ข้ามองทะเลสีครามอีกหนึ่งหน น่าเสียดายขุนเขาเมฆากั้นขวางหนทางกลับจึงมองมิเห็นถิ่นฐานบ้านเกิด ข้าถอนหายใจแผ่วเบาแล้วหมุนตัวเดินลงไป ราชองครักษ์หู่จีที่ตีนเขานอกจากไม่กี่คนในนั้น คนที่เหลือล้วนเป็นคนหน้าใหม่
ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ ราชองครักษ์หู่จีที่เคยติดตามข้าไปปราบเป่ยฮั่นในวันวานต่างเลื่อนขั้นกันไปมากกว่าครึ่งแล้ว องครักษ์ใหม่เหล่านี้มีแต่วรยุทธ์แข็งแกร่งกว่าเดิม ค่ายกลดาบที่ข้าถ่ายทอดให้ในสมัยนั้นถูกราชองครักษ์หู่จีพัฒนาให้ดีขึ้นจนตอนนี้แม้แต่เสี่ยวซุ่นจื่อก็มิอาจชิงความได้เปรียบจากพวกเขาในชั่วเวลาฉุกละหุกได้ แต่หนนี้ฮูเหยียนโซ่วก็ยังคงเป็นหัวหน้าองครักษ์คนสนิทของข้า คิดว่าฝ่าบาทคงเป็นคนจัดการ ลำบากแม่ทัพตำแหน่งใหญ่อย่างเขาแล้ว
ฮั่วฉงเดินตามอยู่ข้างกายข้าพลางกล่าวอย่างตื่นเต้น “แผนการของท่านอาจารย์ทำให้ศิษย์นับถือ ที่ผ่านมาเหนือใต้แย่งชิงอำนาจปกครองใต้หล้าล้วนแต่ชิงชัยกันที่เจียงไหว คิดมิถึงท่านอาจารย์กลับสร้างหนทางใหม่ขึ้นมา จู่โจมอู๋เย่ว์จากทะเล แม้มิอาจขุดรากถอนโคน แต่ต้องสั่นคลอนรากฐานของหนานฉู่ได้แน่”
ข้าตอบอย่างเฉยเมย “แผนการนี้มิใช่ข้าคิดออกมาเป็นคนแรก แผนการนี้แต่เดิมอู่ตี้แห่งหนานฉู่เป็นผู้วางแผนการ แต่ถูกข้าเอามาย้อนเล่นงาน”
ฮั่วฉงตกตะลึง เผยสีหน้าฉงนออกมา แม้แต่เสี่ยวซุ่นจื่อก็แสดงสีหน้าแปลกใจและสนใจออกมาด้วย ข้าเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มเล่าว่า “สมัยก่อนข้าเคยรับบัญชาให้จัดการบันทึกหลวง ในนั้นมีหนังสือแสดงความเห็นตอบรายงานขุนนางของอู่ตี้อยู่ด้วย
อู่ตี้ขยันขันแข็งในการปกครองบ้านเมืองยิ่งนัก หนังสือแสดงพระราชดำริของพระองค์มีมากมายอย่างยิ่ง ทั้งยังข้องเกี่ยวกับเรื่องใหญ่หลวงมากมายทั้งทางการทหารและการปกครอง ตัวอย่างเช่นพระองค์ใส่พระทัยค่ายทหารที่ติ้งไห่กับหนิงไห่สองแห่งนี้นิ่งยัก ทรงวางแผนสร้างกองเรือกับป้อมปราการด้วยพระองค์เอง ทั้งยังเพิ่มเสบียงกับเบี้ยหวัดอีกหลายหน แล้วยังให้วาดแผนที่เส้นทางทะเลของสถานที่ต่างๆ ไว้อย่างละเอียด
ข้าเห็นความอหังการผ่านตัวอักษรของเขา เขามิใช่พวกรักสงบอย่างแน่นอน จึงอ่านหนังสือตอบกลับที่เขียนด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์ระหว่างหลายปีนั้นอย่างละเอียด ในที่สุดก็คาดเดาออกว่าพระองค์ตั้งใจสร้างค่ายทหารทั้งสองแห่งให้กลายเป็นอาวุธอันคมกริบในการรุกรานและป้องกัน ยามปกติป้องกันโจรสลัดกับกองเรือต้ายง ส่วนในยามสำคัญก็เลาะชายฝั่งขึ้นเหนือ รุกคืบบุกชิงโจว โยวจี้ตามแนวชายฝั่ง
นับตั้งแต่โบราณ การชิงชัยระหว่างเหนือใต้มักตัดสินแพ้ชนะกันที่เจียงไหว แต่อู่ตี้กลับคิดว่าชาวใต้เนื้อในอ่อนแอ มิห้าวหาญเช่นคนเหนือ แทนที่จะต่อสู้นองเลือดบนแผ่นดิน มิสู้รุกจู่โจมตามชายฝั่ง หลังจากแย่งชิงดินแดนติดชายฝั่งได้แล้วค่อยอาศัยสายน้ำบุกตีแผ่นดินด้านใน ใช้จุดเด่นของตน จู่โจมจุดอ่อนของศัตรู ดีกว่าการให้กองทัพเหน็ดเหนื่อยเดินทางไกลบนบก
แผนการรบเช่นนี้มิเคยมีมาก่อน หลังจากข้าได้เห็นก็สะท้อนใจนัก ข้าได้รับอิทธิพลจากอู่ตี้จึงถวายกลยุทธ์บุกยึดค่ายทหารติ้งไห่ รุกรานอู๋เย่ว์ น่าเสียดายที่อู่ตี้สวรรคตเร็วเกินไปจนมิมีผู้ใดสืบทอดการใหญ่ คนรุ่นหลังทราบเพียงว่าค่ายทหารทั้งสองเป็นปีกคอยปกป้องชายฝั่งจึงมิเคลื่อนทัพโดยง่าย แต่มิทราบจุดประสงค์ที่พวกมันถูกก่อตั้งมาในตอนแรก อีกทั้งค่ายทหารติ้งไห่ยังถูกราชสำนักหนานฉู่ลดค่ายใช้จ่ายในกองทัพจนอ่อนแอเช่นนี้ จนปล่อยให้พวกเราฉกฉวยประโยชน์มาเปล่าๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ข้าก็เดินลงมาจากหน้าผาพอดี ฮูเหยียนโซ่วส่งสัญญาณมือหนึ่งครั้ง คนของราชองครักษ์หู่จีเหล่านั้นโอบล้อมเข้ามาปกป้องพวกเราสามคน ติ้งไห่เพิ่งถูกกำราบ บนเกาะยังมีคนที่เหลือรอดหรือสายลับของกองทัพหนานฉู่อยู่บ้าง ดังนั้นฮูเหยียนโซ่วจึงมิกล้าวางใจความปลอดภัยของข้าแม้แต่หนึ่งเค่อ
พวกเราเดินตามเส้นทางที่มีวัชพืชรกข้างทางมุ่งไปยังจวนของผู้บัญชาการค่ายทหารติ้งไห่ หลายปีที่ผ่านมากองเรือของติ้งไห่มิมีเงินซ่อมบำรุง แม้แต่เส้นทางบนเกาะก็ถูกวัชพืชรกปกคลุม กองเรือผุพังยิ่งนัก สิ่งที่พอดูได้มีเพียงจวนของผู้บัญชาการค่ายทหารติ้งไห่ที่ยังคงมีเสาแกะสลักคานวาดลวดลาย โออ่างดงาม
เมื่อเห็นจวนหรูหราท่ามกลางความรกร้าง เสี่ยวซุ่นจื่อก็หัวเราะอย่างอดมิได้ “แม่ทัพผู้บัญชาการของที่แห่งนี้เลอะเลือนถึงเพียงนี้ มิแปลกที่กองเรือติ้งไห่จะถูกโจมตีหนเดียวทลาย มิมีกำลังต่อสู้อย่างสิ้นเชิง”
ข้าเองก็เศร้าอยู่ในใจพลางพยักหน้าเห็นด้วย ต่อให้ใจละโมบยักยอกเบี้ยหวัดทหารแต่ก็มิน่าเอาไปใช้กับจวนกระมัง นี่มิใช่ตั้งใจกระตุ้นความแค้นให้พลทหารหรือ ชวนให้ข้าสงสัยจริงๆ ว่าแม่ทัพของติ้งไห่เป็นสายลับของต้ายงใช่หรือไม่
