เล่ม 1 ตอนที่ 247-1 เหตุการณ์ในปราสาท ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 247-1 เหตุการณ์ในปราสาท ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

เฉียวเวยรู้สึกตัวตื่นจากเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบ นางยื่นมือไปลูบสองข้างตัวตามสัญชาตญาณ ข้างซ้ายคลำเจอบุตรทั้งสอง ข้างขวากลับว่างเปล่า นางลืมตาขึ้นมอง จีหมิงซิวไม่อยู่อย่างที่คิดไว้จริงๆ

เสียงพูดคุยภายในห้องดื่มชาที่ตั้งใจพูดเสียงให้เบาดังเป็นห้วงๆ เข้ามา ดูเหมือนจะเป็นจีอู๋ซวงกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เฉียวเวยเอาชุดขึ้นมาคลุม เอาผ้าห่มที่ถูกวั่งซูเตะออกกลับขึ้นห่มบนตัววั่งซูเหมือนเดิมแล้วลุกขึ้นเดินไปแง้มประตู

ทั้งสามอยู่ในนั้นกันหมด น้ำชาบนโต๊ะไม่มีไอร้อนแล้ว ดูท่าคงนั่งกันมานานพอควร

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงไม่รู้ถกเถียงอะไรกัน สีหน้าจีหมิงซิวดูไม่ดีเท่าไรนัก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสีหน้าร้อนรน ส่วนจีหมิงซิวที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประมุขยังคงสงบนิ่งเช่นเก่า อ่านอารมณ์ของเขาไม่ออกเลยสักนิด

เฉียวเวยแต่งกายเรียบร้อยเดินเข้าไปในโถงจิบชา “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ทั้งสามหันไปมองทางนาง สีหน้าดูแปลกใจเล็กน้อย

จีหมิงซิวจับมือนางให้เข้ามานั่งข้างตน “ดังรบกวนเจ้าแล้วใช่หรือไม่”

เฉียวเวยหาวทีหนึ่ง ยกชาที่เขาดื่มไปแล้วครึ่งถ้วยขึ้นมาจิบเล็กน้อย “บุรุษใหญ่อย่างพวกเจ้าสามคนดึกดื่นไม่หลับไม่นอน มาประชุมน้ำชากันอยู่หรือ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม หยิบผลไม้ลูกหนึ่งขึ้นมา แต่กลับวางลงอีกครั้งอย่างไร้ความอยากอาหาร

จีหมิงซิวเอากาน้ำที่เย็นแล้วขึ้นไปวางบนเตา “ตามหาจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมเจอแล้ว”

“เร็วเพียงนี้เชียว” เฉียวเวยสนใจขึ้นมาทันที

จีหมิงซิวบอกว่า “นางเข้ามามอบตัวเอง เวลานี้อยู่ในห้องของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย”

“มอบตัวเอง?” เฉียวเวยพึมพำพลางหันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ย “เจ้าเก็บตัวนางมา? เจ้ารู้เรื่องแล้ว?”

“เจ้าก็รู้เรื่อง?” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโมโหเดือดขึ้นมา “นี่พวกเจ้ารู้กันหมดแล้ว มีข้าคนเดียวที่ยังงมอยู่ในกะลา!”

จีอู๋ซวงกระแอมไอ

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เรื่องนี้จะโทษพวกข้าไม่ได้นะ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครมาบอกใครอยู่แล้ว ทุกคนล้วนเดากันได้เอง เจ้าเดาไม่ได้ จะโทษคนอื่นไม่ได้!”

“เรื่องเช่นนี้จะเดาได้อย่างไร” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม

“เรื่องเช่นนี้จะเดาไม่ได้ได้อย่างไร” เฉียวเวยย้อนถาม

ชัดเจนเพียงนี้ คนกับของหายไปพร้อมกัน ตอนหลังอยู่ๆ ของก็โผล่ออกมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป แต่คนกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่แปลกมากหรอกหรือ กระแสน้ำในเวลานั้นหากแรงถึงขั้นพัดคนทั้งคนให้หายไปได้ กับแค่ห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่ง น่ากลัวว่าคงถูกพัดจนไม่เหลือชิ้นดีไปแล้ว จะไปอยู่ในมือเจ้าตัวปลอมในสภาพสมบูรณ์ทุกอย่างได้อย่างไร

หากบอกว่าเจ้าคนตัวปลอมส่งคนสะกดรอยตามพวกเขา ในช่วงเวลาสำคัญแล้วคว้าเอาถุงผ้าที่อยู่ในกระแสน้ำไว้ แต่การจะทำเช่นนั้นได้จะต้องอยู่ในเงื่อนไขข้อหนึ่งก่อน นั่นคือต้องอยู่ไม่ห่างจากนางนัก เวลานั้นมียอดฝีมืออยู่ตั้งหลายคน ไม่มีทางที่จะไม่มีใครไม่รู้ตัวเลย ดังนั้นมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ เซวียหรงหรง

ชั่วขณะที่ได้รู้ว่าเจ้าตัวปลอมมาปรากฏตัวที่ปราสาทเฮ่อหลันพร้อมกับของดูต่างหน้าของนางนั้น ทุกคนก็เอะใจในความบังเอิญนี้ได้แล้ว มีเพียงเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเท่านั้นที่คิดไปไม่ถึง หรือบางทีเขาอาจจะไม่อยากคิดถึงเลยก็ได้ ใจของเขาคิดว่าเซวียหรงหรงเป็นแม่นางในดวงใจของตนไปแล้ว ดังนั้นต่อให้พวกเขามีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วนที่จะบอก “ความจริง” กับเยี่ยนเฟย เจวี๋ย แต่ทุกคนก็พูดไม่ออก

เฉียวเวยผ่อนหนักให้เป็นเบา “ไม่ใช่เพราะกลัวเจ้าเสียใจหรอกหรือ เจ้าชอบนางเพียงนั้น หากรู้ว่านางหลอกใช้เจ้า ทรยศหักหลังเจ้า เจ้าจะรับไหวหรือ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำเสียงหึ “เจ้ากลัวว่าข้าจะเสียใจ หรือกลัวว่าข้าจะใจอ่อนไม่ยอมทำอะไรนางกันแน่”

น้ำในกาเดือดแล้ว จีหมิงซิวยกกามารินชาให้เฉียวเวยถ้วยหนึ่ง

เฉียวเวยเอ่ยงึมงำว่า “เจ้าก็ไม่ได้โง่นี่”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพลันสะอึก “เจ้าเด็กนี่!”

จีอู๋ซวงถึงกับปวดหัว “เอาล่ะๆ พวกเจ้าไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว มาคิดหาวิธีดีกว่า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางช่วยนางแน่”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถลึงตาโต “เหตุใดเจ้าถึงจะไม่ช่วย”

“ข้าไม่อยากช่วย” จีอู๋ซวงไม่ใช่คนใจกว้างอะไรอยู่แล้ว กับเฉียวเวยยังมีแต่ความคับข้องเต็มไปหมด นับประสาอะไรกับคนที่ทรยศทุกคนอย่างเซวียหรงหรง

“เจ้า…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโกรธจนแทบหงายหลัง หันไปมองเฉียวเวยอีกครั้ง

เฉียวเวยผายมือออก “ข้าก็ไม่อยากช่วย นางปลอมตัวเป็นข้า แสดงตัวให้ท่านตาข้ารับเป็นหลาน ถ้านางตาย ข้าย่อมยินดีกว่าใครทั้งหมด”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันหน้าไปมองจีหมิงซิวต่อ

จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยว่า “อย่ามองข้า ข้ากลัวเมีย”

“แค่กๆ!” เฉียวเวยไม่ทันตั้งตัวเลยสำลักเสียยกใหญ่

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่ได้อย่างใจว่า “พวกเจ้าคิดว่าที่ข้าพานางกลับมาเพราะนึกชอบนางเป็นการส่วนตัวงั้นหรือ ก่อนหน้าเป็นลมสลบไปนางบอกข้าว่า นางถูกคนบังคับให้ทำเช่นนี้ เบื้องหลังนางมีคนชักใยที่ร้ายกาจมากอยู่คนหนึ่ง หรือพวกเจ้าไม่อยากรู้ว่าคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังผู้นั้นเป็นใคร นางยังบอกข้าอีกว่าอย่าได้เชื่อใจใครง่ายๆ โดยเฉพาะคนตระกูลไซน่า เรื่องสำคัญเช่นนี้ ข้าถึงได้พานางกลับมา ที่นางพูดเป็นความจริงหรือความเท็จ อีกเดี๋ยวนางฟื้นแล้วพวกเจ้าเข้าไปถามนางเองได้เลย นางจะได้อยู่หรือไปข้าจะไม่ก้าวก่าย จะเป็นหรือตายก็แล้วแต่พวกเจ้าเช่นกัน หากพวกเจ้าคิดว่าข้าทำผิดที่พานางกลับมา ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บนางไว้ ข้าจะโยนนางออกไปเดี๋ยวนี้”

