ตอนที่ 257-2 ค้นพบเรื่องใหญ่

ในสมัยราชวงศ์นั้นมีตัวอักษรที่แพร่หลายอยู่สองชนิดหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็คืออักษรเยี่ยหลัว แต่เมื่อเวลาผันผ่าน ผู้ที่พูดภาษาเยี่ยหลัวได้ก็น้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็เหลือแต่ชนเผ่าถ่าน่า แต่ชนเผ่าถ่าน่าก็ถูกจงหยวนกลืนไปมากเช่นกัน คนที่พูดภาษาเยี่ยหลัวได้น้อยลงทุกวัน สุดท้ายก็เหลือเพียงโหราจารย์กับผู้สืบทอดของเขาเท่านั้น

หลังจากนั้นเมื่อตำแหน่งโหราจารย์ขาดการสืบทอด ภาษาเยี่ยหลัวก็หายไปจากสายตาของชนเผ่าถ่าน่าอย่างสิ้นเชิง

ผู้อาวุโสใหญ่มองชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือโหรงเหรงเหล่านั้นแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “จู่ๆ ข้าก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับหอตำราลับของตระกูลคุณชายหมิงยิ่งนัก น่าเสียดายจงหยวนไกลเกินไป พวกเราเดินทางออกจากเกาะแห่งนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นระหว่างที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็อยากไปเยี่ยมบ้านของคุณชายหมิงสักหนจริงๆ”

ไปดูโลกภายนอกสักหน

จีหมิงซิวมองเขา แล้วบอกอย่างจริงจังยิ่งนัก “ต้องมีโอกาสแน่ เชื่อในจั๋วหม่าน้อยของพวกเจ้า นางจะต้องพาพวกเจ้าออกไปจากเกาะแห่งนี้ได้แน่นอน”

ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มขมขื่น “ก็ได้แต่หวังเช่นนั้น”

ปากเอ่ยเช่นนี้ แต่ในใจไม่มีความหวังแต่อย่างใด บรรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนถูกขังอยู่บนเกาะมาหลายร้อยปี ไม่มีผู้ใดเดินทางจากไปอย่างแท้จริงได้ เก่งกาจเท่าจั๋วหม่า หลังจากผ่านไปห้าปีก็กลับมาแล้ว

นี่คือดินแดนแห่งชีวิตของพวกเขา หากออกไปจากที่แห่งนี้ พวกเขาก็เหมือนต้นไม้ขาดแสงตะวันย่อมเหี่ยวเฉาลงทุกวัน

จีหมิงซิวพลิกตำราสองสามเล่ม “ผู้อาวุโสใหญ่ ข้านำพวกมันกลับไปอ่านได้หรือไม่”

ผู้อาวุโสใหญ่ตอบอย่างจริงใจ “ขออภัยอย่างยิ่ง คุณชายหมิง ตำราเล่มอื่น เจ้านำไปได้ แต่ตำราเหล่านี้เป็นตำราชุดสุดท้ายของโหราจารย์ หากเสียหายไป แม้แต่ข้าก็ไร้หนทางซ่อมให้กลับคืนมา ขอให้คุณชายหมิงอ่านอยู่ที่นี่เถิด”

“ได้”

ตลอดทั้งคืนนั้น จีหมิงซิวอยู่ที่หอตำราลับ

เล่าถึงเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหลังจากถูกซัดหนึ่งฝ่ามือใส่ เขาก็บาดเจ็บภายในทันที เขาถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง กระอักเลือดออกมามากมาย

ในพจนานุกรมของเฮ่อหลันชิงไม่มีคำว่าออมมือ หนึ่งฝ่ามือซัดออกมาแทบจะเอาชีวิตของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปครึ่งหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนับว่ามีกำลังภายในลึกล้ำแล้ว ยังถูกเล่นงานจนไม่มีแรงสวนกลับสักนิด ถูกฝังอยู่ใต้กองซากปรักหักพัง กระอักเลือดไม่หยุด

อี้เชียนอินตาค้าง ได้ยินมานานแล้วว่าศิษย์ของชนเผ่าลึกลับคนหนึ่งกำจัดหนึ่งสำนักในจงหยวนได้ แต่เขาไม่เชื่อ ทว่าตอนนี้เห็นฝีมือของเฮ่อหลันชิง เขาไม่สงสัยแม้แต่น้อยอีกแล้ว

ริมฝีปากสีแดงของเฮ่อหลันชิงยกโค้ง “ยังมีผู้ใดจะช่วยนางอีกหรือไม่”

อี้เชียนอินส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง!

จีอู๋ซวงลูกกระเดือกขยับขึ้นลง แม้เขาไม่เคยคิดจะช่วยเซวียหรงหรง แต่เขาไม่ชมชอบความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นข่มเช่นนี้นัก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจมองผ่านเฮ่อหลันชิงไปเสีย!

“เจ้าหรือ” เฮ่อหลันชิงหันมามองเขา ทั่วร่างของนางเหมือนจะแผ่เสน่ห์เย้ายวนดุจนางมารออกมา

จีอู๋ซวงยืดตัวตรงทันใด เขาลุกพรวดตะโกนเสียงดังยิ่งนัก “เปล่า!”

เฉียวเวยหัวเราะฮ่าๆ ไก่เฒ่าผู้หยิ่งยโสตัวนี้ ดวงตาแทบจะงอกอยู่บนกระหม่อม กลับมาเจอนางทีไรเป็นต้องหน้าบูดหน้าเบี้ยว คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ถูกขู่ให้กลัวจนเป็นเช่นนี้ด้วย

เฮ่อหลันชิงเห็นรอยยิ้มของลูกสาวก็ดีใจแทบบ้า นางขยับเข้าไปใกล้เฉียวเวยแล้วกระซิบริมหู “ลูกสาวคนดี หากเจ้าชอบล่ะก็ แม่จะขู่เขาทุกวันเลยดีหรือไม่!”

