ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 57 จักจั่นลอกคราบ (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เดือนสองวันที่สิบสาม กองเรือตงไห่ปล้นดินแดนอู๋เย่ว์ ชายฉกรรจ์ เงินทองและเสบียงตกเป็นของติ้งไห่หมดสิ้น เมืองอวี๋เหยา เจิ้นไห่ จยาซิง ไห่หนิง ผิงหู ล้วนมิมีที่ใดโชคดีรอดพ้น มีเพียงอวี๋หัง ไคว่จีได้กองเรือปกป้องจึงมิเป็นอันตราย

…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สี่

บนหอเยียนอวี่ เจ้าตระกูลจากตระกูลขุนนางทั้งหลายล้วนถูกเรียกมา แล้วยังมีบัณฑิตชื่อดังของจยาซิงอีกหลายคน ล้วนถูกกองทัพต้ายงบังคับเชิญตัวมา แต่เดิมคิดว่าแม่ทัพใหญ่ของกองทัพต้ายงเรียกหา ไม่ว่าผู้ใดก็คิดมิถึงว่าตัวการกลับเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง

เดิมทีเจ้าตระกูลเหล่านี้ในใจล้วนมีความคิดดูแคลนขุ่นเคืองอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กลับมีวาจารู้จักกาลเทศะ ล่วงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของคนทั้งหลายในจยาซิงดุจฝ่ามือ ในถ้อยคำยังเผยท่าทีเคารพ เพียงครู่เดียวก็ทำให้ทุกคนวางความเป็นศัตรูในใจลง

เด็กหนุ่มผู้นั้นสั่งให้จัดงานเลี้ยง ถามถึงภูมิประเทศและวิถีชีวิตของชาวบ้านในจยาซิง ในเมื่อทุกคนอยู่ในรังของผู้อื่น ไฉนจะกล้ามิตอบ อีกประการหนึ่ง พวกเขาก็ตั้งใจจะทำลายความมั่นใจของเด็กหนุ่มผู้นี้ จึงเสาะหาโอกาสถามคำถามยากๆ จนหอเยียนอวี่กลายเป็นสถานที่อภิปรายข้อปัญหา

แม้เด็กหนุ่มผู้นี้มิได้มีความเห็นล้ำเลิศประการใด แต่ท่วงท่าสุขุม โต้ตอบอย่างผ่อนคลาย ชักนำบรรยากาศเก่งยิ่งนัก ทำให้ภายในหอสนุกสนานกลมเกลียวจวบจนกระทั่งตะวันพลบ เจ้าตระกูลและบัณฑิตชื่อดังเหล่านี้ก็รู้สึกว่าเพลิดเพลินอยู่ เด็กหนุ่มผู้นั้นจึงสั่งให้ยกเทียนเข้ามาจัดงานเลี้ยงต่อ ทุกคนก็มิได้ปฏิเสธจริงจังนัก

แม้จิงซิ่นเป็นผู้ที่โดดเด่นในหมู่ชายหนุ่มผู้มีความสามารถในตระกุลขุนนางแห่งจยาซิง แต่ก็ยังขาดคุณสมบัติเข้าร่วมการสนทนาเช่นนี้ ทว่าตระกูลจิงแจ้งว่าเจ้าตระกูลล้มป่วยอยู่มิสะดวกมา ผู้ที่รับคำสั่งให้มากลับเป็นจิงซวิ่นชิง อาสามของจิงซิ่น

จิงซวิ่นชิงกังวลว่ามาหนนี้ยากจะเลี่ยงล่วงเกินกองทัพต้ายง เมื่อเห็นจิงซิ่นอยู่ที่นี่ อีกทั้งฮั่วฉงคล้ายจะให้ความสำคัญกับจิงซิ่นอย่างยิ่ง จิงซวิ่นชิงพลันเกิดไหวพริบ แสร้งบอกต่อคำสั่งของจิงฉางชิงว่าให้จิงซิ่นเป็นตัวแทนเจ้าตระกูลร่วมงานเลี้ยง

