บทที่ 1041 ตำนานเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
“มีคนที่น่าเวทนากว่าข้าจริงๆ หรือขอรับ”
ซั่นเอ้อร์ผงะไป ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หานเจวี๋ยเล่าประวัติของหานป้าเสินให้เขาฟัง ซั่นเอ้อร์ฟังแล้วตกอยู่ในความเงียบงัน
“ตั้งใจฝึกบำเพ็ญให้ดี ค้นหาเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเจ้าเสีย อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างลุ่มลึกมีนัย ซั่นเอ้อร์อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองเขา ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดซั่นเอ้อร์รู้สึกว่ารอยยิ้มของเขายิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน
เมื่อเทียบกับท่านปฐมบรรพชนเบื้องหน้าแล้ว เขาใจแคบเกินไปจริงๆ
ใจแคบจนไม่คู่ควรจะฝึกบำเพ็ญอยู่เบื้องหน้าเขา
ซั่นเอ้อร์ได้รู้จักตระกูลหานแล้ว ลูกหลานนับไม่ถ้วนสืบทอดกันมายาวนานหลายสิบล้านปี ในปวงสรวรรค์หมื่นโลกามีทั้งทายาทที่โดดเด่นกว่าเขาและมีทายาทที่ชีวิตน่าเวทนากว่าเขาอยู่แน่นอน
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้…
คนที่ท่านปฐมบรรพชนเลือกกลับเป็นตัวเขา ซั่นเอ้อร์!
เวลานี้ ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายได้เอ่อล้นอยู่ภายในใจของซั่นเอ้อร์ ความอาฆาตแค้นและไม่ยอมปล่อยวางในใจก็สลายตัวไป
เขาเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านปฐมบรรพชน ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังแน่นอน!”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าตระหนักถึงพลังของตนได้หรือไม่”
ซั่นเอ้อร์กล่าวว่า “ได้ขอรับ แต่คลุมเครือยิ่งนัก พลังนี้ดูเหมือนจะเป็นมรรคาแห่งกรรมที่ท่านเคยอธิบายไว้ ข้าสามารถตระหนักถึงฟ้าบุพกาลและสอดส่องสองภพหยินหยางได้ผ่านทางพลัง แต่ข้าไม่สามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ขอรับ ข้าคิดว่าประโยชน์คือแปลงสภาพให้กลายเป็นกำลังรบของข้า”
หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “ในฟ้าบุพกาลมีผู้ทรงพลังรายหนึ่งที่ลึกลับอย่างยิ่ง บางทีอาจจะเป็นตัวตนที่ลึกลับที่สุดในฟ้าบุพกาลและผลาญนภาด้วยซ้ำ เขามีสมญาว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ไม่มีผู้ใดเคยพบตัวจริงของเขา แต่มีผู้ทรงพลังมากมายเคยถูกเขาสาปแช่ง…”
เขาอธิบายถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการด้วยมุมมองของคนนอก ซั่นเอ้อร์ฟังแล้วให้รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง
อาศัยพลังคำสาปแช่งพิสูจน์มรรคสะท้านเทือนอดีตและปัจจุบันเช่นนั้นหรือ
นี่คือตัวตนเช่นไรกัน
“ข้าก็เคยถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งเช่นกัน ดังนั้นจึงมอบพลังแห่งกรรมให้เจ้า อยากให้เจ้ากลายเป็นตัวตนเช่นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ วันหน้าเมื่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งข้าอีก เจ้าจะได้ช่วยสาปแช่งเจ้าแดนต้องห้ามอันธการให้ข้า”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ซั่นเอ้อร์ฟังแล้วเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมา
ท่านปฐมบรรพชนมอบเป้าหมายในการฝึกบำเพ็ญให้เขา เขาย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา
หลังจากได้ทราบว่าเหตุใดท่านปฐมบรรพชนถึงเลือกตน เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกผิดหวังเท่านั้นกลับรู้สึกตื้นตันในตัวปฐมบรรพชนยิ่งขึ้น
ต้องต่อกรกับตัวตนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ทว่าท่านปฐมบรรพชนก็ยังเลือกเขา เช่นนี้ต้องให้ความสำคัญกับเขาระดับใดกันเล่า!
ซั่นเอ้อร์กำสองมือแน่น เอ่ยไปว่า “ข้าจะใช้พลังแห่งกรรมเพื่อปกป้องท่านปฐมบรรพชนแน่นอนขอรับ จะปกป้องทุกคนด้วย!”