จีอู๋ซวงสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย…

เฉียวเวยพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ คนผู้นั้นหลังจากนี้ค่อยจัดการ คิดกันก่อนดีกว่าว่าจะจัดการเจ้าตัวปลอมคนนี้อย่างไร ข้าชังนางนัก!”

คนที่ลูกสาวชิงชังก็คือศัตรูของนาง เฮ่อหลันชิงหรี่ตาลงอย่างอันตราย ฝ่าเท้าขยี้ลงไปหนึ่งหน เหยียบซี่โครงของหญิงสาวหักไปอีกหนึ่งซี่ หญิงสาวเจ็บจนสั่นไปทั้งตัว

“สังหารเสียเถิด” เฮ่อหลันชิงตอบ

ตอนนี้หญิงสาวตกอยู่ในกำมือของพวกนางแล้ว อยากมีชีวิตอยู่เป็นไปมิได้อย่างสิ้นเชิง อาจเป็นเพราะเดาได้แล้วว่าตนเองต้องตายแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ยามนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเฮ่อหลันชิงจึงไม่หวาดกลัวเท่าใดแล้ว

“สังหารอย่างไรดีเล่า” เฉียวเวยถาม

เฮ่อหลันชิงทำหน้าครุ่นคิด “ตัดหัวดีหรือไม่”

หญิงสาวคิดในใจว่า ตัดหัวก็ช่างเถิด เจ็บเพียงครู่เดียวก็จบแล้ว มีอะไรน่ากลัวเล่า

เฉียวเวยขมวดคิ้วเรียวเล็กของตนเอง “ไม่สาแก่ใจเท่าไร”

“รถแยกร่างเป็นอย่างไร” เฮ่อหลันชิงถาม

แพขนตาของหญิงสาวสั่นระริก แม้รถแยกร่างจะเจ็บปวดแสนสาหัส แต่พอศีรษะขาดก็ไม่เจ็บปวดแล้วเหมือนกัน ก็ไม่นับว่า…น่ากลัวมากเท่าใดนัก

เฮ่อหลันชิงดวงตาเป็นประกาย “แม่คิดออกแล้ว ถลกหนัง แม่ถลกหนังออกมา จากนั้นก็ยัดปุยฝ้ายเข้าไปให้หน้าตาเหมือนตัวนางตามเดิมทุกประการ”

หัวใจของหญิงสาวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง!

เฉียวเวยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านแม่เคยถลกมาก่อนหรือ”

เฮ่อหลันชิงทบทวนความทรงจำแล้วตอบว่า “หนังคนยังไม่เคย แต่หนังสัตว์เคยทำมาไม่น้อย เอานางมาฝึกมือก็ไม่เลว หลังจากนี้หากเจ้าชิงชังผู้ใดอีก แม่จะได้ถลกหนังมาให้เจ้าให้หมด! จะถลกให้สวยๆ! อากาศหนาวก็เอามาทำเสื้อผ้าใส่ได้!”

หญิงสาวร่างกายสั่นเทา

“ถลกจากตรงไหนดีนะ” เฮ่อหลันชิงเอ่ยขึ้นมา แล้วนั่งยองๆ ลงไป ปลายนิ้วลูบหน้าผากของนาง

เฉียวเวยทำหน้าตากระตือรือร้นยิ่งนัก “ท่านแม่ ถลกจากหัว ใบหน้านี่ก็เสียหมดสิ ลงมือเริ่มจากหลัง กรีดยาวลงมา กรีดแต่หนัง ไม่บาดเนื้อ จากนั้นยื่นมือเข้าไปควักในรอยผ่าถ่างออกสองข้างจากนั้นค่อยๆ แหวกเบาๆ เช่นนี้!”

หญิงสาวสองตาเหลือกลอย หวาดกลัวจนเป็นลมไปแล้ว!

เฉียวเวยมองนางอย่างดูถูกดูแคลน “เท่านี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว ยังคิดอยู่ว่าเจ้าจะใจกล้าสักเท่าใด!”

เวลานี้เองหญิงรับใช้ด้านนอกก็เดินเข้ามา “จั๋วหม่าน้อย ประมุขน้อยไซน่าขอพบเจ้าค่ะ”

ไซน่าอิง? เขาฟื้นแล้วหรือ

เฉียวเวยไปพบไซน่าอิงที่สวนดอกมไน้อย “ไซน่าอิง หลังจากเจ้ากับอี้เชียนอินไปเมืองเฟยอวี๋แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ จึงคลุ้มคลั่ง”

ไซน่าอิงตอบว่า “เรื่องนี้กลับไปข้าค่อยเล่าให้จั๋วหม่าน้อยฟังอย่างละเอียด วันนี้ข้ามาเพราะมีอีกเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องใด” เฉียวเวยถาม

ไซน่าอิงสีหน้าจริงจัง “ข้าพบศพร่างหนึ่งที่ชายฝั่ง ดูจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเหมือนคนที่จั๋วหม่าน้อยรู้จัก จึงอยากเชิญจั๋วหม่าน้อยกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินทางไปยืนยันด้วยกัน”

คนที่นางรู้จักหรือ คนที่นางรู้จักก็ล้วนอยู่ในปราสาทเฮ่อหลันกันหมดแล้วไม่ใช่หรือไร

เฉียวเวยนึกสงสัยในใจแต่ก็รับคำอย่างรวดเร็วยิ่งนัก “เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบาดเจ็บหนัก ไปไม่ได้ ข้าจะไปกับเจ้า”

ไซน่าอิงอึกอัก เอ่ยขึ้นมาช้าๆ “ดีที่สุด…ให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปเถิด”