เล่ม 1 ตอนที่ 250-2 ฉลองสิ้นปีพร้อมหน้า พิธีแต่งตั้งยศ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 250-2 ฉลองสิ้นปีพร้อมหน้า พิธีแต่งตั้งยศ

เฉียวเวยจ้องเขาเขม็ง รอดูเขาสุดจะทนกับรสชาติจนเป็นลมในวินาทีต่อมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง แล้วยัดเกี๊ยวส่วนที่เหลือทั้งหมดเข้าปาก

“รสชาติเป็นอย่างไร” เหอจั๋วถาม

เฉียวเจิงตอบด้วยสีหน้าเลื่อมใส “อร่อยกว่าที่ข้าทำเองมาก ท่านพ่อเข้าครัวหนแรกจริงหรือ เหตุใดมีพรสวรรค์เช่นนี้เล่า”

เหอจั๋วทำหน้าขรึม “ไม่ต้องมาประจบ”

แต่น้ำเสียงเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก!

จีหมิงซิวชิมบ้างหนึ่งตัว รสชาติใช้ได้จริงๆ

เฉียวเวยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นางกินอาหารของพ่อครัวมือใหม่อย่างท่านตาด้วยความรู้สึกประหนึ่งกำลังจะก้าวสู่ห้วงมรณะ ผลปรากฏว่านางประหลาดใจยิ่งนัก รสชาติของเกี๊ยวชามนี้อาจไม่อร่อยเท่าที่นางทำ แต่ก็รสชาติดีอย่างหาได้ยาก

เจ้าซาลาเปาน้อยกับธิดาเทพทยอยกินกันคนละตัวสองตัว แป้งที่ห่อเหนียวนุ่ม ตัวเนื้อนุ่มเด้ง รสชาติเค็มหน่อยๆ พอเหมาะพอดี แล้วยังมีรสหวานเลือนรางคล้ายมีแต่ก็เหมือนไม่มีอยู่เสี้ยวหนึ่ง อร่อยจนทำให้คนยิ้มหน้าบาน

เฉียวเวยกินไปก็โล่งใจไป ฝีมือทำครัวของท่านตาไม่เลวจริงๆ ในที่สุดเผ่าถ่าน่าก็มีคนที่ทำอาหารเป็นสักคน!

ภายในห้องครัว หญิงรับใช้ที่ปัดกวาดเช็ดล้างสองสามคนยกเกี๊ยวร้อนควันฉุยอีกถาดออกมา

หญิงรับใช้นางหนึ่งถามว่า “ไม่ได้ยกออกไปแล้วหรือ เหตุไฉนยังเหลือมากมายขนาดนี้เล่า”

หญิงรับใช้อีกคนบอกว่า “ด้านนอกเป็นของที่เหอจั๋วทำ ถาดนี้เป็นของที่นายท่านเฉียวทำ ลองชิมหน่อยซิ”

ทุกคนลองชิมเสร็จก็พบว่ารสชาติแย่จนเกือบอาเจียน!

ชนเผ่าถ่าน่าไม่มีดอกไม้ไฟ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงทำประทัดขึ้นมาสองสามพวง เจ้าซาลาเปาน้อยสองคนไปจุดในสวนอย่างเบิกบานใจ

ตกกลางคืน ธิดาเทพพักค้างคืน

เฉียวเวยเพิ่งทราบว่าการที่ธิดาเทพมาฉลองวันสิ้นปีที่ปราสาทเฮ่อหลันไม่ใช่เพราะขนบธรรมเนียมประการใด แต่เป็นเพราะความเอ็นดูของเหอจั๋ว ในใจของเหอจั๋ว มองธิดาเทพเป็นคนในครอบครัวของตนมานานแล้ว ดังนั้นธิดาเทพจึงเข้ามาในปราสาทเฮ่อหลันได้โดยไม่มีคนขัดขวาง ก่อนหน้านี้เฉียวเวยยังคิดว่านางมีอำนาจมากมายนักเสียอีก

พวกผู้ชายไปจุดประทัดในสวน นางกำนัลชิงเหยียนนำเฉียวเวยไปที่ห้องของตน ที่นั่นเป็นเรือนแยกหลังหนึ่ง ตัวเรือนหลักเป็นที่พักของเฮ่อหลันชิง เรือนตะวันตกเป็นเรือนพักแขก คนที่เคยอาศัยก่อนหน้าคือสหายร่วมเรียนของเฮ่อหลันชิง ยามนี้ว่างอยู่

