นรองแม่ทัพใหญ่ บัญชาการกองทัพใหญ่เรือนล้านในปาสู่ เซียงฝาน เจียงไหวและตงไห่ การบุกลงใต้รุกรานหนานฉู่ มอบหมายให้ฉู่จวิ้นโหวแซ่เจียงเป็นเสนาธิการแห่งกองบัญชาการศึก
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สี่
หนานฉู่ รัชศกถงไท่ปีที่สิบสอง ปีอี่โหย่วเดือนสิบวันที่สาม เทศกาลหยวนเซียวกำลังจะมาเยือนเมืองเจี้ยนเย่นครหลวงแห่งหนานฉู่ ภายในเมืองและนอกเมืองล้วนมีแต่ความรื่นเริงยินดี ปีกลายกองทัพหนานฉู่ได้ชัยชนะครั้งใหญ่สองหนที่ไหวซีกับท่าเรือกวาโจว ผู้คนทั่วทั้งหนานฉู่ตั้งแต่เบื้องบนจดเบื้องล่างจึงจมอยู่ในความยินดีปรีดา
สิบกว่าปีก่อนยงอ๋องหลี่จื้อบุกปล้นเจี้ยนเย่ กวาดต้อนเจ้าแคว้นและร้อยขุนนางไป สร้างความหวาดหวั่นให้แก่หนานฉู่ยิ่งกว่าที่คนมากมายจินตนาการ แม้เรื่องนี้จะผ่านพ้นไปแล้ว หนานฉู่มีเจ้าแคว้นคนใหม่แล้ว อีกทั้งยังสร้างแนวป้องกันทางฝั่งเจียงไหวอันแข็งแกร่งขึ้นมาได้แล้ว แต่ชาวหนานฉู่แทบทั้งหมดล้วนมีความหวาดวิตก กังวลอยู่ตลอดเวลาว่ากองทัพอาชาเหล็กของต้ายงจะเหยียบย่ำความรุ่งเรืองตรงหน้าจนย่อยยับ
ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมา แม้เจียงหนานมีบัณฑิตเลือดร้อนผู้ตั้งปณิธานจะชำระแค้นล้างอายเพิ่มขึ้นมากมาย แต่ก็มีบัณฑิตเสเพลมิเอาไหนผู้ใช้ชีวิตจมอยู่กับความเมามายเพิ่มขึ้นมากกว่า หนนี้ลู่ช่านคว้าชัยชนะครั้งใหญ่ที่ไหวซีกับชัยชนะครั้งใหญ่ที่กวาโจวมิเพียงล้างความอัปยศในอดีต แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นในหัวใจของทหารและประชาชนหนานฉู่ขึ้นมาใหม่อีกหน
ลู่ช่านมิใช่เป้าหมายการด่าทอโจมตีของบัณฑิตเหล่านั้นอีกต่อไป แต่กลายเป็นยอดแม่ทัพผู้กอบกู้วิกฤติ วีรบุรุษผู้นำทหารและประชาชนหนานฉู่ต่อต้านกองทัพใหญ่เรือนล้านของต้ายง ปกป้องความรุ่งเรืองสงบสุขของเจียงหนาน
เทศกาลหยวนเซียวหนนี้ เกิดขึ้นหลังชัยชนะครั้งใหญ่พอดี ดังนั้นมิว่าพลทหารหรือประชาชนล้วนตั้งใจจะอาศัยช่วงเวลาฉลองเทศกาลแสดงความยินดีปรีดาที่อยู่ในใจ ด้วยเหตุนี้เทศกาลโคมไฟปีนี้จึงครึกครื้นยิ่งกว่าปีก่อนๆ โคมประดับประดาสว่างไสวทั่วทั้งเมืองประหนึ่งตำหนักเทพบนสรวงสวรรค์ แม่น้ำฉินไหวมีกระทงลอยนับพันหมื่นเสมือนหนึ่งทางช้างเผือกบนท้องนภาลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ เรือเริงรมย์ทั้งหลายต่างแขวนโคมสีสันงดงามสูงเด่นดั่งตำหนักวิจิตรงามตระการ นางขับร้องนางระบำสวมอาภรณ์งดงามหลากสีขับขานเริงระบำอยู่บนลำเรือ เสียงเพลงนุ่มนวลกังวานปานเสียงสวรรค์ ท่วงท่าร่ายรำอ่อนช้อยเช่นเทพธิดา ดวงไฟประดับประดาระยิบระยับไร้รัตติกาล ภาพเช่นนี้ทำให้จิตใจของผู้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้มลืมเลือนว่าโลกมนุษย์คือที่ใด นี่ยังเพิ่งวันที่สิบสามเริ่มแขวนโคมเท่านั้น หากถึงวันเทศกาลหยวนเซียว ทั้งในและนอกนครเจี้ยนเย่คงจะยิ่งครึกครื้นเป็นแน่