ทุกคนที่เขาเอ่ยถึงครอบคลุมไปถึงเชื้อสายตระกูลหานและเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นด้วย หลายวันมานี้หานเจวี๋ยพาเขาไปพบปะคนอื่นๆ มา ทุกคนล้วนเป็นกันเองและให้การดูแลเขาดียิ่งนัก ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นใกล้ชิดที่ห่างหายไปเนิ่นนาน เขาทะนุถนอมความรู้สึกนี้เป็นอย่างมาก
หานเจวี๋ยยื่นมือไปลูบหัวเขา ทำให้เขารู้สึกขัดเขินนัก
ถึงแม้ซั่นเอ้อร์จะอายุเกือบห้าล้านปีแล้ว แต่จิตใจของเขายังคงหยุดอยู่ในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากหลายล้านปีที่ผ่านมาปิดด่านอยู่ตลอดจึงไม่เคยผ่านประสบการณ์ทางโลก
“เจ้าคือทายาทที่ข้าคาดหวังที่สุด ข้าเชื่อในตัวเจ้า” หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ซั่นเอ้อร์ได้ยินวาจานี้ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ตัวคนราวกับจะลุกไหม้ได้
จากนั้นหานเจวี๋ยก็ให้ซั่นเอ้อร์ฝึกบำเพ็ญต่อ
หลังจากซั่นเอ้อร์เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญก็สงบนิ่งอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยยิ้มนิดๆ เริ่มตรวจดูจดหมาย
[หานฮวงบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังโลกผลาญนภา] x80922321
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]
[หวงจุนเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังโลกผลาญนภา ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[จี้เซียนเสินศิษย์ของท่านเข้าสู่แม่น้ำดวงชะตาผลาญนภา]
[เทพมหาทัณฑ์สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]
[หานหลิงบุตรีของท่านได้รับความศรัทธาจากสรรพสิ่งนับร้อยล้านชีวิต พลังมรรคเพิ่มมหาศาลฉับพลัน]
[หลี่เต้าคงสหายของท่านผสานรวมกับแม่น้ำมรรคกระบี่ บุกเบิกโลกมหามรรคขึ้น พลังมรรคเพิ่มมหาศาลฉับพลัน]
[เทวีตราวินัยสหายของท่านเข้าสู่โลกมหามรรคพิสุทธิ์]
….
ยังคงคึกคักมากนัก
จดหมายทุกฉบับเต็มไปด้วยข้อมูลมหาศาล หานเจวี๋ยคิดปะติดปะต่อฉากเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นขึ้นมาได้
น่าสนใจจริงๆ
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็รู้สึกริษยาคนพวกนี้อยู่บ้าง
ในแง่ของความเร็วในการบำเพ็ญไม่มีใครรวดเร็วเท่าเขา แต่หากเทียบกันด้านประสบการณ์ชีวิต นับว่าพวกเขาได้ใช้ชีวิตมากกว่าตนนัก
หานเจวี๋ยก็เคยคิดจะกระทำการอย่างบุ่มบ่ามบ้าง แต่เขาไม่มีที่พึ่งพิงหนุนหลัง
อย่างน้อยๆ เหล่าศิษย์สืบทอดและบรรดาทายาทก็มีเขาหนุนหลังอยู่ แต่ตัวเขาเล่า ตลอดเส้นทางที่ก้าวเดินนี้พึ่งพาเพียงระบบถึงแข็งแกร่งขึ้นมา หากเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าระดับในปัจจุบันของเขา เขาก็ตายได้เช่นกัน ดังนั้นเขาโชคดียิ่งนักที่เลือกเส้นทางของตนได้ถูกต้อง
ไม่ออกไปข้างนอกก็ลดโอกาสที่จะเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งลง!