ยังมิทันเดินถึงประตูจวน เจียงไห่เทาก็รีบร้อนพากำลังพลเข้ามาต้อนรับ ยามนี้เขาอายุเกือบสามสิบปีแล้ว นับตั้งแต่เจ็ดปีก่อนหลังจากตงไห่สวามิภักดิ์กับต้ายง ตงไห่โหวเจียงหย่งก็สละตำแหน่งสูงและเบี้ยหวัดมากมายจากต้ายงแล้วเดินทางออกท่องทะเล กองเรือตงไห่ยกให้เจียงไห่เทาเป็นผู้นำทัพ
แม้เขาจะตรงไปตรงมาอยู่บ้าง มิค่อยสันทัดเรื่องในวงขุนนางนัก แต่เขามีภรรยาผู้เก่งกาจคนหนึ่งคอยช่วยเหลือ แล้วกองเรือที่เขาเป็นผู้นำทัพก็ยังมีความสามารถโดดเด่น อีกทั้งมีจักรพรรดิต้ายงหลี่จื้อกับฉีอ๋องหลี่เสี่ยนคอยดูแลจึงมิมีความลำบากหรืออุปสรรคประการใด
หนนี้จักรพรรดิต้ายงให้เขาลงใต้บุกอู๋เย่ว์ เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วมิมีปัญหาแต่ประการใด สิ่งที่ทำให้เขาปวดหัวเพียงอย่างเดียวก็คือเจียงเจ๋อติดตามกองเรือมาด้วย มิใช่ว่าเขามิยินดีให้เจียงเจ๋อมาคอยชี้สั่งอยู่ข้างกาย แต่เขาเป็นห่วงว่าหากเจียงเจ๋อเป็นอันใดไปขึ้นมา เขาจะรับผิดชอบมิไหว
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ เจียงไห่เทาก็จะก้มลงไปคารวะ แม้ข้ากับเขามีฐานะเป็นศิษย์อาจารย์ แต่หากพูดถึงบรรดาศักดิ์ เขาฐานะสูงกว่าข้า เขาจะคารวะข้าเยี่ยงศิษย์คำนับอาจารย์ ไยมิเท่ากับทำให้แม่ทัพใต้บัญชาของเขาลำบากใจ ดังนั้นข้าจึงรีบขวางไว้แล้วบอกว่า “หากเจ้าจะคำนับเต็มพิธีการเช่นนี้ก็ค่อยทำในที่ส่วนตัวก็แล้วกัน เจ้าจะให้แม่ทัพใต้บัญชาของเจ้าต้องคำนับเต็มพิธีการตามเจ้าด้วยหรือ”
เจียงไห่เทาหันกลับไปมองแม่ทัพทั้งหลายด้านหลังแล้วก็รู้สึกอับอาย เขาก้าวเข้ามาโค้งคำนับเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ตอนนี้สถานการณ์ที่ติ้งไห่มั่นคงแล้ว ข้าอยากจะฟังความเห็นของท่านอาจารย์ พวกเราสมควรบุกตีอู๋เย่ว์เช่นไร”
ข้าเดินตามเจียงไห่เทาเข้าไปในห้องโถงด้านในจวน ระหว่างเดินก็เอ่ยไปพลาง “เจ้าต้องมีแผนการแล้วแน่ มิทราบว่าเจ้าคิดจะทำเช่นไร”
เจียงไห่เทาตอบว่า “หากบุกทำลายกองเรืออวี๋หังได้ อ่าวหังโจวก็จะมิมีคู่ต่อกรอีก เพียงแต่อวี๋หังเป็นกองเรือที่สำคัญอย่างยิ่งมาเสมอ เกรงว่าคงยึดมิง่าย ข้าตั้งใจจะยึดเมืองไห่โจวก่อน”
ข้าตอบว่า “พักนี้เจี้ยนเย่เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ตลอดมาซั่งเหวยจวินขโมยความดีความชอบ โยนความผิดเก่งเป็นที่สุด หนนี้ติ้งไห่ถูกกองทัพเราบุกยึด เขาจะต้องส่งต่อค่ายทหารติ้งไห่ให้ลู่ช่านเป็นแน่ แต่เขาคงมิปล่อยมือจากอำนาจทหารที่ค่ายทหารหนิงไห่ ดังนั้นพวกเรามิจำเป็นต้องกังวลว่ากองเรือของหนิงไห่จะบุกลงใต้มาตีติ้งไห่ กลับกันสมควรระวังการโจมตีกลับของลู่ช่านเอาไว้