ทั่วนครรุ่งเรืองสว่างไสว ตัวข้าไซร้เดียวดายกลัดกลุ้ม ในห้วงเวลาที่ทั่วทั้งใต้หล้าเฉลิมฉลองนี้กลับมีคนกลัดกลุ้มยากจะบอกกล่าว ภายในห้องหนังสือของจวนอัครมหาเสนาบดี ยามนี้กลับมีเมฆหมอกทะมึนเข้าปกคลุม
ซั่งเหวยจวินผู้กุมอำนาจในราชสำนักนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ด้านหลังโต๊ะอ่านหนังสือ ภายในห้องหนังสือยังมีคนบ้างยืนบ้างนั่งอยู่อีกสามคน บุรุษวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่งยืนอยู่หลังร่างของซั่งเหวยจวิน เขาก็คือซั่งเฉิงเยี่ย บุตรชายโทนของซั่งเหวยจวิน ความสามารถอยู่ในระดับธรรมดา พบพานเรื่องใดล้วนไร้ความคิดเห็น ซั่งเหวยจวินอยากผลักดันเขาให้มีตำแหน่งสำคัญหลายหน แต่กลับต้องล้มเลิกเสียทุกครา ดังนั้นเขาจึงได้ครอบครองเพียงตำแหน่งว่างๆ ตำแหน่งหนึ่งในกรมมหาดไทย ภายในห้องหนังสือแห่งนี้ก็ไม่มีที่นั่งของเขา ความจริงยามอยู่ข้างนอกเขาเป็นคนเสเพลทำตามอำเภอใจคนหนึ่ง แต่ยามอยู่ต่อหน้าบิดากลับสั่นกลัว มิกล้าเหิมเกริม
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือตำแหน่งแรกทางฝั่งซ้ายคือบุรุษวัยกลางคนคิ้วเรียวดวงตายาวคนหนึ่ง เขาคืออิ่นตวนหวาเจ้ากรมคลัง ลูกศิษย์ของซั่งเหวยจวิน แล้วก็เป็นพรรคพวกคนสนิทของเขา ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ตำแหน่งแรกทางฝั่งขวาคือบัณฑิตเฒ่าคนหนึ่ง เขาก็คือหนิงเชียนผู้วางกลอุบายให้แก่ซั่งเหวยจวิน การต่อสู้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายกับผู้อื่นในสนามขุนนางหลายปีที่ผ่านมาของซั่งเหวยจวินมักจะอาศัยแผนการอำมหิตของคนผู้นี้
ซั่งเหวยจวินเงียบงันอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็ข่มกลั้นมิไหวเอ่ยออกมาว่า “ท่านหนิง ตวนหวา พวกท่านมีความคิดอันใดหรือไม่ ข้าผัดผ่อนการปูนบำเหน็จออกไปแล้ว แต่วันมะรึนเป็นวันหยวนเซียว มิว่าอย่างไรก็สมควรพระราชทานรางวัลให้แก่กองทัพได้แล้ว ลู่ช่านเป็นเจิ้นหย่วนกง ทั้งยังครองตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่อยู่แล้ว หากจะปูนบำเหน็จอีกก็มีแต่ต้องมอบตำแหน่งอ๋องให้ คนต่างแซ่มิอาจแต่งตั้งเป็นอ๋อง นี่เป็นธรรมเนียมที่สมควรเป็น แต่หากมิทำเช่นนั้นยังจะพระราชทานรางวัลอะไรได้อีก ยามนี้เสียอำนาจทหารที่ไหวตงไปแล้ว อำนาจทหารในหนานฉู่ล้วนอยู่ในมือตระกูลลู่ หากลู่ช่านเกิดไม่พอใจขึ้นมา น่ากลัวว่าพวกเราคงมิมีที่ให้ฝังร่าง”