ห้องของเฉียวเวยอยู่เรือนตะวันออกเหมือนกับตอนอยู่เรือนสี่ประสาน ลูกน้อยสองคนอยู่เรือนทิศเหนือ

แต่เรือนทิศใต้ถึงจะเป็นเรือนที่ทิวทัศน์งดงามที่สุด พื้นที่กว้างขวางที่สุด เครื่องเรือนตกแต่งหรูหราที่สุดหากไม่นับเรือนหลัก

ยามเดินผ่านเรือนทิศใต้ เฉียวเวยก็ถามขึ้นมา “เหตุใดข้าจึงไม่ได้พักที่นี่เล่า”

นางกำนัลชิงเหยียนตอบอย่างกระอักกระอ่วน “นี่เป็นเรือนของธิดาเทพ ก่อนนี้เหอจั๋วไม่ทราบว่าจั๋วหม่ามีบุตรี คิดว่าห้องนี้คงได้แต่ปล่อยว่างไว้จึงมอบให้ธิดาเทพอาศัย”

ให้ครั้งหนึ่งก็ยกห้องที่ดีที่สุดให้ ดูท่าท่านตาของนางจะไม่ได้เอ็นดูธิดาเทพคนนี้ธรรมดาๆ เสียแล้ว

“ท่านตาของข้าเอ็นดูธิดาเทพพอสมควรเลยสินะ”

นางกำนัลชิงเหยียนยิ้ม “จั๋วหม่าชอบทำให้เหอจั๋วโมโห กตัญญูเอาใจใส่สู้ธิดาเทพไม่ได้”

เฉียวเวยเหลือบมองนาง “มารดาของข้าอกตัญญูอีกเท่าใดก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจริงๆ”

นางกำนัลชิงเหยียนรีบตอบ “จั๋วหม่าน้อยกล่าวถูกต้องที่สุดแล้ว”

เฉียวเวยถามต่อ “ธิดาเทพมักจะมาพักที่นี่หรือ”

นางกำนัลชิงเหยียนตอบ “เรื่องนี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น แต่ละวันธิดาเทพต้องร่ำเรียนวิชามากมาย ทั้งยังต้องฝึกฝนวรยุทธ์ ท่องจำตำรา พบผู้คนในเผ่า…ไม่ว่างเหมือนจั๋วหม่า ทุกปีมีแต่วันฉลองสิ้นปีหรือเทศกาลนางจึงจะมาค้างสักคืน”

เฉียวเวยแดกดัน “พูดเสียเหมือนกับว่ามารดาของข้าวันๆ ไม่มีงานมีการทำ”

นางกำนัลชิงเหยียนยิ้มตอบ “ชิงเหยียนไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ธิดาเทพยุ่งมากจริงๆ ดังนั้นจึงยากจะมาเยือนปราสาทสักหน”

มารดาของนางทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ต่อจากนั้นก็มีธิดาเทพที่ทำอะไรก็เป็นทุกอย่าง ธิดาเทพคือร่างจำแลงของทวยเทพและความถูกต้อง คิดดูก็รู้ว่าทุกคนรังเกียจมารดาของนางมากเพียงใดและชมชอบธิดาเทพมากเพียงใด

บอกได้เพียงว่าโชคดีที่ธิดาเทพผู้นี้ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริง หากนางคลอดออกมาจากครรภ์ภรรยาของเหอจั๋วจริงๆ มารดาของนางยังจะเหลืออะไรอีกเล่า

เฉียวเวยไม่จู้จี้เรื่องที่พัก แล้วก็ไม่ถือสาที่ธิดาเทพอาศัยอยู่ในห้องที่แต่เดิมสมควรเป็นของตนเอง แต่พอนึกถึงท่าทีที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดยามนางกำนัลชิงเหยียนเอ่ยถึงมารดาของนางกับธิดาเทพ ในใจก็ขุ่นเคืองอย่างไร้สาเหตุ

