บทที่ 1037 ความทะเยอทะยานของเต้าจื้อจุน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 1037 ความทะเยอทะยานของเต้าจื้อจุน

การผงาดขึ้นมาของวังจักรพรรดิมหาโชคไม่เพียงแต่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มมิ่งเท่านั้น ยังสร้างความฮือฮาแปลกใจให้ฟ้าบุพกาลด้วย ชื่อเสียงเลื่องลือไปถึงโลกผลาญนภา

หลายล้านปีผ่านไป ฟ้าบุพกาลและผลาญนภาผสานรวมกันในขั้นเบื้องต้นแล้ว ดวงชะตาของสองโลกกำลังหลอมรวมกัน ดวงชะตาหลักคือดวงชะตาฟ้าบุพกาล

วังสวรรค์ ณ พระราชวังเทียมเมฆา

เหล่าเทพเซียนมารวมตัวกัน กำลังพูดคุยถึงวังจักรพรรดิมหาโชค

“จักรพรรดิคนนั้นที่ทำให้แม่ทัพเทพหานเหยาทรยศวังสวรรค์ไปให้การสนับสนุนได้เป็นคนเช่นใดกันแน่”

“ชื่อเสียงของวังจักรพรรดิมหาโชคเลื่องลื่อ หานเหยาและหานเย่ทั้งยังมีหานป้าเสินคนนั้นอีก ล้วนเป็นคนแซ่หานทั้งสิ้น หรือแท้จริงแล้วจักรพรรดิก็คืออริยะสวรรค์เกรียงไกร”

“น่าจะมิใช่ อริยะสวรรค์เกรียงไกรหลุดพ้นจากฟ้าบุพกาลแล้ว จะวางแผนทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร บุตรชายทั้งสองของเขาก็ล้วนเป็นเทวทัณฑ์”

“หรือว่านี่คือกลุ่มอำนาจที่เกิดจากการรวมตัวกันของเหล่าเชื้อสายอริยะสวรรค์เกรียงไกร ต้องการเข้าปกครองฟ้าบุพกาล ถึงอย่างไรก็มีที่พึ่งยิ่งใหญ่ปานนั้นย่อมมีใจทะเยอทะยานลำพอง”

….

แม่ทัพเทพทมิฬมองไปที่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย พบว่าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยิ้มน้อยๆ อย่างมีลับลมคมนัย

“เอาล่ะ”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายค่อยๆ เอ่ยขึ้นมา ทำให้เหล่าเทพเซียนทั่วห้องโถงเงียบเสียงลง

ด้วยการกรุยทางของเหล่าบุตรแห่งสวรรค์ชั้นเลิศอย่างหานฮวง ชิงเทียนเสวียนจี จ้าวซวงเฉวียนและหานเหยาทำให้ยามนี้รากฐานของวังสวรรค์มั่นคงนัก มีบุตรแห่งสวรรค์เข้าร่วมด้วยมากมาย ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งที่ทรงประสบการณ์มากมายเข้ามาประจำการอยู่ ครอบครองอาณาเขตฟ้าบุพกาลถึงสามแห่ง นับเป็นกลุ่มอิทธิพลชั้นแนวหน้า

ส่วนจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเองก็พิสูจน์อริยะมหามรรคแล้ว

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องวังจักรพรรดิมหาโชค เราและอริยะสวรรค์เป็นสหายใกล้ชิด ส่วนหานเหยาเดิมทีก็เป็นเราไปขอตัวมาจากอริยะสวรรค์ เขาสร้างคุณูปการต่อวังสวรรค์ ยามนี้ดิ้นรนต่อสู้เพื่อตนเองก็มิใช่เรื่องผิด พวกเจ้าไม่อาจกล่าวโทษเขาได้ วันหน้าหากบังเอิญพบกันในฟ้าบุพกาลก็ยังต้องให้เกียรติในฐานะแม่ทัพเทพ”

เหล่าเทพเซียนฟังแล้วก็ได้แต่รับคำสั่ง

เซียนชราคนหนึ่งก้าวออกมา ประสานมือคำนับพลางเอ่ยไปว่า “ฝ่าบาท ทหารสวรรค์ที่วังสวรรค์ส่งไปยังโลกผลาญนภาล้วนขาดการติดต่อไป เกรงว่าจะเผชิญเหตุไม่คาดฝันเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ส่งเหล่าแม่ทัพเทพเบญจกาญจน์นำทัพทหารอริยะแปดพันนายมุ่งหน้าไปค้นหาตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วตั้งสาขาย่อยของวังสวรรค์ขึ้น สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายขึ้นเป็นอันดับแรก”

พอสิ้นเสียงเขา แม่ทัพในชุดเกราะทองงามสง่าห้าคนก้าวออกมา รับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงจากนั้นก็หันหลังไปเรียกรวมตัวเหล่าทหารอริยะ

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเริ่มสั่งการเรื่องอื่นๆ ต่อ ทำให้ทั่วทั้งวังสวรรค์เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมา

….

