War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2342
ตอนที่ 2,342 : คนคนเดียวกัน
ฟังจากคำพูดของชายชราในชุดหรู คล้ายมันสามารถประเมินพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนได้ออกทันที หลังจากที่เห็นต้วนหลิงเทียนลงมือเมื่อครู่
ครึ่งก้าวเซียนอมตะ!
อย่างไรก็ตามฟังจากน้ำเสียงเรียบเฉยของมันก็บอกเรื่องราวได้ประการหนึ่ง
ถึงแม้ว่ามันจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ แต่มันก็ไม่ได้มีทีท่าสะทกสะท้านอะไรแม้แต่น้อย
ยิ่งมองจากทีท่าสบายๆราวสายลมคล้อยเมฆเคลื่อน เสมือนมันไม่ได้แยแสตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะแม้แต่น้อย!
อย่างไรก็ตาม ชายชราในชุดหรูไม่อีนังขังขอบกับด่านพลังครึ่งก้าวเซียนอมตะของต้วนหลิงเทียน แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆจะสามารถสงบอยู่ได้!
“ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดใน 7 ทวาราเที่ยงแท้…กลับบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว?”
แทบจะพร้อมกันกับที่เสียงชายชราชุดหรูดังจบ ชายวัยกลางคนที่สูงผอมปานลำไผ่ที่อยู่ด้านหลังก็อดหดหยีตาลงไม่ได้ ใบหน้าจืดชืดของมันฉายความตกใจให้เห็นชัด
ด้านชายวัยกลางคนร่างกำยำที่ถูกต้วนหลิงเทียนโยนทิ้งราวหมูหมาไกลๆ ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาได้แล้ว แต่ตอนนี้พอมาได้ยินคำของชายชราผู้เป็นนายร่างมันก็สะท้านไปทันที แววตายังเผยความกลัวหนึ่ง
ตอนนี้มันรู้สึกก็แต่แผ่นหลังเย็นวาบ!
‘มิน่าแปลกใจเลยที่ไฉนข้าพยายามเดินพลังในร่างเท่าใดก็มิอาจกระทำได้เพราะถูกพลังมันสะกดไว้ทุกทาง…ที่แท้มันเป็นถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ! เช่นนั้นทุกอย่างก็อธิบายได้ไม่ยาก…’
พอได้รู้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่มันวางท่าข่มขู่ไปเมื่อครู่เป็นถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ ชายวัยกลางคนร่างหนาก็หวาดผวาไม่น้อย!
‘โชคดีที่มันไม่คิดฆ่าข้า…ไม่งั้นข้าได้ตายแน่!’
พอคิดถึงจุดนี้มันก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณสวรรค์!
ตัวมันจะอย่างไรก็แค่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยน ด้วยพลังของตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะคิดฆ่ามันทิ้ง ย่อมเป็นเรื่องราวที่ง่ายดายยิ่งกว่าตัดหญ้าฆ่าไก่!
และพอนึกย้อนถึงวาจาที่มันใช้ขมขู่ชายหนุ่มชุดม่วงไปก่อนหน้า ชายวัยกลางคนร่างหนาก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ยังขนลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
คิดทุบตีอีกฝ่ายให้ตายยังง่ายกว่าฆ่าไก่หรือ?
ตอนนี้เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่คิดฆ่ามันยังง่ายกว่าฆ่าไก่!
ได้ยินคำของชายชราในชุดหรู ขนาดผู้ติดตามอย่างชายวัยกลางคนทั้ง 2 ยังตกใจแทบตาย เช่นนั้นผู้ที่มาชมดูเรื่องราวยิ่งอาการหนัก!
“ครึ่งก้าวเซียนอมตะ? ข้าได้ยินถูกหรือไม่เมื่อครู่ผู้เฒ่าคนนั้นบอกว่า…เจ้าหนุ่มนั่นเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ?”