อิ่นตวนหวาตอบอย่างกังวล “นั่นสิ หลายวันก่อนลู่ช่านถวายฎีกาขอขยายกองทัพเตรียมเผชิญศึก เขากุมอำนาจทหารแทบทั้งหมดเอาไว้แล้ว แต่ยังคิดจะขยายกำลังพลในกองทัพอีก นี่มิใช่ใจคิดมิซื่อหรือไร”
ซั่งเหวยจวินส่ายหน้า “เจ้ากังวลเกินไปแล้ว ขยายกองทัพเป็นเรื่องจำเป็น หนนี้กองทัพไหวตงแทบจะตกตายหมดสิ้น หากมิขยายกองทัพย่อมมิอาจตรึงแนวป้องกันที่เจียงไหว ยิ่งไปกว่านั้นหากขยายกองทัพ พวกเราก็มีโอกาสเสียบคนของตนเองเข้าไป”
บัณฑิตเฒ่าผู้นั้นดวงตาทอประกายเย็นยะเยือก กล่าวว่า “แม้ท่านอัครมหาเสนาบดีคิดเช่นนี้ แต่หากปล่อยให้ลู่ช่านคุมทหาร เกรงว่าทหารใหม่เหล่านี้คงจะฟังแต่คำสั่งของตระกูลลู่กันหมด”
ซั่งเหวยจวินโบกมือ “นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยมิได้ ในหมู่พวกเรามิมีผู้ใดนำกองทัพได้ ลั่วโหลวเจินคนนั้นก็เอาความพยายามทั้งหมดในไหวตงของข้าลงสุสานไปด้วยแล้ว เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย หารือกันว่าจะพระราชทานรางวัลอย่างไรเถิด”
บัณฑิตเฒ่าผู้นั้นลูบหนวดเคราเสนอขึ้นว่า “ท่านเสนาบดีมิสู้แลกเปลี่ยนเงื่อนไขกับลู่ช่าน เขามิได้อยากขยายกองทัพหรอกหรือ เรื่องนี้จำเป็นต้องผ่านการประชุมในหมู่ขุนนาง ท่านเสนาบดีรับปากว่าจะสนับสนุนให้เขาขยายกองทัพเตรียมรับศึก แต่ขอให้เขายอมวางมือจากการปูนบำเหน็จหนนี้
จากนั้นท่านเสนาบดีก็มอบที่ดินศักดินาเพิ่มให้เขาอีกสักหน่อย แต่มิต้องเลื่อนบรรดาศักดิ์ของเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ไยมิใช่ทุกฝ่ายต่างพอใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังรักษาหน้าตาไว้ได้ด้วย คิดว่าลู่ช่านก็คงยอมทิ้งบรรดาศักดิ์แลกกับการสนับสนุนของท่านอัครมหาเสนาบดีเช่นกัน”
ซั่งเหวยจวินพยักหน้า ตอบว่า “ท่านหนิงกล่าวถูกต้อง การขยายกองทัพมิใช่เรื่องเล็ก หากมิมีเสบียงและเบี้ยหวัดจากราชสำนักย่อมมิอาจดำเนินการได้อย่างราบรื่น แม้ลู่ช่านจะน่าชัง แต่ก็มิใช่คนมิรู้จักสถานการณ์ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ลูกชายของเขามิใช่สร้างคุณงามความชอบในสงครามไว้หรือ หนนี้มอบตำแหน่งหัวหน้ากองพันขั้นหกในกองทัพให้แก่เขาสักตำแหน่ง ถือว่าเป็นการชดเชยก็แล้วกัน”
อิ่นตวนหวาเอ่ยว่า “นี่ถือว่ายกประโยชน์ให้พ่อลูกตระกูลลู่แล้ว แต่แม่ทัพที่มีความชอบคนอื่นสมควรให้รางวัลเช่นไรดีเล่า ให้รางวัลน้อยไปคนพวกนี้ก็คงจะก่อเรื่อง ให้รางวัลมากไป คนพวกนี้มากกว่าครึ่งก็คงเอาแต่ซาบซึ้งบุญคุณของลู่ช่าน จะมีสักกี่คนนึกถึงพระคุณของเจ้าแคว้นกับอัครมหาเสนาบดี”