หลังจากฮั่วฉงได้ยินก็ยินดีอย่างยิ่ง ตั้งใจให้จิงซิ่นนั่งอยู่ข้างตนเอง หากกล่าวถึงฐานะของตระกูลจิง แม้จะถือว่าโดดเด่นพอสมควรในจยาซิง แต่คนที่เทียบเคียงกับพวกเขาได้ยังมีอีกสองตระกูล การที่ฮั่วฉงปฏิบัติต่อจิงซิ่นเช่นนี้จึงถือว่าให้เกียรติเป็นพิเศษอยู่บ้าง

จิงซิ่นรู้สึกว่าสายตาที่ทุกคนมองมาที่ตนเต็มไปด้วยความฉงนงงงวย เขาตกอยู่ใต้สายตาคนทั้งหลายจนยากจะนั่งอย่างสงบสุข ดังนั้นระหว่างงานเลี้ยงเขาจึงเงียบขรึมพูดน้อยคำ ทว่าระหว่างที่เขานั่งมอง เขาก็ยิ่งตกตะลึง แม้ฮั่วฉงจะถ่อมตัวโอนอ่อน แต่ก็ควบคุมสถานการณ์โดยรวมไว้อยู่กลายๆ ตระกูลขุนนางจยาซิงตกลงไปในกับดักของเขาแล้วก็ยังมิรู้ตัว

รัตติกาลค่อยๆ มืดมิดขึ้น เจ้าตระกูลเหล่านั้นเริ่มอยู่มิสุขอยู่บ้างแล้ว งานเลี้ยงหนนี้ดำเนินมาจนถึงเวลานี้ออกจะลากยาวเกินไปสักหน่อยแล้ว แต่เมื่อมองไปยังตำแหน่งประธาน เด็กหนุ่มแซ่ฮั่วผู้นั้นก็ยังคงสีหน้ากระตือรือร้น เริงรื่นอย่างยิ่ง เจ้าตระกูลเหล่านี้เริ่มวิตกกังวล จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่ารอบด้านมีทหารกองทัพต้ายงที่มาทำหน้าที่บ่าวรับใช้ แต่ละคนแววตามาดร้าย ในใจก็กังวลขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

พวกเขาทราบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เรียกพวกตนมาคงเพราะต้องการหยิบยืมอำนาจไปใช้ประโยชน์ แต่มิว่าจะต้องการสิ่งใด มาถึงยามนี้ก็สมควรประกาศได้แล้ว เหตุไฉนจึงถ่วงเวลามิยอมเลิกงานเลี้ยงเสียที หากเป็นเช่นนี้ ทุกคนย่อมเริ่มคิดเหลวไหลไร้สาระอย่างเลี่ยงมิได้ แต่คนเหล่านี้มากกว่าครึ่งล้วนเป็นผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์ พวกเขาย่อมมิกล้าทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วน กลับกันพวกเขาต่างเค้นสมองหาประเด็นขึ้นมาสนทนา ต่อให้ง่วงก็มิกล้าหาวออกมาให้เห็น

จวบจนรุ่งสางวันต่อมา ฮั่วฉงจึงลุกขึ้นคลี่ยิ้ม “ผู้เยาว์ได้สนทนากับผู้มีความสามารถทุกท่านตลอดคืน ได้ความรู้มามิน้อยจริงๆ น่าเสียดายใต้หล้ามิมีงานเลี้ยงใดมิเลิกรา แม้นค่ำคืนยาวนานก็ย่อมมีจุดสิ้นสุด”

เจ้าตระกูลของตระกูลจวินที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่ตระกุลขุนนางของจยาซิงฝืนลืมตาแดงก่ำลุกขึ้นกล่าวว่า “ได้ร่วมร่ำสุรากับที่ปรึกษาฮั่ว เป็นโชคดีของพวกเรา ท่านที่ปรึกษาอายุยังน้อยแต่เก่งกาจ หากมีคำชี้แนะ เชิญกล่าวได้เต็มที่ พวกเราย่อมช่วยทำอย่างเต็มที่แน่นอน”

เขาเองก็ทนมิไหวแล้ว แทนที่จะรออย่างมิรับรู้เจตนาดีจนแตกหักกับกองทัพต้ายง มิสู้เป็นฝ่ายถามราคาออกมาเองเลยจะดีกว่า ในสายตาเขา หากส่งมอบเงินทองเสบียงให้ก็คงจะหลบเลี่ยงภัยของการถูกสังหารได้ กองทัพต้ายงมิมีทางรั้งอยู่ที่จยาซิงนานอยู่แล้ว