พูดจบเขาก็หมุนตัวจะเดินไปจริงๆ จีหมิงซิวเลยเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “กลับมา”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำเสียงหึๆ

เฉียวเวยดื่มชาร้อนๆ ลงคออึกหนึ่ง ชาที่สามีต้มช่างไม่ธรรมดาเสียเลย หวานรื่นชุ่มคอ หอมอบอวลอยู่ในจมูก ชาดี ชาดี!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “ให้ข้าไปเรียกนายท่านเฉียว?”

เฉียวเวยปรายตามองเขา “ดึกดื่นค่อนคืนจะรบกวนพ่อข้าไปไย เอาเถอะ ข้าไปก็แล้วกัน”

จีหมิงซิวคว้ามือนางไว้แล้วหันไปส่งสายตาให้จีอู๋ซวง จีอู๋ซวงเลยเดินไปอย่างไม่สบอารมณ์

สภาพของสตรีนางนั้นหนักหนายิ่งนัก ทั่วทั้งตัวไม่มีส่วนใดที่ครบสมบูรณ์เลย ไม่รู้ว่านางไปทำให้ใครไม่พอใจเข้า ถึงขั้นถูกอัดเสียจนน่วมเช่นนี้ จีอู๋ซวงเสียพลังไปมาก เขาแอบเด็ดใบของต้นหลงเสวี่ยที่เฉียวเจิงให้พวกเขาย้ายกลับมาจากหุบเหวร้อยผีมาหลายสิบใบ ถึงได้ทำให้เลือดของนางหยุดไหลได้ ไม่รู้ว่าถ้าเฉียวเจิงตื่นมาแล้วเห็นว่าต้นหลงเสวี่ยที่รักของตนถูกเด็ดใบไปจนแทบโกร๋น ก็ไม่รู้ว่าจะโกรธเกรี้ยวขึ้นมาหรือไม่

จีอู๋ซวงแค่คิดใจก็เต้นระส่ำไปหมดแล้ว

หลังจากจัดการบาดแผลเสร็จแล้ว จีอู๋ซวงก็ไปลักเอาเห็ดหลิงจือซู่เฉอจากตะกร้าสมุนไพรของเฉียวเวยมาอีกดอกหนึ่งเพื่อต้มยาให้สตรีนางนั้นดื่ม เห็ดหลิงจือซู่เฉอนอกจากช่วยบำรุงร่างกายแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยระงับความเจ็บปวดได้อีกด้วย หลังจากดื่มลงไปไม่เท่าไร สตรีนางนั้นก็ค่อยๆ ได้สติ

จีอู๋ซวงพอปฏิบัติภารกิจสำเร็จก็ไม่รั้งอยู่ต่ออีกแม้สักนิด หมุนตัวเดินออกไปทันที

จีหมิงซิวสะกิดปลุกเฉียวเวยที่นั่งอยู่พักหนึ่งก็หลับนิ่งสนิทไปในอ้อมอกเขา เฉียวเวยสะลึมสะลือเอ่ยว่า “มีอะไรหรือ”

จีหมิงซิวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำลายตรงมุมปากให้ภรรยา “นางตื่นแล้ว เจ้าจะไปถามเองหรือให้ข้าไปถาม”

เฉียวเวยบิดขี้เกียจ “ไปด้วยกันก็แล้วกัน!”

