ตอนที่ 993 แก้แค้น

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 993 แก้แค้น

ไป๋ชิงฉีพยักหน้า เตรียมลุกขึ้นคำนับอำลา ทว่า ได้ยินเสียงจักรพรรดินีแห่งซีเหลียงถามขึ้นก่อน “ในเมื่อท่านทูตต้องการยุแยงให้ราชสำนักซีเหลียงแตกคอกันเอง ท่านบอกเราได้หรือไม่ว่าตระกูลสูงศักดิ์ทั้งแปดตระกูลต้องการสนับสนุนผู้ใดขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ เหยียนอ๋องหลี่จือเจี๋ยซึ่งอยู่ไกลถึงต้าโจวอย่างนั้นหรือ”

ไป๋ชิงฉีกล่าวยิ้มๆ “จักรพรรดิองค์ก่อนของซีเหลียงไม่ได้มีฝ่าบาทเป็นสายเลือดเพียงองค์เดียวนะพ่ะย่ะค่ะ หากมีคนดึงฝ่าบาทลงมาจากบัลลังก์แล้วสนับสนุนให้องค์หญิงผิงหยางขึ้นครองบัลลังก์ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ในเมื่อฝ่าบาทตรัสถามกระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมย่อมต้องตอบว่าคือองค์หญิงผิงหยางอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางพยักหน้า

จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงมองแผ่นหลังของไป๋ชิงฉีที่เดินจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวหายไปทันที

ยิ่งไป๋ชิงฉีเดินเข้ามายุแยงให้ซีเหลียงเกิดความแตกแยกอย่างเปิดเผยมากเท่าใด จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงจะยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นเท่านั้น

อวิ๋นพั่วสิงพบกับไป๋ชิงฉีที่เดินออกมาจากตำหนักใหญ่ เมื่อเห็นไป๋ชิงฉี อวิ๋นพั่วสิงกำหมัดที่แนบอยู่ข้างลำตัวแน่น จากนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ

แม้ไม่ได้อยู่ในชุดนักรบ ทว่า บารมีที่น่าเกรงขามของตัวอวิ๋นพั่วสิงไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย นั่นคือความน่าเกรงขามที่นักรบได้มาจากสนามรบและกองเลือดนับครั้งไม่ถ้วน แม้บัดนี้เขาจะยืนตัวงอเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวดที่เอว ทว่า ปกปิดรัศมีที่น่าเกรงขามไว้ไม่มิด

ไป๋ชิงฉีมองไปยังร่างของอวิ๋นพั่วสิง ไม่ได้เจอกันนานหลายปี…อวิ๋นพั่วสิงแก่ลงกว่าตอนเผชิญหน้ากันในสนามรบในปีนั้นมาก บางทีอวิ๋นพั่วสิงอาจจะเหมาะที่จะอยู่ในสนามรบมากกว่าเมืองอวิ๋นจิงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและแผนการเช่นนี้ ในเมืองอวิ๋นจิง…อวิ๋นพั่วสิงคือคนจากตระกูลสูงศักดิ์หนึ่งในแปดตระกูล อีกทั้งยังเป็นผู้พิทักษ์การปกครองระบอบใหม่ของจักรพรรดินีแห่งซีเหลียงอีกด้วย

อวิ๋นพั่วสิงอยู่ตรงกลางระหว่างจักรพรรดินีแห่งซีเหลียงและตระกูลทั้งแปด เขาพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายซึ่งอันตรายมากกว่าตอนทำสงครามอยู่ในสนามรบจริงเสียอีก

ไป๋ชิงฉีมีความแค้นส่วนตัวกับอวิ๋นพั่วสิง เขาเกลียดวิธีต่ำช้าที่อวิ๋นพั่วสิงใช้ในสนามรบ โดยเฉพาะสิ่งที่อวิ๋นพั่วสิงทำกับน้องชายคนที่สิบเจ็ดยิ่งทำให้ไป๋ชิงฉีเกลียดอวิ๋นพั่วสิงเข้ากระดูกดำ

ทว่า สำหรับซีเหลียงแล้ว อวิ๋นพั่วสิงคือขุนนางผู้จงรักภักดี แม้เขาจะไม่ใช่คนมีคุณธรรมสูงส่ง ทว่า เขาใช้ชีวิตของเขาสนับสนุนให้จักรพรรดิแห่งซีเหลียงยืนอย่างมั่นคงอยู่บนบัลลังก์ของซีเหลียง