เก็บตัวต่อไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะแกร่งกล้าสมบูรณ์ก็ไม่ควรใส่ใจคนอื่นมากเกินไป
หลังอ่านจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยก็สอดส่องโลกปฐมยุคต่อ
โลกปฐมยุคอยู่ห่างไกลจากฟ้าบุพกาลและผลาญนภา มีเพียงยอดมหามรรคเท่านั้นที่เข้าสู่ดินแดนเวิ้งว้างได้ แต่ต่อให้เป็นยอดมหามรรคก็ไม่กล้าเข้าสู่ส่วนลึกของดินแดนเวิ้งว้าง
ผู้สร้างมรรคาเหล่านั้นล้วนไม่ได้ลงมือกับโลกปฐมยุค ดังนั้นโลกปฐมยุคจึงสงบปลอดภัย
แต่นี่เป็นเพียงรูปการณ์ภายนอกโลกปฐมยุคเท่านั้น เพราะด้านในโลกปฐมยุคกลับปรากฏการต่อสู้แก่งแย่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อสิ่งชีวิตเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เผ่าเอกาและเทพมารฟ้าบุพกาลคอยออกเผยแพร่มรรคทำให้ปรากฏผู้บำเพ็ญมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีพลังแกร่งกล้าย่อมเกิดจิตใจทะเยอทะยาน
มีสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายแต่กำเนิด มีสิ่งมีชีวิตที่กระหายการฆ่าฟันแต่กำเนิด เนื่องด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดทำให้เริ่มเกิดการแก่งแย่ง มีเหตุการณ์สารพัดรูปแบบ ปรากฏความขัดแย้งขึ้นตามธรรมชาติ
สำหรับเรื่องนี้หานเจวี๋ยไม่มีความเห็นอื่นใดเลย เพียงรับชมไปเท่านั้น มอบหมายหน้าที่ให้เผ่าเอกาและเผ่าเทพปฐมยุคไปแล้ว ต้องโกลาหลกันสักหน่อยถึงจะตั้งกฎระเบียบขึ้นมาได้
ที่ใดมีสิ่งมีชีวิตย่อมมีการต่อสู้เกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว เดิมทีก็ต้องใช้ตัวตนที่อ่อนแอช่วยให้ตัวตนที่แข็งแกร่งเติบโตขึ้นอยู่แล้ว
ขอเพียงโลกปฐมยุคไม่มีหายนะใหญ่หลวง เขาไม่มีทางเข้าไปยุ่ง
สิ่งที่เขาต้องทำคือโน้มนำสรรพสิ่งในโลกปฐมยุคให้ดำเนินไปตามรูปการณ์โดยรวม
ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทวยเทพถึงไม่สนใจความทุกข์ยากของมนุษย์ เพราะเขาได้กลายเป็นเทพที่ตนหมิ่นหยามในยามเป็นมนุษย์แล้ว
….
ภายในตำหนักใหญ่สว่างไสวหลังหนึ่ง เสาศิลาสูงมองไม่เห็นยอดตั้งเรียงรายอยู่สองฟากฝั่ง ก่อตัวเป็นเส้นทางกว้างขวางมุ่งสู่ท้องนภา สุดปลายเส้นทางมีเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หยกกระจ่างที่สูงใหญ่นับร้อยจั้ง
เป็นหานหลิง
หานหลิงสวมชุดกระโปรงสีทอง บุคลิกงามสง่า เรือนผมยาวสยายแผ่บนบัลลังก์ สวมกวานจักรพรรดิมังกรถลาลม ดูราวกับเทพโบราณผู้สรรค์สร้างทุกสรรพสิ่ง นั่งสงบนิ่งศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม
ในเวลานี้เอง เงาร่างสามสายพลันปรากฏขึ้นในห้องโถงอันกว้างใหญ่
เป็นหานเหยา หานเย่และหานป้าเสิน!
ทั้งสามมีรัศมีน่าหวาดหวั่น สง่างามทรงพลัง ราวกับเทพสงครามผู้ไร้พ่าย เมื่ออยู่ต่อหน้าหานหลิงพวกเขาต่างคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทำความเคารพ
หานเหยาเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท ตรวจสอบพบว่ากฎเกณฑ์สูงสุดของโลกผลาญนภาถูกช่วงชิงไปพ่ะย่ะค่ะ กลุ่มอิทธิพลต่างๆ มุ่งหน้าไปแย่งชิงกฎเกณฑ์สูงสุดแล้ว ล้วนต้องการครอบครองอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค กระหม่อมต้องการมุ่งหน้าไปในฐานะตัวแทนของวังจักรพรรดิมหาโชคพ่ะย่ะค่ะ”
หานเย่แค่นเสียง “ศึกนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของวังจักรพรรดิมหาโชค สมควรส่งขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดไป นั่นก็คือข้า!”
หานป้าเสินหัวเราะเฮอะๆ “แม้พวกเจ้าจะมีพลังแกร่งกล้า แต่ก็ไม่อหังการ์เท่าข้า หากต้องการสร้างความตื่นตกใจให้ผู้คนก็ยังคงต้องพึ่งพาพลังของข้าอยู่ดี!”
เห็นได้ชัดว่าทั้งสามกำลังชิงดีชิงเด่นกัน ไม่มีผู้ใดยอมถอยเลย
หานหลิงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าจงไปด้วยกันเถิด ต้องเอากฎเกณฑ์สูงสุดสายนั้นมาให้ได้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับพี่รองของเราพวกเจ้าก็ห้ามถอย”
หานเย่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บรรพชนหานฮวงอย่างนั้นหรือ อยากประลองกับเขามานานแล้ว!”
หานเหยาและหานป้าเสินก็เผยสีหน้าคาดหวังออกมาเช่นกัน
พวกเขาไม่เคยประจักษ์ในพลังที่แท้จริงของหานฮวงมาก่อน แต่ด้วยชื่อเสียงไร้พ่ายอันเลื่องลือพวกเขาฟังมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ย่อมต้องการท้าประลองเป็นธรรมดา