ทั้งสองเดินไปที่ห้องเยี่ยนเฟยเจวี๋ยด้วยกัน

สตรีนางนั้นรู้ว่าตนต้องถูกซักถามแน่ จึงพยายามพยุงร่างที่อ่อนล้าขึ้นนั่งพิงกับหมอนนุ่มๆ ตรงหัวเตียง สีหน้านางขาวซีดราวกับกระดาษ เฉียวเวยเคยสงสัยว่าอีกฝ่ายใช้แผนสำออยแกล้งบาดเจ็บ แต่ดูจากสภาพนางในตอนนี้ขาดแค่ลมหายใจเดียวก็จะได้ไปอยู่กับพญายมโลกแล้วนั้น จึงเลิกสงสัยในเรื่องนั้นไป

เฉียวเวยนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหัวเตียง “ไม่ต้องบอกข้าว่าเจ้าไปได้แผลมาจากไหน ขอเพียงไม่ส่งผลต่อแผนการหลังจากนี้ของข้า ข้าก็ไม่นึกสนใจ”

สตรีนางนั้นยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ถูกเหน็บเข้าให้เสียแล้ว ไอพิษจึงแล่นเข้ามาจุกที่อก จนเกือบจะจากไปทั้งอย่างนั้น

จีหมิงซิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ห่างไปไม่ไกล จิบชาของตนไปเรื่อยๆ คล้ายไม่ได้ยินที่ทั้งสองคุยกัน

สตรีนางนั้นกวาดตามองมาทางเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาอยู่ในอาภรณ์สีขาว ไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี ดูคล้ายต้นไผ่สีเขียวในโพรงถ้ำท่ามกลางแสงจันทร์ และก็คล้ายดอกบัวหิมะที่อยู่บนยอดเขาเทวา เขาไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ก็คล้ายทำให้ห้องทั้งห้องดูกระจ่างใสขึ้นมาได้ทันที

เขายกชาขึ้นจิบ นิ้วเรียวดั่งหยก สง่างามประหนึ่งภาพวาด

“ถ้ายังมองบุรุษของข้าอีก ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมา!”

เฉียวเวยขู่เสียงต่ำ สตรีนางนั้นหลุดจากภวังค์ ถลึงตาใส่เฉียวเวยแก้เก้อ

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ยังมีแรงมาถลึงตาใส่ข้าอีก ดูท่าคงถูกตีมาไม่พอสินะ”

สตรีนางนั้นกำผ้าห่มในมือแน่น

เฉียวเวยมองหน้านาง เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เอาล่ะ ข้าเห็นสีหน้าเจ้าย่ำแย่เพียงนี้ คงจะฝืนต่อไปได้อีกไม่นาน จะไม่เถียงอะไรกับเจ้าให้มาก รีบบอกมา เจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ อย่าได้เอาลูกไม้ที่ใช้หลอกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมาหลอกข้าเชียว ข้าไม่ใจอ่อนเพียงนั้น”

สตรีนางนั้นอ่อนเพลียอย่างหนัก ทนต่อไปได้ไม่นานนักจริงๆ ถึงแม้จะอยากต่อปากต่อคำกับเฉียวเวยสักหน่อย แต่สุดท้ายก็กลั้นใจเอาไว้ พูดเสียงเย็นว่า “ข้าอยากมีชีวิตต่อไป ง่ายๆ แค่นั้น”

เฉียวเวยกอดอก มองอีกฝ่ายด้วยความขบขัน “ฟังเจ้าพูดเข้า นี่เจ้ากำลังจะถูกจำกัดหลังใช้งานเสร็จหรือ”

สตรีนางนั้นคิดไม่ถึงว่าเฉียวเวยจะเดาประเด็นสำคัญได้ง่ายดายเพียงนี้ นางปรายตามองเฉียวเวยเรียบๆ “คุณค่าในการมีอยู่อย่างเดียวของข้าก็เพื่อแทนที่เจ้าและกลายเป็นจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าถ่าน่า เวลานี้แผนการนี้ไม่มีวันสำเร็จแล้ว ไม่ต้องให้พวกเจ้าลงมือ เขาก็ไม่มีทางปล่อยข้าไป และในเมื่อข้าหมดประโยชน์แล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางเก็บข้าไว้ให้เกิดความเสี่ยงว่าจะถูกเปิดโปง นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่ ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ฟังดูก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพียงแต่ เจ้ามีค่าอะไรถึงจะให้ข้าไว้ชีวิตเจ้า”

สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “ข้าไม่มีค่ากับพวกเขาแล้ว แต่ยังมีกับเจ้า ไม่ใช่หรือ”

“อย่างนั้นหรือ” เฉียวเวยย้อนถาม

สตรีนางนั้นเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “เจ้าคงไม่คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนที่ข้าวางไว้หรอกใช่หรือไม่”

“เบื้องหลังเจ้ามีคนชักใยอยู่ ข้ารู้” เฉียวเวยยิ้ม “นี่เจ้าคิดจะหักหลังนายท่านของเจ้าหรือ”

สตรีนางนั้นหลุบตาลง “ข้าบอกแล้ว ข้าเพียงอยากมีชีวิตต่อไป”

เฉียวเวยมองนางด้วยสายตาประหลาด “เจ้าคิดว่าที่เจ้าเดี๋ยวทรยศข้า เดี๋ยวหักหลังนายท่านเจ้า คนเลวที่ไว้ใจไม่ได้เช่นเจ้า มีสิทธิ์อะไรมาคิดว่าข้าจะต้องเชื่อเจ้า”

สตรีนางนั้นตอบเสียงเย็น “คนที่เจ้าเชื่อไม่ใช่ข้า แต่เป็นตัวเจ้าเอง”

เฉียวเวยจับศีรษะ “ช่างเยินยอเสียเหลือเกินนะ”

สตรีนางนั้นเบือนหน้าหนี ในใจเต็มไปด้วยไฟโทสะ

เฉียวเวยเอ่ยสบายๆ ว่า “ว่ามาเถิด คนผู้นั้นเป็นใคร”

สตรีนางนั้นขมวดคิ้ว “เวลานี้ข้ายังไม่อาจมั่นใจในตัวตนของเขา ทว่าข้ารู้วิธีที่จะติดต่อกับเขา และข้าก็รู้ว่าเขากำลังวางแผนการลับเรื่องอะไรอยู่”

เฉียวเวยลูบคาง “ฟังดูแล้ว นายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังคนนั้นจะไม่ใช่ตระกูลปี้หลัว?”

สตรีนางนั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เรื่องนี้…ข้าไม่อาจมั่นใจได้จริงๆ เขาผู้นี้ระวังตัวแจ ทุกครั้งที่ไปพบเขา เขาจะหลบอยู่ด้านหลังฉากกั้น น้ำเสียงยามพูดจาก็ตั้งใจหนีบให้ฟังไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี แม้แต่ฮาจั่วยังไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา บางทีเขาอาจจะเป็นบิดาของฮาจั่ว หรืออาจเป็นคนอื่นไปเลยก็ได้”

“ว่าต่อไป”

“เรื่องของฮาจั่ว ยังอยากฟังหรือไม่”

เฉียวเวยเอ่ยว่า “เจ้าเล่าข้าก็ฟัง”

เช่นนี้ก็เท่ากับอยากฟัง

สตรีนางนั้นเล่าว่า “ฮาจั่วไม่เหมือนกับข้า ที่ข้าทำงานให้เขาเป็นเพราะถูกเขาบีบบังคับ แต่ฮาจั่วกลับทำไปเพราะความทะเยอทะยานส่วนตัว”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เขาอยากเป็นผู้สืบทอดตระกูลปี้หลัว?”

สตรีนางนั้นพยักหน้า “ถูกต้อง เขาเป็นผู้กล้าที่ล้ำเลิศที่สุดของตระกูลปี้หลัว ดีเลิศกว่าพี่ชายสายหลักของเขาเป็นร้อยเท่า เขาไม่ยินดีเป็นเพียงผู้คอยรับใช้ของตระกูล เขาอยากเป็นประมุขตระกูลปี้หลัว ในชนเผ่าถ่าน่า แทบไม่เคยมีบุตรนอกสมรสที่ได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลมาก่อน แต่หากเขาได้รับการสนับสนุนจากเหอจั๋ว ก็นับว่าเขาสำเร็จไปครึ่งทางแล้ว”

เฉียวเวยเอ่ยด้วยความงุนงง “เหอจั๋วจะสนับสนุนเขาได้อย่างไร ต่อให้เจ้าพูดจนปากแตกก็คงไม่มีประโยชน์กระมัง”

สตรีนางนั้นบอกว่า “เหอจั๋วย่อมไม่สนับสนุนเขา แต่หากข้าได้กลายเป็นเหอจั๋วรุ่นต่อไปเล่า”

เฉียวเวยลูบคาง “เจ้า? ต่อให้ไม่มีท่านตาข้า ก็ยังมีท่านแม่ข้า จะเลยไปถึงเจ้าได้อย่างไร”