หนิงเชียนหรี่ตาลงแต่มิตอบ เขามิเห็นด้วยกับคำพูดนี้ของอิ่นตวนหวานัก แต่เห็นซั่งเหวยจวินเหมือนกับกำลังขบคิดบางสิ่ง เขาจึงยังมิออกปากคัดค้าน
เวลานี้ซั่งเฉิงเยี่ยก็กล่าวขึ้นมาว่า “ความจริงในกองทัพหาได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวดุจแผ่นเหล็ก หนนี้ลู่ช่านกับสือกวนสร้างความชอบครั้งใหญ่ ส่วนอวี๋เหมี่ยนกับหรงเยวียนแม้จะมีความชอบที่ปกป้องอาณาเขตไว้ได้ แต่อย่างไรเสียความดีความชอบก็น้อยนิด ท่านพ่อมิสู้ตกรางวัลสือกวนให้หนัก แต่ให้อวี๋เหมี่ยนกับหรงเยวียนอย่างขอไปที
อวี๋เหมี่ยนยังมิเท่าไร แต่หรงเยวียนผู้นั้นมิใช่พรรคพวกที่ภักดีของลู่ช่าน อีกทั้งจิตใจของคนผู้นี้ก็ค่อนข้างคับแคบ เขาต้องริษยาเกลียดชังลู่ช่านเพราะเหตุนี้เป็นแน่ จากนั้นมิสู้ท่านพ่อลองเข้าไปปลอบประโลมเขาสักหน่อย คนผู้นี้มีความสามารถอย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นลูกน้องเก่าของเต๋อชินอ๋อง แต่เดิมก็เป็นคนภักดีต่อเจ้าแผ่นดินรักแว่นแคว้น มิแน่ว่าอาจจะมาเข้ากับท่านพ่อก็เป็นได้”
คำพูดนี้เอ่ยออกมา มิเพียงซั่งเหวยจวินดวงตาเป็นประกาย แม้แต่อิ่นตวนหวากับหนิงเชียนก็พยักหน้าซ้ำๆ ปกติในการประชุมเช่นนี้ซั่งเฉิงเยี่ยมักจะมิพูดมาก แต่วันนี้จู่ๆ เสนอแผนการขึ้นมากลับเป็นแผนการอันล้ำเลิศเช่นนี้ ทำให้คนแซ่อิ่นกับหนิงต้องมองเขาเสียใหม่ พากันเอ่ยปากชมมิหยุด ซั่งเหวยจวินกลับรู้ตื้นลึกหนาบางของบุตรชายคนนี้ดี เขาจึงถามอย่างประหลาดใจว่า “วันนี้เจ้าพูดจามีสาระ มิทราบว่าเป็นความคิดของผู้ใด”
ซั่งเฉิงเยี่ยหน้าแดงตอบว่า “ท่านพ่อ ข้าผูกมิตรกับสหายใหม่คนหนึ่ง เป็นบัณฑิตตกยาก มิมีปณิธานจะสอบเป็นขุนนาง เอาแต่แต่งบทเพลงประพันธ์บทกวีให้นางขับร้องเหล่านั้นในย่านเริงรมย์ แม้คนจะอยู่ท่ามกลางมวลหมู่บุปผา แต่กลับครองตนสะอาดดีงาม ลูกเห็นเขาท่าทางเก่งกาจมีความสามารถ ดังนั้นจึงคบหาเป็นสหาย หลายวันก่อนข้าร่ำสุรากับเขา พูดถึงเรื่องที่วันนี้แม่ทัพใหญ่มีอำนาจมากมายจนเหนือกว่าบิดาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาก็หัวเราะบอกว่าลู่ช่านยังมิอาจยกมือปิดฟ้าได้หรอก หากทำเช่นนี้ต้องได้ผลแน่นอน”
ซั่งเหวยจวินแววตาไหววูบถามขึ้นว่า “เจ้าตรวจสอบตัวตนของคนผู้นี้อย่างละเอียดแล้วหรือไม่ ฐานะของเจ้าจะคบหาสหายอย่างไม่ระวังมิได้”
ซั่งเฉิงเยี่ยตอบอย่างอับอาย “ลูกเพียงคบหาเขาเพื่อร่ำสุราแต่งบทกวีจึงมิรู้ชาติกำเนิดของเขา แต่คนผู้นี้สง่างามสูงส่ง เปี่ยมด้วยความสามารถ เพียงแต่น่าเสียดายที่มองโลกทะลุปรุโปร่งแล้วจึงมิต้องการลาภยศชื่อเสียง หากท่านพ่อสนใจ ลูกลองชักชวนเขาเข้ามาทำงานให้ท่านพ่อก็ได้”