เฉียวเวยเปิดหีบ หยิบเสื้อผ้าของสมาชิกครอบครัวทั้งสี่คนออกมาเรียงเข้าตู้ทีละตัว

นางกำนัลชิงเหยียนยกขนมผลไม้กับเครื่องประทินโฉมอย่างดีมาให้

เฉียวเวยมองข้าวของสารพัดบนโต๊ะ แววตาวูบไหว ถามว่า “ธิดาเทพก็มีเหมือนกันหรือ”

นางกำนัลชิงเหยียนตอบว่า “ของธิดาเทพส่งไปให้แล้วเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยแค่นเสียงเหอะเบาๆ “ข้ามีอะไร นางก็มีอย่างนั้นหรือ”

นางกำนัลชิงเหยียนชะงัก ไม่รอให้นางเอ่ยปากตอบ ก็ได้ยินเฉียวเวยถามอีกว่า “ในมือเจ้าถืออะไรอยู่”

“เสื้อคลุมหลงเซียว[1]เจ้าค่ะ”

เฉียวเวยเคยเห็นเสื้อคลุมหลงเซียวที่เมืองเฟยอวี๋ไม่น้อย ว่ากันว่าเงือกเป็นคนทำขึ้นมา แต่ความจริงก็ทอมาจากมือของภรรยาชาวประมงทั่วไป เสื้อคลุมหลงเซียวของชนเผ่าถ่าน่างดงามกว่าเสื้อคลุมหลงเซียวของเมืองเฟยอวี๋มากนัก บางเบานุ่มนิ่ม สีสันก็สดสวย พอสวมลงบนร่างราวกับห้อมล้อมด้วยริ้วเมฆหลากสี ยามแสงตะวันส่องสะท้อนเป็นประกาย งดงามตราตรึงยิ่งนัก

นางกำนัลชิงเหยียนมองไม่ละสายตา “งามจริง”

เฉียวเวยส่องกระจก นางรู้สึกว่าตนเองงดงามจนอารมณ์ดียิ่งนัก พอสวมแล้วจึงไม่ถอด สวมเสื้อคลุมหลงเซียวออกไปที่สวนน้อย

ในสวนดอกไม้ จีหมิงซิวกับเหอจั๋วกำลังดวลหมากกันอย่างคร่ำเคร่ง เฉียวเจิงเป็นลูกไล่ที่ดีคอยรินน้ำส่งถ้วยน้ำชาให้ท่านพ่อตา

ทั้งสามคนเหลือบเห็นเฉียวเวยแต่งตัวจัดเต็มออกมา แววตาก็ชะงักค้างในทันที

เฉียวเวยเสมือนเหยียบก้อนเมฆมาเยือน รอบตัวรายล้อมด้วยประกายระยิบระยับ รูปโฉมงดงามผิวนวลเกลี้ยงเกลา งามดั่งเทพเซียน ต่อให้เทพธิดาฉางเอ๋อลงมาจากดวงจันทร์ก็คงไม่พ้นงามเช่นนี้

ดวงตาของจีหมิงซิวทอประกายลึกล้ำอย่างยากจะปกปิด เฉียวเวยสบสายตาเขา หัวใจก็พลันเต้นตึกตัก นางก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะเหตุใด!

เหอจั๋วจูงมือเฉียวเวยเข้ามามองซ้ายมองขวา ชอบอกชอบใจยิ่งนัก “นี่ถึงดูเหมือนเด็กตระกูลเฮ่อหลันของข้า”

เฉียวเจิงคิดในใจ ท่านพ่อตา เสี่ยวเวยแซ่เฉียวต่างหาก

เฉียวเวยนั่งลงข้างเหอจั๋ว ข้างกายเหอจั๋วมีที่นั่งทั้งหมดสองที่ เฉียวเวยยึดไว้ที่หนึ่ง ธิดาเทพที่มาสายกว่าจึงได้แต่ไปนั่งอีกที่หนึ่ง แต่เวลานี้เอง วั่งซูก็วิ่งตึงตังเข้ามาปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ “ท่านตาทวดข้าหิวน้ำมากเลย!”