“นี่ก็คือเรื่องที่ข้าอยากจะบอกเจ้า เรื่องแผนการของเขา” สตรีนางนั้นนิ่งไป มองหน้าเฉียวเวยด้วยเความหนักใจ “เขาคิดจะระเบิดสถานที่ที่แม่เจ้าเก็บตัวอยู่ ให้ท่านแม่เจ้าถูกฝังกลบอยู่ในนั้น ไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีก”

“เขากล้า?!” เฉียวเวยเอามือตบโต๊ะ โต๊ะพลันกลายเป็นเศษไม้

สตรีนางนั้นตัวสั่นเทิ้ม

จีหมิงซิวหันมองเฉียวเวย สายตาหยุดมองมือที่ไม่สะทกสะท้านสักนิด จากนั้นก็หันไปมองสตรีนางนั้นทีหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร หลุบสายตาจิบชาของตนต่อไป

เฉียวเวยหรี่ตาลงอย่างอันตราย “คิดจะสังหารแม่ข้า?” นางพูดพลางมองหน้าสตรีนางนั้น “เซวียหรงหรง หากเจ้ากล้าโกหกแม้เพียงครึ่งคำ ข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ เดี๋ยวนี้!”

สตรีนางนั้นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้โกหก ข้ายังไม่ฟั่นเฟือนถึงขั้นหักเส้นทางรอดสุดท้ายของข้าทิ้ง”

“เป็นเช่นนั้นได้ก็จะดี” เฉียวเวยเอ่ยเตือน

สตรีนางนั้นถอนหายใจด้วยความจนใจระคนขุ่นเคือง “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปนัก นั่นเป็นแผนก่อนหน้านี้ อันดับแรกคือต้องให้ข้าแทนที่เจ้าและกลายเป็นจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าถ่าน่าให้สำเร็จเสียก่อน หากทำสำเร็จ เพื่อป้องกันไม่ให้แม่เจ้าออกมาแล้วรู้ว่าข้าไม่ใช่ ทางที่ดีที่สุดก็คือต้องระเบิดสถานที่ที่แม่เจ้าอยู่เสีย แต่ตอนนี้ข้าแพ้ให้เจ้าแล้ว ท่านแม่เจ้าจะออกมาหรือไม่ก็ไม่ส่งผลใดต่อสถานการณ์ในภาพใหญ่ ดังนั้นข้าเดาว่า ท่านแม่เจ้ายังจะปลอดภัยอยู่ก่อนชั่วคราว”

ไอพวกเศษเดน ถึงขั้นกล้าคิดทำอะไรท่านแม่นางเชียวหรือ อย่าได้ตกมาอยู่ในมือนางเชียว!

เฉียวเวยพูดต่อว่า “ไอสารเลวนั่นให้เจ้าทำอะไร”

สตรีนางนั้นเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร ก็แค่ให้ข้ารีบเกลี้ยกล่อมเหอจั๋วให้ยอมรับฐานะของข้า แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนเหอจั๋วจะจับสังเกตอะไรได้ ต่อหน้าเขาปฏิบัติกับข้าด้วยดี แต่กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องเอาข้าขึ้นบัญชีตระกูลสักที ข้าทนไม่ไหวเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน แต่ผลที่ได้กลับเป็นการประลองในครั้งนี้”

ลูกตาเฉียวเวยสั่นไหวเล็กน้อย “ความหมายของเจ้าคือ… ท่านตาข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้าคือตัวปลอม?”

สตรีนางนั้นถอนใจ “เรื่องนี้ข้าแค่สงสัยของข้าเองเท่านั้น ข้าไม่มีหลักฐานอะไร”

“ไอสารเลวนั่นรู้หรือไม่” เฉียวเวยถาม

สตรีนางนั้นส่ายหน้า “ข้ากลัวว่าเขาจะคิดว่าข้าไม่ได้รับความเชื่อใจจากเหอจั๋ว แล้วจะเปลี่ยนหมากตานี้อย่างข้าออก ดังนั้นข้าเลยไม่กล้าบอกความสงสัยในใจข้ากับเขา”

เฉียวเวยถอนหายใจ “ดูท่าเจ้าจะไม่ได้จงรักภักดีกับเขามากมาตั้งแต่แรก”

สตรีนางนั้นทำหน้าจริงจัง “ข้าบอกแล้วว่าข้าโดนบังคับ”

เฉียวเวยไม่สนใจ “ตอนแรกข้าไม่ได้บีบบังคับเจ้า ซ้ำยังช่วยเหลือเจ้า แต่เจ้าก็ไม่จงรักภักดีกับข้าเช่นกัน”