ไป๋ชิงฉีนับถืออวิ๋นพั่วสิงในฐานะขุนนาง ชายหนุ่มยากจะปดปิดความโกรธแค้นที่อยู่ในแววตา ทว่า ยังโค้งกายคำนับอวิ๋นพั่วสิง

อวิ๋นพั่วสิงคาดไม่ถึง เขาตะลึงไปชั่วขณะ ยังไม่ทันจะทำความเคารพกลับก็เห็นไป๋ชิงฉียืดกายตรง จากนั้นเดินตามขันทีเล็กลงจากบันไดตำหนักไปเสียก่อน

อวิ๋นพั่วสิงนึกว่าด้วยความโกรธแค้นที่ตระกูลไป๋มีต่อเขา ไป๋ชิงฉีน่าจะเกลียดเขาจนแทบอยากจะฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ สีหน้าของไป๋ชิงฉีก็บ่งบอกเช่นนั้นเหมือนกัน เขาคิดว่าถึงแม้ไป๋ชิงฉีจะไม่สามารถลงมือทำร้ายหรือด่าทอเขาในวังหลวงได้ ทว่า อย่างน้อยชายหนุ่มก็คงทำราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ

เขานึกไม่ถึงเลยว่าทายาทตระกูลไป๋ที่รอดชีวิตมาจากสงครามหนานเจียงในครานั้นจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ต้าโจวมีอำนาจมากที่สุด พวกเขาสามารถลงมือจัดการกับเขาได้อย่างเต็มที่

เทียบกับสิ่งที่อวิ๋นพั่วสิงเคยทำกับตระกูลไป๋ โดยเฉพาะสิ่งที่ทำกับคุณชายสิบเจ็ดของตระกูลไป๋ซึ่งกลายเป็นความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจเขาทุกวัน เขาไม่เคยรู้สึกละอายใจเท่านี้มาก่อน

อวิ๋นพั่วสิงกำหมัดแน่นพลางเดินตามไปสองสามก้าว จากนั้นเอ่ยขึ้น “แม่ทัพไป๋ อวิ๋นพั่วสิงขอขมาเรื่องที่เคยทำกับคุณชายสิบเจ็ดของตระกูลไป๋ไว้ ณ ที่นี้ด้วยขอรับ”

เสียงของอวิ๋นพั่วสิงดังมาจากทางด้านหลัง ไป๋ชิงฉีกำหมัดแน่นโดยไม่ได้หันกลับไปมอง

ความแค้นที่มีไม่สามารถหายไปได้เพียงเพราะคำขอโทษคำเดียวจากอวิ๋นพั่วสิง ไป๋ชิงฉีจะชำระแค้นแทนท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุงและน้องชายสิบเจ็ดในสนามรบอย่างเปิดเผย มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นจึงจะทำให้ดวงวิญญาณของน้องชายสิบเจ็ดและบรรดาท่านปู่จากไปอย่างสงบ

อวิ๋นพั่วสิงมองดูร่างไป๋ชิงฉีเดินหายลับไปจากสายตา เขาหันหลังกลับ จากนั้นหันไปกล่าวกับขันทีที่ยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก “ทูลฝ่าบาทว่าข้าขอเข้าเฝ้า”

“ท่านแม่ทัพใหญ่ ฝ่าบาทเสด็จไปพบองค์หญิงผิงหยางที่วังหลังแล้วขอรับ” ขันทีเล็กรายงานอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้บ่าวพาท่านแม่ทัพใหญ่ไปรอในตำหนักก่อนขอรับ”

อวิ๋นพั่วสิงรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงพบทูตของต้าโจวเสร็จก็ไปพบองค์หญิงผิงหยางทันที ไป๋ชิงฉีกล่าวสิ่งใดเกี่ยวกับองค์หญิงผิงหยางให้จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงฟังอย่างนั้นหรือ

อวิ๋นพั่วสิงยังไม่ทันเดินเข้าไปในตำหนักก็เห็นทหารรักษาพระองค์สองกองวิ่งไปทางวังหลังด้วยความรีบร้อน เขารู้สึกไม่ชอบมาพากล ใจหนักอึ้งราวกับมีสิ่งใดกดทับอยู่

“เชิญท่านแม่ทัพขอรับ…” ขันทีเล็กผายมือเชิญอวิ๋นพั่วสิงเข้าไปในตำหนัก

ตำหนักไหวเซียงของหลี่เทียนฟู่อยู่ติดกับสวนกล้วยไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมอบอวล ภายในสวนกล้วยไม้มีดอกกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์ ทุกครั้งที่ลมพัดผ่าน กลิ่นของดอกกล้วยไม้จะโชยเข้าไปในตำหนักไหวเซียงของหลี่เทียนฟู่ ตำหนักไหวเซียงจึงถูกเรียกว่าไหวเซียง[1]