ฮั่วฉงได้รับรายงานว่าท่านอาจารย์ออกจากจยาซิงแล้ว ช่วงเวลาหนึ่งค่ำคืนนี้กองทัพต้ายงทำทะเบียนรายนามของตระกูลขุนนางและสามัญชนในจยาซิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอเพียงตนเองออกคำสั่งเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมิแสร้งพูดกลบเกลื่อนอีก แต่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ผู้แซ่ฮั่วรับบัญชาจิ้งไห่โหว นำผู้คนจากอู๋เย่ว์ไปเสริมกำลังที่ติ้งไห่ ทุกท่านล้วนเป็นผู้น่านับถือในจยาซิง ขอทุกท่านโปรดร่วมมือช่วยเหลือ”

เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา แรกสุดทุกคนพากันมึนงง ต่อจากนั้นดวงตาก็ฉายแววหวาดผวา เบิกตามองฮั่วฉงอย่างพูดมิออก พวกเขาล้วนแสดงสีหน้ามิอยากเชื่อออกมา เด็กหนุ่มผู้เป็นมิตรและดูธรรมดาในสายตาของพวกเขาผู้นี้กลับกลายเป็นอสรพิษและสัตว์ร้ายในฉับพลัน

ฮั่วฉงคลี่ยิ้ม “คนในตระกูลของทุกท่านล้วนเก็บสัมภาระเริ่มออกเดินทางแล้ว รถม้าและเรือทั้งหมดในจยาซิงล้วนถูกกองทัพเรานำมาใช้จนสิ้นแล้ว ระหว่างทางทุกท่านย่อมมิลำบาก”

จิงซิ่นแต่เดิมเงียบงันมิพูดจา เมื่อฟังถึงตรงนี้กลับมีเพลิงโทสะพลุ่งพล่านในอก ลุกขึ้นตะเบ็งเสียง “กองทัพต้ายงเรียกขานตนเองเป็นกองทัพของราชา แต่กระทำการไร้คุณธรรม ลักตัวชาวบ้านไปยังทะเลเช่นนี้ได้อย่างไร นี่เป็นการกระทำของโจรผู้ร้าย ก่อกวนประชาชนเช่นนี้ ไฉนจะมีหน้ามองผู้คนในใต้หล้า”

ฮั่วฉงตอบอย่างนิ่งสงบ “สองแคว้นทำศึก วิธีการใดล้วนใช้ทั้งสิ้น การฆ่าล้างประชาชนในอู๋เย่ว์ก็อาจได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน แต่โอรสสวรรค์แห่งต้ายงของพวกเรามีเมตตา มิปรารถนาจะทำลายชีวิตของไพร่ฟ้าประชาชน จึงนำคนในอู๋เย่ว์ไปติ้งไห่เพื่อให้สถานการณ์มั่นคง เปรียบเทียบผลร้ายของทั้งสองสิ่งแล้วสิ่งใดเบากว่า พี่จิงน่าจะเข้าใจจึงจะถูก”

แม้น้ำเสียงของเขานิ่งสงบ แต่สายตาทอประกายเย็นยะเยือก คลับคล้ายเกิดจิตสังหาร จิงซิ่นชะงัก จิงซวิ่นชิงกระตุกแขนเสื้อของเขาเบาๆ ห้ามมิให้เขาเอ่ยต่อ จิงซิ่นจึงได้แต่นั่งลงอย่างหดหู่

การรุกรานอู๋เย่ว์หนนี้ของกองทัพต้ายงอยู่ในการคาดการณ์ของราชสำนักหนานฉู่อยู่แล้ว แต่แม้ติ้งไห่จะถูกยึด ตระกูลใหญ่และขุนนางในอู๋เย่ว์สองมณฑลก็มิคิดว่ากองทัพต้ายงจะขึ้นฝั่งมาเปิดศึก อย่างไรเสียกองทัพต้ายงก็มิมีรากฐานอยู่ในแผ่นดินอู๋เย่ว์ หากเลียนแบบโจรสลัดขึ้นฝั่งปล้นชิงก็ออกจะเสียเกียรติของแคว้นใหญ่ ผู้ใดจะคิดว่าคนที่บัญชาการกองเรือตงไห่จะเคยเป็นโจรสลัดมาก่อน แล้วยังมีฉู่จวิ้นโหวผู้มิยึดติดขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นเสนาธิการ ถึงขั้นวางแผนการปล้นผู้คนจากอู๋เย่ว์ไปไว้ในติ้งไห่ ใช้สิ่งนี้ต่อต้านหนานฉู่ในระยะยาว