พอเหล่าผู้ชมหน้าเหลาทั้งข้างถนนดึงสติกลับคืน ทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความแตกตื่น บางคนยังพยายามหันไปมองคนข้างๆแล้วกล่าวถามยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิด
“เจ้าไม่ได้ฟังมาผิดหรอก…ที่ผู้เฒ่าคนนั้นกล่าวคือ ครึ่งก้าวเซียนอมตะ จริงๆ”
ไม่นานหลายคนก็ช่วยมันยืนยันความจริง
“ผู้เฒ่ายังบอกด้วยว่า…สมแล้วที่เป็น ผู้สืบทอดลำดับ 1 ของทวาราเที่ยงแท้ หมอกพิรุณ พลังฝึกปรือบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!”
“ใช่ ข้าก็ได้ยินเหมือนกัน”
“ที่แท้เป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณที่ร้ายกาจที่สุดใน 7ทวาราเที่ยงแท้ ถึงว่าไฉนเมื่อครู่ข้ามิอาจมองเห็นใดๆได้ทัน…ช่างเร็วเหลือเกิน!”
“หากเจ้าหนุ่มนั่นเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะจริง เช่นนั้นความเร็วจะสูงจนพวกเรามองไม่ทันก็ไม่แปลก”
“นี่…ถ้าหากเจ้าหนุ่มนั่นเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะจริง หมายความว่าก่อนหน้าก็ไม่ได้พูดเล่นน่ะสิ ชายวัยกลางคนตัวใหญ่นั่นมันเป็นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนจริงๆ?”
“เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วล่ะ ครึ่งก้าวเซียนอมตะยังต้องโกหกทำอะไร…อีกอย่างหากเป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณจริง ไหนเลยจะโกหกให้ตัวเองเสื่อมเสีย!”
“ให้ตายเถอะ…หมายความว่าเจ้าล่ำนั่นมันเป็นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนจริงเหรอเนี่ย!?”
…
หลังสนทนากันไปพักหนึ่งทั้งหมดก็ตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้พวกมันคิดจินตนาการวุ่นวายกันไปเอง ชายวัยกลางคน 9 ใน 10 สมควรเป็นเซียนสวรรค์ 8เปลี่ยนจริงๆ!
ต่อหน้าครึ่งก้าวเซียนอมตะ เซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนย่อมถูกสะกดจนมีพลังแต่ไม่อาจใช้ออกได้เป็นธรรมดา
“ตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะหรือ…เรื่องนี้ข้าเคยแต่ได้ยินมาเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยจริงๆที่ข้าได้เห็นกับตา!”
“อย่าว่าแต่เจ้า ข้าเองเกิดมาก็พึ่งเคยเห็นนี่ล่ะ!!”
“แต่ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นจะเป็นถึง ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณที่ร้ายกาจที่สุดไปได้ ถึงขั้นบรรลุครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้งที่แลดูยังเยาว์ขนาดนี้!”
“อันที่จริงเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้ กระทั่งศิษย์สตรีของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ยังร้ายกาจถึงปานนั้น โดยเฉพาะผู้สืบทอดความลับสวรรค์นั่นที่ป่านนี้น่าจะบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว…ผู้สืบทอดหมอกพิรุณในฐานะผู้นำที่สมควรมีพลังสูงสุด จะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด”
“เป็นความจริง”
…
ในขณะที่ผู้ชมเริ่มสนทนากันอย่างออกรส สายตาของพวกมันก็หันมาจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนไม่วางตา ราวกับจะจดจำรูปร่างหน้าตาของเขาให้ดี
“เอ๋!?”
ทันใดนั้น สตรีชราคนหนึ่งท่ามกลางผู้ที่มามุงชมอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยทีท่าประหลาดใจ “นั่น…นั่นมิใช่ ต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ หรือไร?!”
“ผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟ? ต้วนหลิงเทียน?”
ทันทีที่หญิงชราจุดประเด็นนี้ขึ้นมา ผู้ชมโดยรอบก็ยิ่งมองสำรวจใบหน้าต้วนหลิงเทียนอย่างละเอียด มองชมไปสักพักพวกมันก็เริ่มรู้สึกคุ้นๆ
ความทรงจำเมื่อไม่กี่ปีก่อนเริ่มย้อนทวนขึ้นในใจ
“ใช่จริงๆด้วย! เป็นผู้พิทักษ์ต้วนของลัทธิบูชาไฟจริงๆ! เมื่อไม่กี่ปีก่อนข้าเคยเห็นรูปเหมือนผู้พิทักษ์ต้วน!!”
