ตอนที่ 254-1 แม่ลูกร่วมรบ ทารุณธิดาเทพ

หลังจากรักษาอยู่ครึ่งชั่วยาม อาการของเหอจั๋วก็ทรงตัว เขาดื่มยาที่เฉียวเจิงต้มด้วยมือตนเองแล้วสะลึมสะลือหลับไป

เฉียวเจิงเก็บล่วมยาเรียบร้อยก็กำชับนางกำนัลชิงเหยียน “อย่าให้ท่านผู้เฒ่าได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอีก”

“เจ้าค่ะ” นางกำนัลชิงเหยียนขานรับอย่างจริงจัง จากนั้นส่งเฉียวเจิงออกจากห้อง

เฉียวเจิงปรี่ไปยังห้องด้านข้างอย่างรวดเร็ว อาการป่วยของพ่อตาทรงตัวแล้ว ในที่สุดได้อยู่กับชิงหลวนของเขาสองต่อสองเสียที!

แต่จนปัญญาที่เขาเปิดม่านก็เห็นเฉียวเวยที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของเฮ่อหลันชิงกับจีหมิงซิวที่ชงชาให้สองแม่ลูกอยู่

เด็กน้อยมาแย่งภรรยากับเขาก็ช่างเถิด แต่พวกที่โตแล้วสองคนนี้ทำไมก็เอากับเขาด้วยเล่า!

เฉียวเจิงเดินเข้าไปในห้องครัวอย่างอัดอั้นตันใจ

เฉียวเจิงทำอาหารมาเต็มโต๊ะใหญ่ ทุกอย่างล้วนเป็นของที่เฮ่อหลันชิงชอบกิน ลูกชิ้นหัวสิงโตราดน้ำแดง ไก่ผัดน้ำผึ้ง ไก่ตุ๋นเห็ด เนื้อวัวผัดต้นหอม ปูนึ่ง ลูกชิ้นกุ้งหมาล่าอะไรทำนองนั้น…สรุปก็คือเฮ่อหลันชิงชอบกินเนื้อ

ทั้งครอบครัวนั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่ เฮ่อหลันชิงไม่ได้กินอาหารอร่อยเช่นนี้มาเนิ่นนานนักแล้ว นางแทบจะกินไม่หยุด วั่งซูก็รู้สึกว่าอร่อยที่สุดเช่นกัน คนตัวโตกับตนตัวเล็กนั่งชิดกัน โต๊ะข้างหน้าพวกเขาสองคนมีกระดูกกองเป็นภูเขาพูนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

หาเพื่อนเล่นนั้นหาง่าย แต่หาเพื่อนกินนั่นยากเหลือเกิน นอกจากตัวน้อยทั้งสามของจวนยิ่นอ๋อง วั่งซูก็ยังไม่เคยพบคนผู้ใดที่ทานอาหารด้วยกันกับตนเองได้มาก่อน สาเหตุสำคัญก็เพราะผู้อื่นกินเสร็จหมดแล้ว เหลือนางยังสู้รบอยู่บนโต๊ะเพียงคนเดียวเสียทุกที

เฮ้อ การไร้คู่ต่อกรช่าง…ช่างเหงายิ่งนัก…

วั่งซูตัวน้อยกับเฮ่อหลันชิงแปะมือกัน พวกนางพอใจกับเพื่อนกินคนใหม่อย่างที่สุด!

ทานอาหารเสร็จแล้ว หญิงรับใช้ทั้งหลายก็เก็บกวาดโต๊ะจนสะอาด เฉียวเจิงจับมือเฮ่อหลันชิงพลางเอ่ยอย่างเขินอาย “ชิงหลวน พวกเรากลับ…”

ทันใดนั้นวั่งซูก็กระโดดเข้ามา “ท่านยายๆ! พวกเราไปเดินเล่นกัน! ท่านแม่บอกว่าทานอาหารเสร็จแล้วต้องเดินเล่นถึงจะดีกับร่างกาย”

“เอาสิ” เฮ่อหลันชิงอุ้มเจ้าตัวจ้อยเดินออกไปอย่างสบายใจยิ่งนัก

“…ห้องกันเถิด” เฉียวเจิงทิ้งตัวลงกับเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก

ปราสาทเฮ่อหลันตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ยอดเยี่ยม ไม่เพียงครอบครองผืนดินที่อุดมสมบูรณ์และงดงามที่สุดบนเกาะ แต่ยังครอบครองน้ำพุร้อนธรรมชาติอีกสองบ่อ ปกติเฮ่อหลันชิงไม่ชอบแช่น้ำพุพวกนี้ แต่ได้ยินว่าลูกสาวกับเจ้าซาลาเปาน้อยชอบก็พาคนไปทันที

เฉียวเจิงได้ยินว่ามีน้ำพุร้อนสองบ่อก็ดีใจเป็นที่สุด เขากับชิงหลวนคงจะแช่ด้วยกันบ่อหนึ่ง พวกลูกสาวแช่กันอีกบ่อหนึ่งแน่ๆ ไหนเลยจะคิดว่าตอนเขาเดินเข้ามาที่บ่อก็ต้องใจสลายเมื่อเห็นพ่อลูกที่เปลือยไหล่พิงขอบบ่ออยู่

เหตุใดเป็นพวกเจ้าเล่า…

จิ่งอวิ๋นได้แช่น้ำพุร้อนเป็นครั้งแรกก็รู้สึกแปลกใหม่ยิ่งนัก เขานั่งอยู่ข้างบิดาของตนอย่างเรียบร้อย อีกฝั่งของเขาคือต้าไป๋ แต่เดิมเสี่ยวไป๋ก็อยู่ด้วย แต่ไม่ทราบว่ามันวิ่งหายไปที่ใดแล้ว

ในบ่ออีกบ่อหนึ่ง เฮ่อหลันชิง เฉียวเวย วั่งซูตัวน้อยกับจูเอ๋อร์ใช้ผ้าเช็ดตัวโพกศีรษะพิงขอบบ่ออย่างสบายตัว น้ำในน้ำพุร้อนสูงไม่ถึงหัวไหล่ของคน (และลิง) ความรู้สึกอบอุ่นห้อมล้อมร่างของผู้คน (และลิง) ที่เหนื่อยล้าทำให้รู้สึกสบายยิ่งนัก

บางครั้งเฮ่อหลันชิงก็รู้จักดื่มด่ำกับชีวิตอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่นตอนแช่อยู่ในบ่ออย่างสุขอุราก็ยังไม่ลืมหาโต๊ะลอยน้ำตัวน้อยมาสองตัว บนโต๊ะวางสุราองุ่นภูเขากับผลไม้สดใหม่เอาไว้

จูเอ๋อร์ทัดดอกไม้สดบนศีรษะด้วยท่วงท่าอันงดงาม นี่สิถึงจะเป็นชีวิตของท่านหญิง

เสี่ยวไป๋ที่อยู่ในบ่อน้ำเลือดกำเดาทะลักประหนึ่งน้ำพุ โลหิตไหลบ่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมากก่อน ไหลเช่นนี้ไม่ใช่กระแสธารแล้ว แต่เป็นกระแสน้ำหลาก!

เลือดกำเดาของเสี่ยวไป๋ทะลักแล้วทะลักอีกจนตัวซีดลอยอยู่ในน้ำ…

เด็กน้อยที่เคยตัวเท่าก้อนข้าวเหนียวพริบตาเดียวก็โตถึงขนาดนี้แล้ว หลายปีที่ผ่านมามีชีวิตอยู่สุขสบายดีหรือไม่ ลำบากบ้างหรือเปล่า เฮ่อหลันชิงล้วนอยากรู้ เฉียวเวยก็อยากรู้เรื่องราวของเฮ่อหลันชิง สองแม่ลูกคุยกันไม่จบไม่สิ้น หลังขึ้นจากบ่อน้ำก็เอนกายลงบนแผ่นหินอุ่น เฮ่อหลันชิงนอนตะแคงมือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ มองลูกสาวอย่างรักใคร่ วั่งซูนอนแผ่กางแขนกางขาหลับไปกับจูเอ๋อร์ก่อนแล้ว เฉียวเวยเล่าไปๆ หนังตาก็เริ่มจะปิดแล้วเหมือนกัน

“…สรุปก็คือกิจการไข่เยี่ยวม้าขาย…ดีมาก…”

สองอีแปะต่อหนึ่งฟอง เถ้าแก่หรง…

“ทำมาค้าขาย เขาหาลู่ทางได้มากมายนัก…”

