บทที่ 1012 โทรศัพท์

บทที่ 1012 โทรศัพท์

คุณย่าซูจ้องคุณปู่ซูด้วยโทสะ แล้วพูดว่า “คุณก็อย่าคิดมาก นอนซะ!”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น คุณย่าซูก็ไม่สนใจคุณปู่ซู แล้วเดินตรงไปที่เตียง

คุณปู่ซูมองตามหลังคุณย่าซู แล้วจึงปิดไฟเข้านอน

เสี่ยวเถียนมองพี่ชายพี่สาวที่กำลังแสดงความรักกันแล้วรู้สึกหน่ายใจจึงเดินกลับเข้าบ้านไป

วันนี้ยังอ่านหนังสือได้ไม่เท่าไรเลย ใช้โอกาสนี้แหละอ่านสะสมชั่วโมงดีกว่า

พวกเสี่ยวลิ่วตั้งใจจะเข้าไปจุ้นสักหน่อย

เป็นเรื่องยากที่พี่สามจะพบคนที่เขาชอบ แถมยังเป็นคนที่พวกเขารู้จักเป็นอย่างดี

แต่ซูซานกงไม่ชอบใจเท่าไร และไม่อยากเห็นเจ้าพวกนี้เกาะติดหนึบด้วย

เด็ก ๆ หมดสนุกเมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการจึงแยกย้ายกันเข้านอน

ซานกงกับเสี่ยวเฉ่าสองคนอยู่ในห้องที่ว่างเปล่า แม้รู้สึกใกล้ชิดแต่ก็เป็นกังวล!

ซูเสี่ยวเถียนกับซูรื่ออันยังคงกังวลว่าพ่อจะไม่เห็นด้วย แต่ในเมื่อกล่าวออกไปแล้ว ในใจเธอก็โล่งขึ้นมาก

ณ ตอนนี้ก็เริ่มมุ่งมั่นที่จะอยู่ด้วยกันกับซูซานกงมากขึ้น

ทั้งสองพักเหนื่อยจนค่อนคืน แล้วจึงกลับไปพักผ่อนที่ห้อง

เป็นค่ำคืนที่ไร้เสียง

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อทุกคนในบ้านซูตื่นนอนและออกไปข้างนอก

ชายหนุ่มหญิงสาวก็ตื่นแล้วเช่นกัน

เสี่ยวเฉ่าก็เข้าครัวทำอาหารแต่เช้าตรู่ หลังจากนั้นก็มองผู้ใหญ่ในบ้านด้วยความเป็นกังวล

เมื่อคุณย่าซูเห็นเสี่ยวเฉ่าก็เป็นกันเองเหมือนเคย

ก่อนหน้านี้เธอเป็นลูกสาวของฉางจิ่วก็จริง แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นคนในครอบครัวซูแล้ว ย่อมต้องปฏิบัติอย่างเป็นกันเอง

“นั่งลงสิ กินข้าวด้วยกัน กินข้าวแล้วก็โทรหาฉางจิ่ว” คุณย่าซูนั่งลง บอกกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าคุณปู่ซูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

ซูซานกงซึ่งเดิมคิดว่าเขาจะถูกทุบตียามตื่นขึ้นมาในตอนเช้า พลันรู้สึกดีขึ้นมาก

เสี่ยวเถียนเห็นว่าคุณปู่ซูไม่ได้คัดค้าน ก็รู้ว่า คุณย่าน่าจะบอกเรื่องพี่เสี่ยวเฉ่าให้คุณปู่แล้ว

เธอยิ้มให้เสี่ยวเฉ่ากับซูซานกงด้วยรอยยิ้มเต็มเปี่ยม

เป็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้เลย

แต่ทั้งสองคนก็ไม่กล้าถาม

พวกเขาจึงได้แต่นั่งกินข้าวเงียบ ๆ

ระหว่างมื้ออาหาร คุณย่าซูทำตัวตามปกติ แต่คุณปู่ซูกลับดูอึดอัดใจ จนทำให้ซูซานกงสองคนกังวลใจ

หลังอาหารเช้า ไม่มีใครยุ่งกับการล้างจานด้วยซ้ำ กลับรอให้คุณปู่ซูหรือคุณย่าซูพูดแทน

บรรยากาศแบบนี้ ทำให้ซูซานกงยิ่งกลัวมากขึ้น เขาไม่รู้ว่าลุงฉางจิ่วจะอนุญาตการแต่งงานครั้งนี้หรือไม่

แม้ซูซานกงจะคิดว่า การที่ตนเองกลายเป็นลูกเขยอีกฝ่าย จะยอดเยี่ยมแค่ไหนก็ตาม

ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็น่าจะเป็นลูกเขยที่ดีในสายตาใครหลาย ๆ คน

แต่สิ่งที่แย่ก็คือ เขากับเสี่ยวเฉ่าเป็นคนตระกูลซู ถ้าลุงฉางจิ่วถือเรื่องนี้ เขาจะต้องคัดค้านแน่นอน

“ซานกง ถ้าพ่อฉันไม่เห็นด้วยล่ะ”

ซูเสี่ยวเฉ่ากลัวจนตัวสั่นไปหมด

ในฐานะลูกสาว เธอย่อมรู้จักพ่อของตนเป็นอย่างดี

ด้วยนิสัยและทัศนคติตามปกติของพ่อ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้

แต่เธอชอบซูซานกง และซูซานกงก็ชอบเธอ เธอจึงต้องเอาชนะความยากลำบากเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน

“ไม่เป็นไร ไม่ว่าลุงฉางจิ่วจะคัดค้านหรือไม่ ฉันจะอยู่กับเธอแน่นอน”

ซูซานกงพูดเสียงดังและทรงพลัง สิ่งนี้ทำให้ซูเสี่ยวเฉ่ามีพลังมากขึ้น

แต่สิ่งนี้เรียกสายตาไม่พอใจของคุณปู่ซู

เจ้าเด็กเหลือขอ รอโดนทรมานได้เลย!

“เสี่ยวเถียน หนูไปโทรศัพท์หน่อยสิ” ในที่สุดคุณย่าซูก็บอกให้เสี่ยวเถียนไปโทรศัพท์

ทุกคนต่างรู้สึกคาดไม่ถึง

ท้ายที่สุดแล้ว ซูเสี่ยวเถียนก็เป็นน้องเล็กสุดในครอบครัว ทั้งยังเป็นเด็ก เรื่องสำคัญแบบนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กเล็กได้ยังไง?

ถูกต้องแล้ว ในใจของตระกูลซู ซูเสี่ยวเถียนยังคงเป็นเพียงเด็กน้อย

อันที่จริง ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้ห่วงเรื่องนี้ เพราะเดิมทีเธอวางแผนไว้แล้วว่า หลังกินข้าวจะไปพบพี่อี้หย่วน

อีกทั้งคริสติน่ายังอยากมาพบตน และเวลาที่อยู่ตามลำพังกับพี่อี้หย่วนก็น้อยมาก จึงไม่สามารถเสียเวลาเปล่าได้

แต่เมื่อคุณย่าพูดแล้วในตอนนี้ เสี่ยวเถียนก็ไม่สามารถพูดได้ว่าเธอจะไม่โทร

ในที่สุด เสี่ยวเถียนก็โทรออก

หลังจากกดหมายเลขโทรศัพท์ เป็นอย่างที่คาดไว้เป็นซูฉางจิ่วที่รับสาย

“ลุงฉางจิ่ว หนูเสี่ยวเถียนเองนะคะ สบายดีหรือเปล่า?” ซูเสี่ยวเถียนทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

สองประโยคนี้ทำให้ซูฉางจิ่ว ที่อยู่ปลายสายรู้สึกสบายใจมาก

[เสี่ยวเถียนเองเรอะ ลุงสบายดี ทำไมถึงโทรหาลุงเล่า? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? หรือเกิดเรื่องอะไรกับเสี่ยวเฉ่า?]

เมื่อซูเสี่ยวเถียนได้ฟังสิ่งนี้ เธอก็เหลือบมองไปทางเสี่ยวเฉ่า จากนั้นก็ยิ้มและพูดกับซูฉางจิ่วที่ปลายสายโทรศัพท์

“ลุงฉางจิ่ว หนูสบายดี หนูอยากคุยด้วย พอดีมีเรื่องจะถามน่ะค่ะ”

เสี่ยวเถียนคิดครั้งแล้วครั้งเล่า พอลังเลไป ๆ มา ๆ ฉางจิ่วก็ทนไม่ไหว

[นี่สาวน้อย มีเรื่องอะไรบอกมาตรง ๆ ค่าโทรศัพท์มันแพงมาก!] ซูฉางจิ่วกล่าวติดตลก

“ลุงฉางจิ่ว หนูก็แค่อยากถามลุง ว่าลุงมีเงื่อนไขรับลูกเขยไหมคะ?”

เสี่ยวเถียนเหลือบมองไปทางซูซานกงในขณะที่ถามอยู่ ตัวเธอสั่นด้วยความประหม่า

ซูซานกงกับซูเสี่ยวเฉ่าทั้งสองคนจับมือกัน แต่ยิ่งกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ

พวกเขายังได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

จะได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของอีกฝ่ายแล้ว

[ลูกเขย? ไม่ใช่ว่า ในเมืองหลวงมีคนสนใจเสี่ยวเฉ่าของฉันนะ? เกิดอะไรขึ้น? หนูบอกฉันหน่อยสิ]

หลังจากฟังเสี่ยวเถียนถาม ซูฉางจิ่วก็ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

ลูกสาวไม่เด็กแล้ว พวกเขาสองสามีภรรยา ก็คิดเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว

แต่เสี่ยวเฉ่าเด็กคนนี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงดื้อดึงมากขนาดนี้ ถึงขนาดปฏิเสธหาคู่ครองอย่างเด็ดขาดเลย

ใครจะรู้ว่าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ใช้เวลาแสนสั้น ก็มีสัญญาณไฟเขียวส่งมาแล้ว

ซูฉางจิ่วคิดว่าอีกไม่นานตนจะมีลูกเขย ก็ตื่นเต้นจนลุกขึ้นยืน

ที่แท้ ลูกสาวของฉันก็กำลังมองหาลูกเขยในเมืองหลวง ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะเดิมทีชายหนุ่มที่นี่ไม่คู่ควรกับลูกสาวของเขาหรอก

ถึงยังไงลูกสาวของฉันก็เป็นคนดีมากนี่นา

อย่าพูดถึงในหมู่บ้าน กระทั่งโดดเด่นไปทั่วทั้งเขต เลย

คุ้มแล้วที่จะหาลูกเขยในเมืองหลวงน่ะ

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ มุมปากของซูฉางจิ่วก็ยิ่งฉีกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ รอยยิ้มของเขาแทบจะซ่อนไว้ไม่ได้

“หนูแค่ถามเฉย ๆ ค่ะ เรื่องนี้ยังไม่แน่นอน ส่วนเงื่อนไขของลูกเขย… ลุงฉางจิ่วว่า คุณสมบัติอย่างพี่สามของหนู คงไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวเถียนเล่นสายโทรศัพท์ขณะพูด

อันที่จริง ตอนพูดคำเหล่านี้ ในใจของซูเสี่ยวเถียนก็ประหม่าเหมือนกัน

ถ้าหากลุงฉางจิ่วโกรธจะทำอย่างไร?

[เหมือนพี่สามของหนูหรือ? ซานกงหรือ? ถ้าเป็นแบบเด็กคนนั้นก็ถือว่าใช้ได้นะ!]

แน่นอนว่าสำหรับซูซานกง ซูฉางจิ่วย่อมชอบอยู่แล้ว

พอคิดถึงความสำเร็จของซูซานกง แค่คิดว่าลูกสาวของตนสามารถหาลูกเขยได้ดีเหมือนอย่างซูซานกง ก็มีความสุขมาก ๆ แล้ว