ในเมื่อกองเรืออวี๋หังบุกยึดมิง่าย กองทัพเราก็มิจำเป็นต้องรีบร้อนบุกอวี๋หัง ไคว่จี อวี๋เหยา เจิ้นไห่ จยาซิง ไห่หนิง ผิงหูล้วนเป็นเมืองสำคัญแถบอู๋เย่ว์ แต่กำลังทหารที่คอยป้องกันมิเพียงพอ กองทัพเราจะฉวยโอกาสตอนนี้ที่ลู่ช่านยังเดินทางมามิถึงเย่ว์จวิ้น ปล้นคลังกับเสบียงของเมืองสำคัญเหล่านี้ให้เกลี้ยงเสียก่อน เอาเสบียงจากศัตรู หลังจากนั้นต่อให้เย่ว์จวิ้นถูกลู่ช่านยึดกลับไป กองทัพเราก็มีต้นทุนเพียงพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังปล้นชายหนุ่มจากตามแนวชายฝั่งได้ จากนั้นปล่อยพวกเขาไว้บนเกาะ บังคับให้พวกเขาเพาะปลูกบนเกาะไว้เติมเสบียงที่พร่องไปของกองทัพเรา
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้กองเรือหนิงไห่ขัดขวางเสบียงเสริมของกองทัพเราที่มาจากชิงโจวก็ไร้ประโยชน์ ขอเพียงหยั่งเท้ามั่นคง ดินแดนอู๋เย่ว์ช้าเร็วย่อมตกอยู่ในมือของกองทัพเรา”
เจียงไห่เทาฟังคำพูดนี้จบก็หัวเราะ “นี่เป็นการกระทำที่พวกเรามักทำตอนเป็นโจรสลัด ปล้นชิงเงินทอง เสบียงและผู้คน ทำให้ศัตรูเสียหายแต่เป็นประโยชน์กับฝั่งตน คิดมิถึงวันนี้ยังจะต้องทำเช่นนี้อีก ผู่ถัว เหมาะกับการกักขังเชลยมากที่สุด แต่เดิมข้าเตรียมจะบุกยึดมันในอีกไม่กี่วัน ตอนนี้ดูท่าสมควรรีบลงมือให้เร็วสักหน่อย ขอท่านอาจารย์โปรดวางใจ ภายในสิบวันชายหนุ่มจากชายฝั่งเย่ว์จวิ้นล้วนจะตกอยู่ในกำมือของข้า รอลู่ช่านมาถึงเย่ว์จวิ้นก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเศร้าหมอง นั่งมองดินแดนอู๋เย่ว์ถูกข้าปล้นจนเกลี้ยง”
ข้าส่ายศีรษะเอ่ยว่า “เรื่องนั้นก็ไม่แน่ ถึงเวลานั้นเป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์คุมเชิงกัน เขามิมีกำลังทหารมากพอขับไล่เจ้าออกจากติ้งไห่ ส่วนเจ้าก็มีกำลังทหารมิพอยึดครองอู๋เย่ว์ แต่เจ้าวางใจเถิด ลู่ช่านอยู่ในเย่ว์จวิ้นนานมิได้หรอก จ่างซุนจี้รับบัญชาบุกตีเซียงหยาง หนนี้จักต้องยึดมาให้จงได้ ถึงเวลาลู่ช่านย่อมมิอาจรั้งอยู่ที่เย่ว์จวิ้นคอยขัดขวางเจ้าได้แล้ว”
เจียงไห่เทาทำท่าครุ่นคิด “ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ในช่วงเวลานี้ข้าจะทกให้ลู่ช่านต้องติดอยู่ที่เย่ว์จวิ้น จะได้สอดรับกับสงครามฝั่งเซียงหยาง”