หากเปลี่ยนเป็นแม่ทัพคนอื่นของต้ายงเดินทางมาคุมติ้งไห่ บางทีอาจเปลี่ยนวิธีการรบอย่างอื่น แต่เจียงไห่เทาทั้งเชื่อถือเจียงเจ๋อ ทั้งเคยปกครองกลุ่มโจรสลัด อีกทั้งหลังจากเขาเข้ากับต้ายง แม้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากจักรพรรดิต้ายง แต่ก็เป็นสิ่งที่ได้รับช่วงต่อมาจากบิดา ยังมิเคยสร้างความดีความชอบในสงคราม เรื่องนี้ในต้ายงถือว่าเป็นกรณีพิเศษ ดังนั้นเขาจึงปรารถนาจะใช้ผลงานในสงครามมาพิสูจน์ตนเองอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกใช้แผนการรบที่อาจถูกคนวิพากษ์วิจารณ์แผนนี้อย่างมิเก็บออมกำลัง

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ข้างใต้หอเยียนอวี่ก็มีเสียงเอะอะดังลอยมา เจียงซิ่นได้ยินเสียงก็มิสนใจว่าทหารกองทัพต้ายงจะกุมดาบอยู่ด้านข้างหรือไม่ เขาเดินไปริมหน้าต่างมองลงไป เห็นสองฝั่งถนนล้วนมีทหารต้ายงเข้าไปในบ้านของประชาชน ใช้เชือกมัดชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนหนึ่งตามรายชื่อรีบเร่งเดินไปทางนอกเมือง ผู้เฒ่าเด็กน้อยและพวกผู้หญิงร้องไห้เดินตามอยู่ด้านหลัง แต่ถูกทหารต้ายงถือดาบบีบให้ถอยไป

ภายในเมืองจยาซิงวุ่นวายไปหมด หัวใจของจิงซิ่นฉับพลันสับสนเคว้งคว้าง เวลานี้เองก็มีคนตะโกนเรียกชื่อแซ่ของเขา เขาหันกลับไปก็เห็นว่าภายในหอเยี่ยนอวี่เหลือเพียงเจ้าตระกูลของตระกูลใหญ่ที่ก้มหน้าคอตกเหล่านั้นกับทหารต้ายง เด็กหนุ่มอาภรณ์เขียวนามฮั่วฉงผู้นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ผู้ที่เรียกเขาก็คือทหารนายหนึ่งที่เร่งให้เขาเก็บของเพื่อออกเดินทาง

หนานฉู่รัชศกถงไท่ปีที่สิบสอง ต้ายงรัชศกหลงเซิ่งปีที่แปด กล่าวได้ว่าเป็นหายนะหนหนึ่งสำหรับตระกูลขุนนางและประชาชนในดินแดนอู๋เย่ว์ อวี๋เหยา เจิ้นไห่ จยาซิง ไห่หนิง ผิงหูถูกกวาดต้อนคนหนุ่มสาวไปห้าแสนคน ในหมู่คนเหล่านั้นมีตระกูลขุนนางของแต่ละท้องถิ่น บัณฑิตเลื่องชื่อจากตระกูลยากจน และช่างฝีมือแต่ละประเภทอยู่ด้วย

แผนการของกองทัพต้ายงเรียกได้ว่าเด็ดขาดใจเหี้ยมยิ่งนัก ประชากรของห้าเมืองมีอยู่เกือบสามล้านคน แต่ถูกกองทัพต้ายงกวาดต้อนไปหนึ่งในหก ในหมู่คนเหล่านั้นมีคนตระกูลขุนนาง บัณฑิตเลื่องชื่อจากตระกูลยากจนเกือบห้าหมื่นคน ช่างฝีมือหนึ่งแสนคน ที่เหลือล้วนเป็นคนหนุ่มสาว พวกเขาค้นหาคนตามสำมะโนประชากร ในร้อยลี้มิตกหล่นสักคน

