บทที่ 1057 โลกอนธการดึกดำบรรพ์
“ท่านปฐมบรรพชนขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเงาร่างลึกลับนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว ครั้งนี้เขาพูดกับข้าด้วยขอรับ!”
จู่ๆ ซั่นเอ้อร์ก็ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตึงเครียด หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงถูกเขาทำให้ตกใจเสียแล้ว กะทันหันเกินไปจริงๆ
หานเจวี๋ยที่กำลังสอดส่องโลกปฐมยุคอยู่ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เขาพูดว่าอะไร”
ซั่นเอ้อร์ตอบว่า “เขาบอกว่า เขากำลังจะมาแล้วขอรับ”
“มีอีกหรือไม่”
“ไม่มีแล้วขอรับ…”
แค่นี้หรือ
หานเจวี๋ยฟังแล้วไม่เข้าใจ เขาจ้องมองซั่นเอ้อร์
ซั่นเอ้อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “มีแค่ประโยคนี้ขอรับ ข้าลองใคร่ครวญแล้วก็ไม่เข้าใจเช่นกัน”
“เจ้าใคร่ครวญเองยังไม่เข้าใจแล้วไฉนถึงทำตัวแตกตื่นนัก ตั้งใจล้อข้าเล่นหรือ” หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงขรึม อำนาจกดดันแผ่ออกมาเล็กน้อย ซั่นเอ้อร์ตกใจคุกเข่าลงไปทันที รีบโขกศีรษะยอมรับความผิด
เขาเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “ข้าไม่ทราบจริงๆ ขอรับ แต่ยามที่เขาเอ่ยประโยคนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก รู้สึกอยู่เสมอว่าไม่อาจวางใจได้ ยิ่งไม่อาจเมินเฉยได้ด้วย…”
หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงเอ่ยถามในใจว่า ‘เหตุใดเงาร่างลึกลับที่ซั่นเอ้อร์เห็นถึงเอ่ยประโยคนั้น’
[ไม่สามารถวิวัฒนาการถึงบ่วงกรรมของเขาได้ เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะมีสมบัติเลิศมรรคาอยู่ในการครอบครอง]
หานเจวี๋ยจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบคำถามดู ‘ภายในร้อยล้านปีนี้นอกจากเจ้านวฟ้าบุพกาลแล้ว จะมีตัวตนที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิตข้าปรากฏตัวขึ้นอีกหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยเก้าแสนล้านล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่มี]
หานเจวี๋ยถึงได้วางใจ
เขาเอ่ยกำชับว่า “เจ้าทำได้ดีแล้ว หากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นอีกให้มาแจ้งต่อข้า แต่สำรวมท่าทีไว้สักหน่อย อย่าได้ทำตัวแตกตื่นเข้าใจหรือไม่”
ซั่นเอ้อร์รีบตอบว่า “ลูกหลานทราบความผิดแล้ว เข้าใจแล้วขอรับ!”
จากนั้นหานเจวี๋ยก็ไม่ได้สนใจความเป็นไปของโลกปฐมยุคอีก เริ่มปิดด่านฝึกบำเพ็ญ
เขาวางแผนไว้ว่าจะปิดด่านสิบล้านปี ดังนั้นจึงสั่งการซั่นเอ้อร์ไว้ว่า หากอยากไปร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาล ให้ไปแจ้งต่อร่างแยกของเขาที่อยู่นอกอารามเต๋าได้เลย
หานเจวี๋ยจมจ่อมอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ
เจตจำนงของเขาครอบงำอยู่เหนือโลกปฐมยุค หลุบตามองสรรพสิ่ง ในสายตาของเขาการต่อสู้ฟาดฟันสังหารของเหล่าสรรพสิ่งเป็นเพียงมุมเล็กๆ ในหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น มหามรรคสามพันวิถีร้อยเรียงเป็นเค้าโครงของโลกมหามรรค กฎเกณฑ์สูงสุดคือคานค้ำยัน ทั้งโลกขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง พลังแห่งกฎเกณฑ์สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ ตบะของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ
ท่ามกลางความมืดมิด หานเจวี๋ยมองเห็นกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติของตนแล้ว
ในมุมของผู้สร้างมรรคากฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติก็เสมือนวิญญาณของพวกเขา กฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติกำลังดูดซับดวงชะตาโลกปฐมยุคเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง
เมื่อกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติทรงอำนาจขึ้น สรรพสิ่งในโลกปฐมยุคจะสะท้อนเข้าสู่เจตจำนงของเขา ฉากเหตุการณ์นับไม่ถ้วนจะถาโถมเข้ามา มหาศาลเลิศล้ำ
ขั้นตอนนี้หากจะบอกว่าเร็วก็เร็ว หากจะบอกว่าช้าก็ช้า
เมื่อหานเจวี๋ยได้สติกลับมาอีกครั้งเวลาก็ผ่านไปสิบล้านปี งานชุมนุมฟ้าบุพกาลสิ้นสุดลงนานแล้ว ด้านซั่นเอ้อร์ก็กลับมาอยู่ข้างกายเขาแล้ว
สิบล้านปีมานี้ตบะของหานเจวี๋ยเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยเลย เข้าใกล้ระดับผู้สร้างมรรคาระยะปลายไปเรื่อยๆ
เขาได้รับสวรรค์ประทานโชคมาอีกหนึ่งครั้ง
หานเจวี๋ยมองซั่นเอ้อร์ที่อยู่ข้างกาย เอ่ยถามไปว่า “งานชุมนุมฟ้าบุพกาลสนุกหรือไม่”
ซั่นเอ้อร์ลืมตาขึ้น ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “สนุกมากขอรับ! ตระการตานัก! ร้อนแรงมาก!