“ข้าเองก็เคยเห็นมาเช่นกัน…แต่มันก็ผ่านมาเป็นปีๆ ข้าจึงไม่ทันนึกถึง”
“ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าไฉนใบหน้านี้มันคุ้นตาข้าแปลกๆ…ที่แท้ก็คือ ต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟคนนั้น! จริงสิเมื่อครู่ตอนที่กล่าวเผยฐานะออกมาว่าเป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณ ยังประกาศชื่อว่าต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยนี่!?”
“ใช่ เมื่อครู่ข้าก็ได้ยินว่าเป็นชื่อ ต้วนหลิงเทียน ไม่ผิดแน่”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน….ไม่กี่ปีก่อนต้วนหลิงเทียนเป็นผู้พิทักษ์ลัทธิบูชาไฟ ไฉนไม่กี่ปีผ่านมากลับกลายเป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณไปได้เล่า?”
“เหลือเชื่อ! ช่างเหลือเชื่อจริงๆ!!”
…
ไม่นานก็เริ่มมีคนคุ้นๆหน้าต้วนหลิงเทียนมากขึ้นทุกที และนั่นก็ทำให้หลายคนอดสงสัยไปไม่ได้
ต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟเมื่อไม่กี่ปี เป็นคนๆเดียวกันกัต้วนหลิงเทียนผู้สืบทอดหมอกพิรุณคนนี้จริงๆหรือ?
“ข้าจำได้ว่าลัทธิบูชาไฟ กับ 7 ทวาราเที่ยงแท้ก็มีอดีตกันไม่น้อย ถึงขั้นไม่อาจอยู่ร่ววมโลกเดียวกันได้นี่นา?”
“มิผิด 7 ทวาราเที่ยงแท้ไม่เพียงเป็นศัตรูของลัทธิบูชาไฟเท่านั้น ยังรวมไปถึงลัทธิอารามทมิฬกับลัทธิชะตาฟ้าอีกด้วย…แต่ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนผู้นำของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ถึงไปเป็นผู้พิทักษ์ให้ลัทธิบูชาไฟได้?”
…
หลายคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยในเรื่องนี้
“พวกเจ้ากลายเป็นโง่งมไปแล้วรึไง…หรือต้วนหลิงเทียนผู้สืบทอดหมอกพิรุณ จะแฝงตัวเข้าไปในลัทธิบูชาไฟ เพื่อหาหนทางทำลายจากภายในไม่ได้?”
“จริงด้วย! หากเป็นอย่างที่เจ้าว่ามันก็สมเหตุสมผลดี!”
…
ในขณะที่หลายคนกำลังงุนงงว่าทำไมต้วนหลิงเทียนถึงมี 2 ฐานะที่ขัดแย้งกันเอง พอได้ยินความคิดของผู้ชมคนหนึ่งทั้งหลายก็เข้าใจได้ทันที
“แต่ว่า…พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนจะไม่ก้าวหน้ารวดเร็วเกกินไปหน่อยหรือ?”
หลายคนอดสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้
“ข้าจำได้ว่า…เมื่อไม่กี่ปีก่อน ต้วนหลิงเทียนยังพึ่งเอาชนะอันดับ 1 ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เหาฉ่วง มาไม่ใช่รึไง ไฉนวันนี้ถึงกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะได้แล้วล่ะ? จะไม่ก้าวหน้ารวดเร็วผิดหูผิดตาไปหน่อยหรือ?”
“กล่าวไปก็ก้าวหน้าเร็วผิดปกติจริงๆ…เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายชราผู้นั้นมองผิด?”