บางทีอาจเป็นเพราะนี่คือช่วงเวลากลางวัน กลิ่นของดอกกล้วยไม้ที่อยู่กลางแสงแดดจึงยิ่งหอมอบอวลมากยิ่งขึ้นราวกับเครื่องหอมที่ถูกอบมาอย่างดี กลิ่นหอมพัดโชยเข้าไปในตำหนักจนคนที่ได้กลิ่นเริ่มมัวเมาไปกับกลิ่นสัมผัสที่หอมหวน

ทุกคนรู้ดีว่าหลี่เทียนฟู่ผู้เป็นน้องสาวแท้ๆ ของจักรพรรดินีแห่งซีเหลียงได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดินีแห่งซีเหลียงมาก แค่ดูจากตำหนักไหวเซียงก็พิสูจน์แล้วว่าคือเรื่องจริง

หลี่เทียนฟู่ไล่นางกำนัลและขันทีออกไปจากตำหนักทั้งหมด หญิงสาวนั่งกอดเสื้อผ้าเก่าของลู่เทียนจัวพลางร้องไห้ออกมาเงียบๆ

อีกไม่นาน อีกไม่นานนางจะได้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์แห่งนั้น นางจะแก้แค้นให้ลู่เทียนจัว!

หลี่เทียนฟู่สูดหายใจเข้าปอดลึก หญิงสาวพาดชุดเก่าของลู่เทียนจัวลงบนขอบหน้าต่าง จากนั้นใช้นิ้วลูบเสื้อที่ยับยู่ยี่ให้เรียบร้อย หญิงสาวกล่าวเสียงเบาอย่างพยายามข่มความเจ็บปวด “อีกไม่นานข้าจะสังหารไป๋ชิงเหยียน ทำลายแคว้นต้าโจวของไป๋ชิงเหยียนเพื่อแก้แค้นให้เจ้า!”

เมื่อได้ยินเสียงผ้าม่านประดับไข่มุกดังขึ้นหลี่เทียนฟู่รีบซ่อนเสื้อผ้าเก่าของลู่เทียนจัวเอาไว้ จากนั้นตวาดลั่น “ข้าบอกให้พวกเจ้าเฝ้าอยู่นอกตำหนักไม่ใช่หรือ! ผู้ใดไม่กลัวตายกล้าบุกเข้ามาในนี้!”

หลี่เทียนฟู่มองเห็นคนแหวกผ้าม่านผืนบางที่แขวนอยู่บนคานไม้หนานมู่เข้ามาด้านในผ่านผ้าม่านสีฟ้า เสียงตวาดของหญิงสาวหยุดลงทันที

หลี่เทียนฟู่สอดมือเข้าไปใต้หมอนปักลายดอกไม้เพื่อคลำหากริชที่นางซ่อนไว้ใต้หมอน…กริชที่ลู่เทียนจัวเป็นคนมอบให้นาง

เมื่อเห็นใบหน้าของจักรพรรดินีแห่งซีเหลียง หลี่เทียนฟู่จึงปล่อยกริชในมือออก จากนั้นลุกขึ้นทักทาย “ท่านพี่?”

เมื่อม่านผืนสุดท้ายถูกแหวกออก จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงมองไปทางหลี่เทียนฟู่นิ่งแวบหนึ่ง จากนั้นเดินตรงไปที่เตียงของหลี่เทียนฟู่

จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงนั่งลงบนเตียงของหลี่เทียนฟู่ หลี่เทียนฟู่เหลือบมองไปทางเสื้อผ้าของลู่เทียนจัวที่ถูกผ้าห่มบังเอาไว้แวบหนึ่ง จากนั้นส่งยิ้มสดใสให้จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงตามปกติ “ท่านพี่จริงๆ ด้วย เหตุใดท่านพี่จึงมาที่นี่เวลานี้เจ้าคะ ท่านพี่ไม่ได้สนทนาอยู่กับทูตของต้าโจวหรือเจ้าคะ”

จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงมองไปทางผ้าห่มที่ยับยู่ยี่แวบหนึ่ง จากนั้นมองไปทางหลี่เทียนฟู่ น้องสาวของนางยังคงดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและน่าทะนุถนอมเหมือนเดิม

[1] ไหวเซียง แปลว่า หอมหวานยาวนาน

*********************