ซั่งเหวยจวินส่ายหน้า ตอบว่า “ดูไปก่อนเถิด ใช้งานคนมิอาจมิระวัง แต่คนผู้นี้มีความสามารถเช่นนี้ย่อมมิอาจมองข้าม เจ้าชักชวนเขาเอาไว้ก่อน หากตัวตนมิมีปัญหาก็ค่อยชักชวนเข้ามาทำงานด้วย” กล่าวจบ ซั่งเหวยจวินก็ลังเลเล็กน้อยค่อยเอ่ยต่อว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง แต่เดิมข้าตั้งใจจะให้บุตรีบุญธรรมหลิงเซียงหมั้นหมายกับบุตรชายคนโตของลู่ช่าน หากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ได้ก็อาจมีแต้มต่อในการควบคุมตระกูลลู่เพิ่มขึ้นมาบ้าง น่าเสียดายกลับถูกลู่ช่านปฏิเสธ พวกท่านเห็นว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ได้หรือไม่”
หนิงเชียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาย่อมทราบว่าหลิงเซียงผู้นี้คือผู้ใด นางเป็นบุตรีบุญธรรมของจี้เสียเจ้าตำหนักอี๋หวงแห่งสำนักเฟิงอี้ แต่กลับกราบซั่งเหวยจวินเป็นบิดาบุญธรรม ความจริงแล้วหนิงเชียนก็ทราบความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างจี้เสียกับซั่งเหวยจวินดี แม้ซั่งเหวยจวินจะทราบข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับสำนักเฟิงอี้ดี แต่สตรีผู้เคยเป็นถึงกุ้ยเฟยแห่งแคว้นต้ายงมีแรงดึงดูดมากเกินไป ดังนั้นซั่งเหวยจวินจึงตกลงไปในหลุมอารมณ์หวามไหวของสำนักเฟิงอี้
หนิงเชียนคาดอยู่ก่อนแล้วว่าข้อเสนอเรื่องการแต่งงานนี้จะถูกลู่ช่านปฏิเสธ หากลู่ช่านมิปฏิเสธจึงจะแปลก ว่าที่ผู้นำตระกูลของตระกูลลู่สมควรตบแต่งกับกุลสตรีตระกูลดังแห่งหนานฉู่สักคน ไฉนเลยจะตบแต่งสตรีชาติกำเนิดมิชัดเจนคนหนึ่งเป็นภรรยา หนิงเชียนลังเลครู่หนึ่งก็เสนออย่างอ้อมๆ “ท่านอัครมหาเสนาบดี หากตั้งใจจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จริง มิสู้พิจารณาองค์หญิงใหญ่ซูหนิง”
“องค์หญิงใหญ่ซูหนิง!” ซั่งเหวยจวินพึมพำเสียงเบา องค์หญิงใหญ่ซูหนิงเป็นน้องสาวต่างมารดาของจ้าวหล่ง เจ้าแคว้นองค์ปัจจุบัน ปีนี้อายุสิบห้าปี หน้าตาเรียกได้ว่างามเป็นเลิศ เพียงแต่ว่ามารดาจากไปเร็ว มิมีตำแหน่งฐานะในราชวงศ์ ซั่งเหวยจวินจึงมิสนใจการมีอยู่ของนาง ยามนี้ได้ยินหนิงเชียนเอ่ยถึง เขาพลันบังเกิดความคิด หากหมั้นหมายองค์หญิงพระองค์หนึ่งกับตระกูลลู่สำเร็จ นี่มิใช่การดึงมาเข้าพวกที่ดีที่สุดหรือ อย่างไรเสียก็ยังต้องพึ่งตระกูลลู่ต่อต้านต้ายง หากตระกูลลู่คิดต่อต้าน องค์หญิงใหญ่ซูหนิงย่อมจะมีประโยชน์อย่างที่คนธรรมดาทำมิได้
[1] อี่โหย่ว ปีระกาปีที่ 22 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า