สตรีนางนั้นขมวดคิ้ว “นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการบีบบังคับ”

เฉียวเวยผายมือออก “ยอมรับมาเถิด ว่าเจ้าเพียงแค่เห็นแก่ตัวเท่านั้น”

สตรีนางนั้นสะอึกไป “ข้าเพียงแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เช่นนี้ก็เรียกเห็นแก่ตัวหรือ หรือว่าเจ้าสามารถเห็นแก่ผู้อื่นถึงขั้นสละชีพตัวเองเพื่อคนผู้นั้นได้”

เฉียวเวยลูบคาง “ก็ต้องดูว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”

สตรีนางนั้นดูตกใจ เผยอปากคล้ายอยากถามอะไรบางอย่างต่อ จีหมิงซิวที่นิ่งเงียบอยู่นานเอ่ยปากขึ้นเรียบๆ ว่า “เจ้าให้พวกเราคอยระวังคนตระกูลไซน่า นั่นเพราะเรื่องอะไรหรือ”

จีหมิงซิวไม่เพียงที่ท่วงท่าที่โดดเด่น น้ำเสียงก็น่าฟังเอามากๆ อีกด้วย โดยเฉพาะในยามค่ำคืนที่ดึกสะงัดไร้ผู้คน น้ำเสียงของเขาทำคนตั้งครรภ์ได้เลยทีเดียว

สตรีนางนั้นกระแอบเบาๆ ก้มหน้าเอ่ยว่า “ไซน่าฮูหยินเคยบอกพวกเจ้าหรือไม่ว่าน้องสาวนางเป็นฮูหยินรองของเหอจั๋ว”

เฉียวเวยรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับคำว่าฮูหยินรอง นางเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ฮูหยินรองที่เจ้าว่าใช่เยียนฮูหยินที่ข้าพบในโถงหารือเมื่อครั้งแรกที่เข้ามาในปราสาทเฮ่อหลันหรือไม่”

สตรีนางนั้นตอบว่า “ถูกต้อง นางนั่นแหละ ท่านยายของเจ้าล้มป่วยและเสียชีวิตไปหลังจากท่านแม่เจ้าถึงวัยแต่งงานได้ไม่นาน หลังจานั้นเหอจั๋วก็ไม่ได้แต่งภรรยาอีก จนกระทั่งท่านแม่เจ้าหนีออกจากชนเผ่าไปนานหลายปี คนในชนเผ่าคิดว่าท่านแม่เจ้าตายไปแล้ว ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสจึงตัดสินใจให้เหอจั๋วรับฮูหยินคนใหม่ ฮูหยินคนใหม่ผู้นี้ก็คือน้องสาวของไซน่าฮูหยิน หากพวกเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ น่ากลัวว่าคงต้องลองใคร่ครวญถึงความตั้งใจของไซน่าฮูหยินแล้ว”

ความสัมพันธ์ระหว่างเยียนฮูหยินกับไซน่าฮูหยินแค่ถามท่านตานางดูก็คงรู้โดยละเอียดแล้ว เซวียหรงหรงไม่น่าโกหกเรื่องนี้

ไซน่าฮูหยินรู้ทั้งรู้ว่านางคือหลานของเหอจั๋ว แต่กลับปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเยียนฮูหยิน ก็ดูน่าแปลกอยู่เล็กน้อยจริงๆ แต่แค่เพราะเหตุนี้ก็บอกว่าตระกูลไซน่ามีความตั้งใจอื่น ก็ดูจะ…ไม่พอจะจูงใจอยู่สักหน่อย

ความสัมพันธ์ระหว่างเยียนฮูหยินกับไซน่าฮูหยินเป็นเช่นไรเวลานี้ยังไม่รู้ บางทีตระกูลไซน่าอาจเพียงไม่อยากเอ่ยถึงนางก็เป็นไปได้

หรือบางที แค่เพราะเซวียหรงหรงคิดจะหาเหตุให้ระแวงกันเอง?

พอคิดเช่นนี้ เฉียวเวยจึงสงบลง นางหันไปเอ่ยกับสตรีนางนั้นว่า “เจ้าให้พวกเราระวังตระกูลไซน่า คงไม่ใช่เพราะพวกเขาปิดบังความสัมพันธ์กับเยียนฮูหยินหรอกกระมัง”