ทันใดนั้นทุกสายตาก็หันไปมองตกลงบนร่างชายชราชุดหรูทันที
เพราะชายชราในชุดหรูหราผู้นี้เป็นคนกล่าวว่าต้วนหลิงเทียนคือ ครึ่งก้าวเซียนอมตะ
หากเป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณที่พวกมันไม่เคยพบเจอมาก่อน พวกมันจะไม่สงสัยเรื่องพลังฝึกปรือเลย…เพราะตัววตนที่ร้ายกาจที่สุดใน 7 ทวาราเที่ยงแท้เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะพวกมันก็พอจะเข้าใจได้
แต่ทว่าผู้สืบทอดหมอกพิรุณคนนั้นกลับเป็นต้วนหลิงเทียน ซึ่งต้วนหลิงเทียนไม่นับเป็นนามที่แปลกหูสำหรับพวกมัน
เพราะต้วนหลิงเทียนนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว
พลังฝีมือเป็นรองก็แค่จ้าวลัทธิบูชาไฟถังซวน จึงได้เป็นผู้พิทักษ์คนที่ 4 ของลัทธิบูชาไฟ!
แต่ทว่าหลังจากนั้นแค่ไม่กี่ปี พลังฝึกปรือกลับก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดจนบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ?
เป็นไปได้หรือ?
เป็นเรื่องจริงแน่หรือไม่?
ถึงแม้ในบรรดาผู้ที่มาชมดูทั้งหลายที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ เซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน
แต่ดังคำกล่าววีท่ว่า ไม่เคยกินหมูก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหมูวิ่ง
ดังนั้นพวกมันย่อมรู้ดีว่ามันยากเย็นเพียงใดที่จะบรรลุถึงขอบเขตนี้!
“ที่แท้เจ้ายังเป็นต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟคนนั้น ชื่อเสียงเจ้ายังเป็นที่ยอมรับของผู้คนไม่น้อยว่าร้ายกาจที่สุดใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน…”
เผชิญกับสายตาสงสงัยแคลงใจของผู้ชมโดยรอบ ชายชราหาได้นำพาอันใดไม่ ทว่าสายตาที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนยิ่งมาก็ยิ่งแหลมคมมากขึ้นเรื่อยๆ
“ดูเหมือนว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน เป็นเจ้าได้ซุกซ่อนพลังฝีมือเอาไว้สินะ? ทุกคนจึงไม่มีใครนึกถึงว่าเจ้าอาจจะทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแต่แรก?”
กล่าวถึงจุดนี้สองตาชายชราก็ฉายแววลึกล้ำ “แต่ต่อหน้าข้าเจ้ามิอาจปกปิดอันใดได้…พลังฝึกปรือของเจ้าบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วจริงๆ”
เมื่อเห็นว่ากล่าวเปิดโปงขนาดนี้แล้ว แต่ทีท่าต้วนหลิงเทียนยังคงไม่แยแสอะไร ทำให้ชายชราชุดหรูอดไม่ได้ที่จะหน้าม้านไปเล็กน้อย
“แต่เจ้าคิดว่าอาศัยพลังฝึกปรือครึ่งก้าวเซียนอมตะของเจ้า จะขัดขวางข้ามิให้รับลูกสาวเจ้าเป็นศิษย์ได้จริงๆงั้นรึ?”
วาจาไม่กี่คำที่ชายชราชุดหรูกล่าวสืบต่อ เผยให้เห็นความมั่นใจเหลือล้น!
และคำพูดของมันก็ทำให้ทุกคนในที่นี้ตกใจกันนัก
“ครึ่งก้าวเซียนอมตะ…มิใช่ตัวตนที่ทรงพลังเหนือสุดหรือไร ไฉนข้าฟังจากคำพูดของชายชราผู้นั้นแล้ว เพราะเหตุใดจึงทำเหมือนครึ่งก้าวเซียนอมตะยังมิใช่ตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในแดนดินกัน?”
หลายคนอดตกใจไม่ได้!
และก็มีไม่น้อยที่คิดว่าชายชรากล่าวซี้ซั้ว!
ทว่าตอนนี้เองต้ววนหลิงเทียน พลันโค้งคิ้วขึ้นทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “อ้อ แล้วเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นเซียนอมตะเสเพล?”