จริงสิ ข้ายังเปิดร้านขายอาหารริมทาง…ขายกุ้ง…

มีกุ้งรสกระเทียม กุ้งรสหมาล่า กุ้งตุ๋นน้ำมัน…

แม้แต่องค์ชายของเผ่าซยงหนีว์ยังชอบกินกุ้งของหรงจี้…

เฉียวเวยคิดว่าตนเองพูดออกเสียงไปทั้งหมด แต่ความจริงพูดต่อไปได้อีกเพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเฮ่อหลันชิงก็ยังฟังอย่างเพลิดเพลิน

นี่คือลูกสาวของนาง แก้วตาดวงใจของนาง แม้จะลำบากมากมากมาย แต่ก็ไม่ถูกความยากลำบากทำให้ล้มลง นางเข้มแข็งจนเดินทางมาอยู่ข้างกายนางได้

เฮ่อหลันชิงลูบใบหน้าน้อยที่ผอมเรียวของเฉียวเวยอย่างเอ็นดู รู้สึกว่ามองอย่างไรก็มองไม่พอ

จีหมิงซิวเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา เฮ่อหลันชิงผงกศีรษะให้นิดๆ “ฟ้ายังไม่สาง ท่านแม่ไปพักผ่อนเถิด ฝั่งนี้ข้าจะดูแลเอง”

เฮ่อหลันชิงพยักหน้า ลุกขึ้นออกจากห้องอุ่น

จีหมิงซิวอุ้มเฉียวเวยกับวั่งซูกลับไปที่ห้อง

เฮ่อหลันชิงเดินไปห้องอุ่นด้านข้าง เฉียวเจิงเองก็กำลังนอนแผ่หลับอยู่บนพื้นเช่นกัน

ไม่ได้พบกันสิบห้าปี ใบหน้าของเขามีร่องรอยของกาลเวลาประดับอยู่ แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหน้าตาสง่างามที่สวรรค์ประทานให้เขา เขายังหล่อเหลาจนน่าเหลือเชื่อเช่นเดิม

เฮ่อหลันชิงอุ้มคนขึ้นมาวางบนฟูก

เฉียวเจิงตื่นขึ้นมา

“อาเจิง เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่” เฮ่อหลันชิงกระซิบเสียงเบา

เฉียวเจิงผงกศีรษะประหนึ่งตำกระเทียม คิดถึง คิดถึง คิดถึง! แม้แต่ในฝันก็ยังคิดถึง! เส้นผมทุกเส้นล้วนคิดถึง!

“หลายปีมานี้ เจ้ามีผู้หญิงคนอื่นหรือไม่”

เฉียวเจิงส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง ไม่มีๆ! ไม่มีแน่นอน!

“เจ้าบอกว่าไม่มีก็คือไม่มีหรือ”

ไม่มีจริงๆ หากโกหกเจ้าขอให้อสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม!

เฮ่อหลันชิงจ้องเขานิ่งๆ “ลุกขึ้นมานั่ง ทำ…เองซิ”

เฉียวเจิงที่กำลังจะขยับ “…”

ไฉนประโยคนี้ฟังดูแล้วแปลกๆ!

ตำหนักธิดาเทพถูกเมฆดำทะมึนปกคลุม

ภายในห้องอันเคร่งขรึมและงดงามทางด้านหลังของตำหนัก ธิดาเทพกำลังนอนใบหน้าซีดเผือด สีหน้าทุกข์ทรมานอยู่บนเตียงวงกลมหลังใหญ่ที่แขวนม่านโปร่งล้อมรอบและซ่อนอยู่หลังฉากกันลม

หลิงจือหญิงรับใช้คนสนิทผู้สวมอาภรณ์สีฟ้ายกถ้วยยาที่ร้อนจนควันฉุยมาป้อนธิดาเทพทีละช้อน ยาขมมากเหลือเกินจริงๆ ธิดาเทพกลืนลงคออย่างยากลำบาก ทว่าดื่มไปได้เจ็ดแปดคำก็อาเจียนออกมา

หลิงจือตกใจ รีบให้หญิงรับใช้อายุน้อยเชิญสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมา

สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นผู้รับใช้ของตำหนักธิดาเทพเช่นเดียวกัน แต่พวกนางแตกต่างจากหญิงรับใช้ธรรมดา ตอนพวกนางเข้าตำหนักต้องผ่านการคัดเลือกและการทดสอบอย่างเข้มงวด พวกนางเป็นคนที่โดดเด่นในหมู่ผู้รับใช้ หลังจากพวกนางได้รับการสั่งสอนและทดสอบสารพัด คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็จะถูกแต่งตั้งเป็นธิดาเทพ ส่วนคนที่เหลือก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสของตำหนักธิดาเทพ หลังจากผู้อาวุโสทั้งหลายมีประสบการณ์มาประมาณหนึ่งก็จะคอยสั่งสอนธิดาเทพรุ่นต่อไป ส่วนธิดาเทพหลังลงจากตำแหน่งก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสรุ่นนี้

แน่นอนว่าพวกนางไม่เรียกขานตนเองว่าผู้อาวุโส แต่เรียกขานตนเองว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์

สตรีศักดิ์สิทธิ์หกนางเข้ามาในห้องของธิดาเทพ

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งอาวุโสที่สุด นางสั่งสอนธิดาเทพมาแล้วสองรุ่น กล่าวได้ว่ามีคุณงามความชอบมากมาย ฐานะสูงส่ง นางถามอย่างไม่ยอมผ่อนปรน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ธิดาเทพกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

หลิงจือเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่แท่นบวงสรวงจนจบ “…แท่นประกอบพิธีถล่มลงมา แต่เดิมธิดาเทพก็บาดเจ็บหนักอยู่แล้ว แต่จั๋วหม่าดื้อดึงไม่ยอม ใช้ชีวิตของพวกเรามาบีบบังคับธิดาเทพให้นางทำพิธีบวงสรวงให้เสร็จทั้งที่บาดเจ็บ ธิดาเทพระบำอธิษฐานจบ คนก็ไม่ไหวแล้ว แต่ยังต้องฝืนทำพิธีรับขวัญให้จั๋วหม่าน้อยอีก…ตอนพวกเราแบกธิดาเทพลงมา ธิดาเทพก็เหลือแต่ลมหายใจออก ไม่เหลือลมหายใจเข้าแล้ว…”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองเป็นน้องสาวร่วมอุทรของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง แม้จะเข้าตำหนักมาหลังพี่สาวหลายปี แต่คุณสมบัติก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ในความคิดของนาง ธิดาเทพเป็นตัวแทนที่องค์เทพเลือก มนุษย์เดินดินธรรมดาคนใดรวมถึงเหอจั๋วไม่สมควรทำตัวไม่เคารพต่อธิดาเทพ พอฟังหลิงจือเล่าจบ นางก็ทำหน้าถมึงทึงทันที “มีอย่างที่ไหน แท่นบวงสรวงเป็นสถานที่ติดต่อสื่อสารกับองค์เทพ นางกล้าก่อความวุ่นวายที่แท่นบวงสรวงได้เช่นไร!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามคุณสมบัติสู้ศิษย์พี่ทั้งสองไม่ได้ ยามปกตินางมักจะฟังคำสั่งศิษย์พี่ทั้งสองเสมอ นางเอ่ยขึ้นว่า “นางเพียงก่อความวุ่นวายเสียที่ไหน ไม่ได้ยินหลิงจือพูดหรือ นางตบประมุขตระกูลปี้หลัว! แท่นบวงสรวงแปดเปื้อนโลหิตแล้ว นี่เป็นการไม่เคารพองค์เทพอย่างยิ่ง!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ว่าอย่างดูแคลน “พิธีบวงสรวงเป็นงานของตำหนักธิดาเทพของพวกเรา นางสอดมือมายุ่งได้เช่นไร เรื่องนี้ตัวมันเองก็เป็นการขัดพระประสงค์ขององค์เทพ!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าว่าอย่างโมโห “นางไม่เห็นตำหนักธิดาเทพอยู่ในสายตาสักนิด!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสุดท้ายกล่าวต่ออย่างเย็นชา “นางเคยเห็นตำหนักธิดาเทพอยู่ในสายตาตั้งแต่เมื่อใดเล่า สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคงไม่ได้ลืมเรื่องที่นางจุดไฟเผาตำหนักหลังตอนนางอายุเจ็ดขวบเมื่อปีนั้นใช่หรือไม่ หากไม่ใช่ว่าข้าช่วยนางออกมา นางก็คงตายอยู่ในทะเลเพลิงแล้ว”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองแววตาเย็นยะเยือก “น่าเหลือเชื่อจริงๆ! หนก่อนเกือบเผาเจ้าตาย หนนี้ก็เกือบจะทำร้ายธิดาเทพอีนั่วจนตายอีก! คนไม่เคารพเทพเจ้าเช่นนาง ไม่คู่ควรเป็นจั๋วหม่าของเผ่าถ่าน่าสักนิด!”

น่าเสียดายตอนนี้ยังผลัดไม่ถึงตาตำหนักธิดาเทพเป็นผู้ตัดสินว่าจั๋วหม่าของเผ่าถ่าน่าจะเป็นผู้ใด เมื่อครั้งเผ่าถ่าน่ารุ่งเรืองที่สุด สมัยที่ตำแหน่งโหราจารย์ยังสืบสายอย่างแข็งแกร่งอยู่ ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งเหอจั๋วกับจั๋วหม่าในเผ่าเลย แม้แต่จักรพรรดิของทั้งอาณาจักรก็เป็นคนที่โหราจารย์เลือกมา นั่นถึงจะเป็นยุคสมัยที่เผ่าถ่าน่ายิ่งใหญ่ที่สุด

ตำหนักธิดาเทพในยามนี้แม้จะมีอำนาจท่วมฟ้า แต่สุดท้ายก็ยังสู้ตำหนักโหราจารย์ในอดีตไม่ได้

“เรื่องนี้จะปล่อยให้จบเช่นนี้หรือ” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามถาม

ทุกคนพากันหันไปมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง ยามธิดาเทพไม่อยู่ นางก็คือแกนหลักของที่แห่งนี้

ใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งปรากฏสีหน้าซับซ้อน “นับตั้งแต่ตำแหน่งโหราจารย์ขาดการสืบทอดไป ตำหนักธิดาเทพก็เข้ามารับผิดชอบหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับองค์เทพ หลายร้อยปีที่ผ่านมาพวกเราเป็นผู้ปกป้องสาวกบนเกาะ กล่าวได้ว่าหากไม่มีตำหนักธิดาเทพก็ไม่มีความรุ่งเรืองของเผ่าถ่าน่าในวันนี้ ความดีความชอบของตำหนักธิดาเทพเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ต่อให้เป็นเหอจั๋วก็ต้องเคารพพวกเราอยู่สามส่วน ก่อนหน้านี้เห็นแก่นางอายุน้อยไม่รู้ความจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาง ยามนี้นางมีหลานแล้ว แต่ยังจะส่งเสริมผู้อื่นให้ทำตัวชั่วช้าเช่นนี้ นางคิดว่าตำหนักธิดาเทพกลัวนางจริงๆ หรือ วันพรุ่งนี้พวกเราจะไปปราสาทเฮ่อหลัน กดดันให้เหอจั๋วมอบคำอธิบายมา!”

วันต่อมา สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็จัดขบวนใหญ่โตออกเดินทาง พวกนางนั่งรถม้าของตำหนักธิดาเทพ จัดขบวนยิ่งใหญ่อลังการ ด้านหน้ามีคนนำขบวนสามสิบจั้ง ด้านหลังมีคนปิดขบวนหนึ่งร้อยฉื่อ อาชาแต่ละตัวแปรงขนจนมันเงา แต่ละคนท่าทางองอาจห้าวหาญ เรียกได้ว่าสง่าผ่าเผยยิ่งนัก

ไหนเลยจะรู้ว่าพวกนางยังไม่ทันเดินทางพ้นตำหนักธิดาเทพก็ถูกแรงสะเทือนจากเสียงกีบเท้าม้าอันทรงพลังประหนึ่งน้ำป่าหลากทำให้รถม้าโอนเอน กีบเท้าสวมเกือกเหล็กนิลอันหนักอึ้งของทหารม้าเหล็กเหยียบย่ำพสุธาเสียงหนักแน่น ผืนธรณีราวกับจะถูกเหยียบย่ำจนแยกออก ม้าของตำหนักธิดาเทพตื่นตระหนก พวกมันกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว วิ่งกระเจิงไปคนละทิศทำให้รถม้าโคลงซ้ายโคลงขวา สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าผู้ไม่เป็นวรยุทธ์ตั้งหลักไม่ดีจึงร่วงออกมาจากตัวรถม้า ล้มกลิ้งบนพื้นดินที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย กระแทกพื้นจนฟันหลุดออกมาสองซี่ในชั่วพริบตา