ข้ายิ้มละไม เด็กคนนี้พอคุยเรื่องเดินทัพออกศึกฉลาดยิ่งนัก ข้าเผยออกมาเพียงนิดเดียว เขาก็ทราบว่าเป้าหมายสำคัญของศึกหนนี้คือที่เซียงหยาง หนนี้ข้ายืนกรานจะติดตามกองเรือล่องลงใต้ อ้างว่าอยากมาดูสงครามกองเรือ แต่ความจริงข้าอยากใช้โอกาสกลับมาเยือนจยาซิงเพื่อจัดการปัญหาเรื่องตระกูลจิง แล้วถือโอกาสมาเซ่นไหว้มารดาสักหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีความกล้าพอปล่อยข้าไปหรือไม่
คิดถึงตรงนี้ข้าก็เผยรอยยิ้มประหลาด เจียงไห่เทาที่เดินอยู่ข้างกายข้าหนาวสั่นขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วหันหน้าหนี ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
ตอนนี้ลู่ช่านกำลังล่องเรือตรงมายังอวี๋หัง หนนี้เขาพาทหารหนึ่งหมื่นนายของกองเรือจิ่วเจียงมาด้วย เขาตัดสินใจว่าจะพาพวกเขามาเติมกำลังพลของกองเรืออวี๋หัง หากไม่มีกองทหารที่กำลังรบมากพอสักกอง ต่อให้ก่อตั้งกองกำลังอาสาขึ้นมาก็ไม่มีโอกาสใช้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นต้องบีบกองทัพต้ายงให้ถอยออกไปก่อนจึงจะมีโอกาสก่อตั้งกองกำลังอาสาได้
ลู่ช่านมิมีอารมณ์มองดูทิวทัศน์สองฟากฝั่ง ในใจคิดว่า ขอเวลาข้าเพียงสามปี ข้าจะฝึกฝนกองทหารชั้นยอดสักกองขึ้นมาในดินแดนอู๋เย่ว์ให้สำเร็จ ช่วงชิงติ้งไห่กลับมาอีกหน ขับไล่กองทัพต้ายงออกไป
แต่แล้วในหัวใจก็มีความกลัดกลุ้มสายหนึ่งผุดขึ้นมา หนนี้กองทัพต้ายงล้อมเซียงหยางจะเพียงบุกหลอกๆ จริงหรือ ครานี้กองเรือตงไห่รุกรานอู๋เย่ว์ก็เหนือความคาดหมายของเขาแล้ว หากหนนี้เซียงหยางเกิดเรื่องมิคาดฝันอันใดขึ้นอีก เกรงว่าสถานการณ์คงอันตรายยิ่งนัก
ลู่ช่านถอนหายใจแผ่วเบาด้วยทราบว่าตนเองมิมีตัวเลือกอื่น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซั่งเหวยจวินมิยอมให้ตนเองสอดมือเข้ามายุ่งในอู๋เย่ว์ หากมิใช่ว่าหนนี้กองทัพต้ายงรุกรานอู๋เย่ว์ ซั่งเหวยจวินก็คงยังมิยินยอมให้ตนเองได้กุมอำนาจทหารเหนือกองทัพอู๋เย่ว์ ครานี้หากตนมิเดินทางมาอู๋เย่ว์ด้วยตนเอง น่ากลัวว่าที่แห่งนี้คงกลายเป็นฐานเสริมกำลังให้ศัตรู ส่วนเซียงหยางมิว่าอย่างไรก็ยังมีหรงเยวียนอยู่ น่าจะต้านทานไว้ได้กระมัง เขาปลอบตนเองอยู่ในใจครู่หนึ่ง สุดท้ายลู่ช่านก็หันเหความคิดทั้งหมดมาขบคิดว่าจะปรับปรุงแนวป้องกันของเย่ว์จวิ้น ป้องกันมิให้กองทัพต้ายงบุกเข้าแผ่นดินด้านในอย่างไร