เมื่อลู่ช่านนำกองเรือจิ่วเจียงเดินทางผ่านแม่น้ำในเจียงหนานมาถึงจยาซิง กองทัพต้ายงเพิ่งจะจากไปมิถึงหกชั่วยาม ลู่ช่านสั่งให้แม่ทัพใต้บัญชาเดินทางไปรับช่วงดูแลค่ายของกองเรืออวี๋หัง ส่วนตนเองนำกองทัพไล่ตามโจมตีกองทัพต้ายง จนปัญญาที่กองทัพต้ายงวางแผนมาอย่างรอบคอบและเคลื่อนไหวว่องไวนัก

ลู่ช่านไล่ตามไปจนถึงเหยียนกวน สุดท้ายได้แต่มองกองทัพต้ายงล่องเรือออกทะเลไปอย่างสบายอุรา เหลือเพียงลู่ช่านทอดถอนใจด้วยความเสียดาย ขณะเดียวกันก็อดถอนหายใจชื่นชมแผนการอันโหดเหี้ยมและเหนือล้ำของผู้บัญชากรกองทัพต้ายงไม่ได้

ต้องทราบว่ากองทัพต้ายงที่ถอนกำลังจากไปมิได้จากไปตัวเปล่า ระหว่างทางทั้งปล้นสะดมเงินทองและเสบียง ทั้งข่มขู่ประชาชน แต่กองทัพต้ายงกลับถอนกำลังกลับไปในทะเลได้อย่างมิชักช้าสักนิด จะมิให้ลู่ช่านนึกชื่นชมได้เช่นไร

ลู่ช่านยืนอยู่บนฝั่งมองลำเรือที่ชูธงของกองทัพต้ายงล่องจากไป แล้วถอนหายใจยาวอย่างชิงชังแต่จนปัญญา

ตอนนี้เอง กองเรืออวี๋หังที่ได้รับคำสั่งจากเขาก็เคลื่อนมาอย่างเชื่องช้า ลู่ช่านทราบว่าตลอดมากองเรืออวี๋หังรวมกลุ่มเป็นพรรคพวกเดียวกัน อีกทั้งยังลุ่มหลงอยู่ในความสงบสุข มิมีความกล้าหาญจะออกทะเลสู้รบนานแล้ว จึงทำได้เพียงตำหนิเบาๆ สองสามประโยค เรื่องก็จบลงเช่นนี้

การจัดระเบียบกองทัพเรืออวี๋หังใหม่ต้องการแม่ทัพจำนวนหนึ่งคอยช่วย วันเวลาต่อจากนี้ลู่ช่านทำได้เพียงจัดกระเบียบกองเรือไปพลาง ซ่อมบำรุงป้อมปราการริมทะเลไปพลาง เพื่อขัดขวางกองทัพต้ายงยกพลขึ้นบกปล้นชิงอีกหน

ดินแดนอู๋เย่ว์เสียหายหนักหนนี้ ทิ้งครอบครัวที่สิ้นเนื้อประดาตัวไว้นับมิถ้วน ประชาชนอู๋เย่ว์ผู้เจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัวกังวลว่าครอบครัวจะถูกแก้แค้นจึงมิสนับสนุนการก่อตั้งกองกำลังอาสา หากมิใช่เพราะลู่ช่านชื่อเสียงเลื่องลือ โน้มน้าวตระกูลใหญ่ที่เหลือรอดในอู๋เย่ว์ให้ลุกขึ้นมาปกป้องตนเอง รวมทั้งมีจอมยุทธ์ในยุทธภพช่วยเหลือเต็มกำลัง ช่วยปลุกระดมอีกแรงหนึ่ง เกรงว่าเรื่องก่อตั้งกองกำลังอาสาคงจะลงแรงเป็นเท่าตัวแต่สำเร็จเพียงครึ่งเดียว

ในขณะที่ลู่ช่านยุ่งอยู่กับการป้องกันชายฝั่งอู๋เย่ว์ ข่าวหนึ่งก็ส่งมาถึงหูเขา ทำให้สองคิ้วของเขาขมวดเป็นปม ข่าวนี้ก็คือข่าวที่ว่าเจียงเจ๋อฉู่จวิ้นโหวแห่งต้ายงอยู่ที่ติ้งไห่ อีกทั้งยังเคยมาเยือนจยาซิงเพื่อเซ่นไหว้มารดาผู้ล่วงลับด้วยตนเอง