ณ โลกผลาญนภา

ในห้วงอวกาศของที่นี่ดูไม่ได้มีการแบ่งเขตมากมายเท่าฟ้าบุพกาล เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้และเหล่าตานโดยสารเจดีย์โบราณเดินทางมุ่งหน้าไป

จ้าวเซวียนหยวนถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ไม่รู้ว่าไอ้หนูหานเย่คนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ช่วงหลายปีนี้ที่เขาไม่อยู่ข้าไม่ชินเลยจริงๆ”

เจียงอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ให้กำเนิดบุตรชายสักคนมาอยู่เป็นเพื่อนพวกเราเถอะ”

จ้าวเซวียนหยวนเหลือบมองเขาคราหนึ่ง เอ่ยไปว่า “ถึงข้าจะเจ้าสำราญทว่าไม่อยากมีบ่วงผูกคอ แล้วเจ้าล่ะ ไม่คิดจะกอบกู้เผ่าเทพอีกาทองขึ้นมาอีกครั้งหรือ”

“เฮอะ ข้าก็เหมือนเจ้านั่นแหละ”

“แม่นางที่พบครั้งก่อนนั้นดูอาลัยอาวรณ์เจ้ายิ่งนัก ไยถึงปฏิเสธเสียเล่า”

“ข้าอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ไยต้องทำให้นางเสียเวลาเล่า ข้าไม่สามารถพานางไปด้วยได้ อีกอย่างสิ่งที่นางชมชอบก็มิใช่ตัวข้าแต่เป็นความแข็งแกร่งของข้า”

“เช่นนั้นเจ้าก็แค่เสพสมให้กำเนิดทายาทกับนางก็ได้นี่ ไยต้องปฏิเสธนางไปตรงๆ ด้วย เช่นนั้นช่างเสียดายนัก”

“ข้าหาใช่เจ้าไม่”

ทั้งสองต่อปากต่อคำกัน เหล่าตานเคยชินเสียแล้ว

เต้าจื้อจุนกลับทอดสายตามองไปด้านหน้า เปิดปากเอ่ยว่า “พวกเจ้าว่าหากนำอำนาจชะตามหามรรคของฟ้าบุพกาล โลกอวิชชา โลกพ้นนิวรณ์และโลกผลาญนภาทั้งสี่แห่งมารวมกันจะเป็นอย่างไร”

เหล่าตานเอ่ยยิ้มๆ “เลิกคิดเถิด ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้หรือต่อให้ทำสำเร็จจริงๆ เจ้าไหนเลยจะมิใช่ผู้ไร้พ่ายในใต้หล้า แม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าแล้ว!”

เต้าจื้อจุนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากลองดู ได้ครอบครองพลังกฎเกณฑ์สูงสุดสุดของโลกพ้นนิวรณ์และโลกอวิชชาแล้ว เหลือเพียงโลกผลาญนภาเท่านั้น ไม่ทราบเช่นกันว่ายังมีโลกมหามรรคมากกว่านี้อีกหรือไม่”

เหล่าตานส่ายหน้ากล่าวไปว่า “ไม่ทราบแน่ชัด นับตั้งแต่โลกมหามรรคอวิชชาปรากฏขึ้น ผู้เฒ่าถึงตระหนักได้ว่าทุกสิ่งที่พวกเราได้รับรู้มายังคงน้อยนิดเกินไป ตื้นเขินเกินไป หากว่าทุกโลกมหามรรคคือตัวแทนของการปรากฏตัวขึ้นของเหล่าตัวตนเหนือชั้นก็ยากจะจินตนาการได้แล้วว่าปลายทางของวิถีบำเพ็ญคือสิ่งใดกันแน่”

เต้าจื้อจุนกล่าวด้วยความสะท้อนใจ “อาจารย์แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นแต่ก็ยังคงฝึกบำเพ็ญอยู่ คิดว่าจุดสูงสุดของเส้นทางบำเพ็ญก็คงยังอยู่ห่างไกลจากเขา สำหรับพวกเราเองก็คงเป็นเช่นเดียวกัน”

เหล่าตานพยักหน้ารับอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าจะต้องครอบครองพลังกฎเกณฑ์สูงสุดของโลกผลาญนภาให้ได้เฉกเช่นในอดีตที่ผ่านมา ตาเฒ่า เจ้าดูแลวางแผนการรบ จ้าวเซวียนหยวนกับเจียงอี้สกัดต้านศัตรูไว้ให้ข้า รอจนข้าทำสำเร็จจะถ่ายทอดต่อให้พวกเจ้า!”

เต้าจื้อจุนเอ่ยสั่งการไม่ยอมให้คัดค้าน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเขาเป็นผู้นำของกลุ่มนี้มาโดยตลอด แม้แต่เหล่าตานก็ยังต้องเชื่อฟังเขา

จ้าวเซวียนหยวนส่ายหน้าเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “หวังว่าผู้ทรงพลังของโลกผลาญนภาจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ไม่ได้ลิ้มรสการต่อสู้อันเร่าร้อนมานานมากแล้ว ข้ารู้สึกอ้างว้างกับการไร้พ่ายเสียแล้ว”

เจียงอี้ยกสองมือกอดอก เบะปากเอ่ยไปว่า “หน้าไม่อายเสียจริง”

แม้จะกล่าวไปเช่นนี้แต่ดวงตาเขาก็เจือแววคาดหวังอยู่เช่นกัน

พวกเขาหาคู่ต่อสู้ในฟ้าบุพกาลได้ยากเย็นยิ่งนัก!