ธิดาเทพชะงักเท้า

เหอจั๋วรินน้ำอุ่นถ้วยหนึ่งป้อนนางอย่างรักใคร่

นางดื่มหมดก็ถอดเสื้อคลุมตัวน้อยของตนทิ้งไว้บนเก้าอี้ ก่อนจะวิ่งไปหาสือชีกับพี่ชาย

เฉียวเวยจุดประทัดหมด สือชีก็อุ้มวั่งซูเหินไปเหินมาบนหลังคา จิ่งอวิ๋นไม่มีอ้อมกอดแห่งรัก ได้แต่เกาะอยู่บนน่องของสือชีด้วยตนเอง จูเอ๋อร์ก็อยากบินๆ บ้าง ดังนั้นจึงเกาะห้อยอยู่กับขาของจิ่งอวิ๋นอีกต่อหนึ่ง ต้าไป๋ก็กอดขาของจูเอ๋อร์ไว้ เสี่ยวไป๋ก็ไปกอดขาของต้าไป๋อีกที…

สือชีพา ‘ลูกปัด’ สายยาวสายหนึ่งเหินไปเหินมายามค่ำคืน ภาพนี้น่าขันจริงๆ

หญิงรับใช้ทั้งหลายหัวเราะกันจนตัวงอ

สือชีเหินขึ้นไปบนหลังคาส่วนที่สูงที่สุดของปราสาทเฮ่อหลัน เสี่ยวไป๋ที่อยู่ด้านล่างสุดกระแทกกับแผ่นกระเบื้องเป็นตัวแรก จากนั้น ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! ต้าไป๋ จูเอ๋อร์ จิ่งอวิ๋นก็หล่นกระแทกแผ่นกระเบื้องราวกับลูกเห็บตก แม้จะถูกกระแทกจนเจ็บมาก แต่ได้นั่งชมดาวบนที่สูงเช่นนี้ก็คุ้มค่ายิ่งนัก!

ดวงดาราราวกับปูแผ่อยู่เบื้องหน้า เอื้อมมือก็คงคว้าลงมาได้สักดวง

เจ้าตัวน้อยทั้งห้าจ้องมองชนิดที่ตัดใจกะพริบตาไม่ลง

ไม่รู้ว่าชมอยู่นานเท่าใด วั่งซูก็ง่วงงุน หนังตาปรือปรอย พอปิดลงไปแล้วก็ไม่ลืมขึ้นมาอีก

สือชีมองแม่นางน้อยในอ้อมแขน ดวงตาทอประกายวิบวับคล้ายแสงของธารดารารวมเข้าด้วยกัน เขาหยิบกำไลเปลือกหอยที่ร้อยเชือกสีแดงเส้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้วสวมไว้บนมืออวบอ้วนของวั่งซู

กำไลวงนี้เขาซื้อมาจากเผ่าเกาเย่ว์ คนที่ขายกำไลบอกว่าหากสวมกำไลเส้นนี้ให้กับหญิงสาว ขอเพียงนางไม่ปฏิเสธ ชั่วชีวิตนี้นางก็เป็นของเจ้าแล้ว

สือชีมองดวงหน้าน้อยที่หลับลึกของวั่งซู แล้วพยักหน้าขึงขัง อื้ม ไม่ปฏิเสธ

ด้านหลังของเรือนน้อยมีห้องแถวหนึ่งให้หญิงรับใช้พักอาศัย หญิงสาวนางหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ตรงหัวเตียง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยวางถ้วยยาลงบนโต๊ะพลางบอกด้วยสีหน้าเฉยชา “ยาของเจ้า!”

กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไป

“พี่เยี่ยน” นางเรียกเขาไว้ “เจ้า…อยู่คุยเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยได้หรือไม่”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบอย่างเย็นชา “ข้ากับเจ้ามีเรื่องอันใดให้คุยกัน”

หญิงสาวสะอื้น “ข้ารู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าผิดต่อเจ้า ข้าไม่สมควรทรยศเจ้า ไม่สมควรทรยศทุกคน ข้าขออภัยมากมายอีกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ เจ้าคงไม่อภัยให้ข้าง่ายๆ…สองวันนี้นอนป่วยอยู่บนเตียง ข้าขบคิดมากมายหลายสิ่ง ข้าเดียวดายไร้ที่พึ่งมาหลายปี ไม่เคยมีผู้ใดดีต่อข้าเหมือนเจ้ามาก่อน หากให้โอกาสข้าอีกสักหน…ต่อให้ข้าต้องตาย…ก็จะไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อเจ้าอีกแล้ว”

หัวใจของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยสั่นไหว “ตอนนี้มาพูดเรื่องพวกนี้มีความหมายอะไรอีก”

หญิงสาวคว้ามือของเขาแผ่วเบา น้ำตาเอ่อคลอ “พี่เยี่ยน…เจ้ายินดีให้โอกาสข้าอีกสักหนหรือไม่ อำนาจลาภยศอันใด ชื่อเสียงเงินทองอันใด ข้าไม่ต้องการอีกแล้ว ข้าปรารถนาเพียงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ทำไร่ไถนาก็ดี เก็บซ่อนชื่อแซ่ก็ช่าง…พี่เยี่ยน…เจ้าไม่ปรารถนาหรือ”

ลูกกระเดือกของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยขยับขึ้นลง “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร!”

กล่าวจบก็สะบัดมือนางออก พุ่งออกจากห้องราวกับจะเผ่นหนี

เมื่อฉลองยามค่ำคืนจบ ทุกคนต่างก็กลับห้องของตน จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเล่นจนเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก กลับมาถึงห้อง เฉียวเวยจับทั้งสองคนวางตรงนั้นตรงนี้ อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จก็ยังไม่มีผู้ใดตื่นสักคน

หลังจากวางทั้งสองคนลงบนเตียง เฉียวเวยก็ไปหยิบเสื้อผ้าจะอาบน้ำ เพิ่งจะหันหลังกลับมาก็ชนกับอ้อมแขนของคนผู้หนึ่ง

จีหมิงซิวลมหายใจหอบกระเส่า ถูกชนเข้าทีหนึ่งนี้ แววตาของเขาก็ดำมืดขึ้นกว่าเดิม เขาจับนางกดติดผนัง จุมพิตริมฝีปากนุ่มนิ่ม ฉกฉวยน้ำหวานจากนางอย่างเผด็จการ

เฉียวเวยถูกดูดกลืนริมฝีปากจนเจ็บลิ้น แต่ก็ไม่ได้ห้ามเขา เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้เล่า

จีหมิงซิวกระชากกระโปรงของนางออกแล้วอุ้มนางขึ้น ให้สองขาของนางเกี่ยวอยู่กับเอวของตนเอง แล้วพรวดเข้าไปทันที

เฉียวเวยเกือบจะหวีดร้อง

ค่ำคืนนี้ หวานล้ำปานใดคงไม่ต้องบอก

วันต่อมาเฉียวเวยรู้สึกว่าตนเองเพิ่งได้นอนก็ถูกจีหมิงซิวเรียกให้ตื่น

เฉียวเวยไม่อยากตื่นจึงมุดศีรษะลงไปในผ้าห่ม

จีหมิงซิวยกมุมปากอย่างขบขัน “นางกำนัลชิงเหยียนมาแล้ว หากไม่ลุกอีก คงต้องให้นางเห็นสภาพ ‘เสื้อผ้าหลุดลุ่ย’ ของเจ้า”

เสื้อผ้า? บนร่างนางมีด้วยหรือ

เฉียวเวยถลึงตามองเขาแล้วดิ้นขลุกขลักลุกขึ้นมา

นางกำนัลชิงเหยียนถือเสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มชุดหนึ่งเดินเข้ามา “จั๋วหม่าน้อย ต้องบวงสรวงสวรรค์แล้วเจ้าค่ะ”

“บวงสรวงสวรรค์หรือ” เฉียวเวยอ้าปากหาว “บวงสรวงอะไรสวรรค์”

นางกำนัลชิงเหยียนสวมเสื้อบนร่างของเฉียวเวย “ท่านลุกขึ้นมาก่อน ข้าจะค่อยๆ บอกให้ท่านฟัง”

ทุกปีในวันขึ้นปีใหม่ของเผ่าถ่าน่าจะมีพิธีกรรมบวงสรวงสวรรค์ ธิดาเทพเป็นผู้ทำพิธี จุดประสงค์หลักของพิธีกรรมก็คือการปลอบโยนองค์เทพ ขอบคุณองค์เทพที่ประทานสายลมและสายฝนอันอ่อนโยน ในเวลาเดียวกันก็อธิษฐานขอให้ปีที่กำลังจะมาถึงอุดมสมบูรณ์ด้วย

พิธีกรรมนี้แรกเริ่มโหราจารย์เป็นผู้ประกอบพิธี แต่หลังจากตำแหน่งโหราจารย์สาบสูญไปกับกาลเวลาอันยาวนาน ธิดาเทพที่ดำรงตำแหน่งอยู่จึงทำหน้าที่แทน

ธิดาเทพสวมเสื้อคลุมยาวที่ประดับประดาอย่างประณีตสำหรับการเซ่นไหว้ ยืนเคร่งขรึมจริงจังอยู่บนแท่นบวงสรวง รอบนอกแท่นบวงสรวง สาวกของตำหนักธิดาเทพยืนออกันแน่นขนัด เหอจั๋วกับบรรดาผู้นำของชนเผ่าก็อยู่ในนั้นด้วย

วันนี้นอกจากการบวงสรวงเทพ ยังมีพิธีที่สำคัญยิ่งอีกพิธีหนึ่ง นั่นก็คือการยอมรับเฉียวเวยให้กลายเป็นจั๋วหม่าน้อยแห่งเผ่าถ่าน่าในนามขององค์เทพ มีแต่ต้องได้รับการยอมรับจากองค์เทพเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติบันทึกชื่อแซ่ลงไปในรายนามของตระกูล

ความจริงไม่ใช่เพียงเฉียวเวย คนในตระกูลต่างๆ ของเผ่าถ่าน่าทั้งหมดจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากเทพเจ้า ยามพวกเขาถือกำเนิด พวกเขาจะถูกอุ้มไปยังตำหนักธิดาเทพเพื่อทำพิธีรับขวัญและรับการอวยพรจากธิดาเทพ

เฉียวเวยชะเง้อคอชมจากห้องโถงของตำหนักที่อยู่ไม่ไกลนัก ธิดาเทพบนแท่นทำพิธีบวงสรวงลุล่วงแล้ว ต่อจากนี้เป็นพิธีอธิษฐาน พออธิษฐานจบก็จะผลัดถึงตาพิธีรับขวัญของนาง

ธิดาเทพถือกระบี่ยาว เหยียบย่างบนบันไดไม้ทีละก้าว ขึ้นไปยังแท่นประกอบพิธีสูงหนึ่งจั้ง สองมือของนางประคองกระบี่ชูขึ้นท้องฟ้าจากนั้นก็อธิษฐาน คนในเผ่าถ่าน่าทั้งหมดมองภาพนี้ด้วยความเคารพเลื่อมใส มือขวาแตะที่หัวไหล่ซ้าย ยืนยิ่งไม่ขยับ

เฉียวเวยรู้สึกคันยุกยิกที่แผ่นหลัง นางอยากจะเอื้อมมือไปเกา แต่เพิ่งจะขยับตัว นางกำนัลชิงเหยียนก็ถลึงตาใส่!

เฉียวเวยหงุดหงิดนัก นี่มันพิธีรับขวัญอะไรกัน ยุ่งยากเกินไปแล้วจริงๆ!

ธิดาเทพเริ่มร่ายรำอย่างชดช้อยบนแท่นสูงที่ไม่กว้างสักเท่าใด ท่วงท่างดงามผ่าเผยประหนึ่งวิหคชิงหลวน[2]สยายปีก เรือนกายเคลื่อนไหวอย่างสง่างามอยู่สูงกลางเวหา สีหน้าของทุกคนยิ่งเคารพเลื่อมใส ทว่าตอนที่ทุกคนคิดว่านางจะจบพิธีได้อย่างราบรื่นนั่นเอง แท่นสูงใต้เท้าก็พลันถล่ม นางประหนึ่งว่าวสายขาด ร่วงลงจากแท่นสูงอย่างไม่มีลางบอกใดๆ ทั้งสิ้น…

[1] เสื้อคลุมหลงเซียว เสื้อคลุมที่ตัดมาจากผ้าโปร่งบาง เป็นเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อนของหญิงชนชั้นสูง

[2] ชิงหลวน วิหคเทพในตำนานที่มักจะปรากฏคู่กับเจ้าแม่ซีหวังหมู่