อาจจะมีผู้ทรงพลังที่ตบะแก่กล้ากว่าพวกเขาอยู่ แต่หากพวกเขาร่วมมือกันแล้วก็ไม่มีใครต่อกรได้

….

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ในฟ้าบุพกาลเปลี่ยนแปลงไป มีคนรุ่นใหม่ๆ ผงาดขึ้นมาและมีผู้ทรงพลังอาวุโสดับสูญไป ยิ่งมีผู้นำกลุ่มอิทธิพลเข้ามาแทนที่กันด้วย เรียกได้ว่าคึกคักอย่างยิ่ง

สำหรับผู้ที่รักในการต่อสู้แล้ว นี่คือยุครุ่งโรจน์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ขอเพียงแข็งแกร่งมากพอก็สร้างชื่อเสียงเกรียงไกรสะท้านอดีตสะเทือนปัจจุบันได้

ส่วนหานเจวี๋ยก็ยังคงเป็นเช่นที่ผ่านมา เขาปิดด่านครบห้าล้านปีอีกครั้ง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น แสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา

หลังจากปล่อยโลกปฐมยุคออกสู่ดินแดนเวิ้งว้าง เขาก็ยังฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจได้ ความเร็วในการบำเพ็ญยังเทียบเท่ากับช่วงก่อนหน้านี้

นอกจากพัฒนาการของโลกปฐมยุคที่ทำให้ตบะเพิ่มพูนขึ้นแล้ว เขายังสามารถหลอมกลั่นพลังเวทของตนให้กลายเป็นพลังปฐมยุคได้ด้วย

นอกจากเขาแล้ว เมื่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บรรลุถึงระดับยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์ก็ไม่สามารถพึ่งพาการฝึกบำเพ็ญเพิ่มพูนตบะได้อีก แม้แต่ผู้สร้างมรรคาเองก็เป็นเช่นนี้ ทำได้เพียงพึ่งพาโลกมหามรรคเท่านั้น

ยิ่งรากฐานของโลกมหามรรคมั่นคงเท่าไร ผู้ครอบครองก็สามารถดูดซับพลังจากโลกมหามรรคมาเพิ่มพูนพลังได้ แน่นอนนี่มิใช่การดูดซับธรรมดาๆ แต่เป็นการพึ่งพาอาศัยกัน ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู

ในช่วงห้าล้านปีมานี้ หานหลิง หานเย่ หานเหยาและหานป้าเสินใช้ชีวิตโลดโผนอย่างยิ่ง หานหลิงก่อตั้งวังจักรพรรดิมหาโชคขึ้น ดวงชะตาโดดเด่น

ส่วนพวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่หลังจากเข้าสู่โลกผลาญนภาได้ก่อให้เกิดการโจมตีครั้งใหญ่ขึ้น สี่คนนี้ยังถูกผู้ทรงพลังลึกลับสะกดเอาไว้ด้วย ได้รับบาดเจ็บสาหัส

แต่หานเจวี๋ยวางใจในตัวพวกเขาสี่คนยิ่งนัก ไม่มีทางตายแน่นอน

ยิ่งตบะสูงเท่าไรก็ยิ่งรักถนอมชีวิต เหล่าศิษย์สืบทอดหากเผชิญศึกที่สู้ไม่ไหวจริงๆ จะต้องใช้วิชาอัญเชิญเทพแน่นอน

กว่าครึ่งในแวดวงสหายล้วนเข้าสู่โลกผลาญนภา ทำให้หานเจวี๋ยเกิดความคาดหวังในโลกผลาญนภาขึ้นมาเล็กน้อย

หลังหานเจวี๋ยตรวจจดหมายเสร็จก็ลุกขึ้นเดินออกจากอารามเต๋า ไปรำลึกความหลังกับเหล่าคู่บำเพ็ญ

พัวพันกันอยู่หลายร้อยปีเขาถึงกลับมายังอารามเต๋า

ขณะที่เขากำลังจะฝึกบำเพ็ญ จู่ๆ ก็สัมผัสถึงบางสิ่งได้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

มีคนกำลังใช้พลังปฐมยุคของเขาอยู่!

หานฮวง!

สุดยอดดาวโทสะ!

นับตั้งแต่สวรรค์ประทานโชคสุ่มโดนหานฮวง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหยิบยืมพลังของหานเจวี๋ยไปใช้เพราะถึงอย่างไรพลังของตัวเขาเองก็นับว่าอยู่ในจุดสุดยอดของฟ้าบุพกาลแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถบีบคั้นเขามาถึงขั้นนี้ได้

อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาหานฮวงก็อยู่ในโลกผลาญนภา

ในโลกผลาญนภามีผู้ทรงพลังระดับนี้ด้วยหรือ