“ท่านปฐมบรรพชนขอรับ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าฐานะของท่านจะสูงส่งถึงเพียงนั้น ผู้ทรงพลังที่ทำให้สรรพสิ่งเลื่อมใสเหล่านั้นต่างเป็นเหล่าศิษย์และบุตรธิดาของท่าน ไปครั้งนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตามากนัก ฟ้าบุพกาลยิ่งใหญ่มากจริงๆ ขอรับ ต่อให้ข้าเข้าร่วมแข่งขันในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลก็คงยากจะฝ่าฟันสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้”
ซั่นเอ้อร์ตื่นเต้นสุดขีด เริ่มเล่าถึงสิ่งที่ตนประสบพบเห็นมา หานเจวี๋ยก็รับฟังอย่างได้อรรถรส
ถึงจะไม่มีเขาอยู่ เทพมหาทัณฑ์ก็สามารถดำเนินงานชุมนุมฟ้าบุพกาลไปได้อย่างราบรื่น
หลังจากเทพมหาทัณฑ์ได้รับการยอมรับจากเจ้านวฟ้าบุพกาล ด้านอำนาจและพลังก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปราวฟ้ากับเหว นอกจากหานฮวงแล้ว ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับผู้สร้างมรรคาลงไปไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขาจริงๆ
ลำดับสิบยอดฟ้าในครานี้ไม่ได้ปรากฏสถานการณ์ที่เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นยึดครองตำแหน่งไปกว่าครึ่งอีกแล้ว ในมรรคาสวรรค์มีเพียงบุตรแห่งสวรรค์จากตระกูลหานเพียงคนเดียวที่ฝ่าฝันจนติดลำดับสิบยอดฟ้าได้ แต่ไม่มีคนจากสำนักซ่อนเร้นเลยสักคน แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้แต่ชื่อเสียงของสำนักซ่อนเร้นก็ไม่ได้ตกต่ำลงเลย ซั่นเอ้อร์ติดตามพวกสิงหงเสวียนไปเรียกได้ว่าได้รับเกียรติสารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งเพียงใดเมื่อพบพวกเขาล้วนจะต้อนรับด้วยรอยยิ้ม เป็นมิตรอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ไยจึงไม่เข้าร่วมเล่า”
ซั่นเอ้อร์ส่ายหน้าตอบไปว่า “ข้าทราบความสามารถของตนดีขอรับ เดินในเส้นทางสายสาปแช่งก็พอแล้ว หากออกไปต่อสู้จริงๆ ข้าไม่ไหวหรอกขอรับ”
หานเจวี๋ยยิ้มให้ ไม่ถามมากอีก
ซั่นเอ้อร์กล่าวอีกว่า “ท่านปฐมบรรพชนขอรับ ในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งนี้ข้าเห็นเงาร่างหนึ่งที่รู้สึกว่าคล้ายคลึงกับเงาร่างลึกลับที่ข้าเคยพบก่อนหน้านี้ยิ่งนัก ที่ข้ากล่าวถึงเป็นเพียงเงาร่างขอรับ ส่วนเรื่องกลิ่นอายข้าจับสัมผัสไม่ได้เลย”
“โอ้ เป็นผู้ใดกันเล่า ลองพูดมาเถอะ”
“ดูเหมือนจะชื่อว่าหวงจุนเทียนขอรับ ใช่แล้ว เป็นหวงจุนเทียน!”
ซั่นเอ้อร์ขมวดคิ้วเอ่ยออกมา ชื่อที่ปรากฏขึ้นทำให้หานเจวี๋ยแปลกใจเช่นกัน
แต่หานเจวี๋ยไม่ได้แสดงท่าทีออกไป เลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับหวงจุนเทียน
“จริงหรือ”
“จริงขอรับ เป็นหวงจุนเทียนแห่งกลุ่มมิ่งขอรับ เขาก็ไปร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาลเช่นกัน แต่ไปในฐานะผู้ทรงพลังแห่งฟ้าบุพกาล ตอนที่ข้าเห็นเขาลุกขึ้นมาข้าก็เหม่อลอยไปเลยขอรับ”
ซั่นเอ้อร์เอ่ยอย่างจริงจัง หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยความแปลกใจ เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ในการเล่าเรื่องกระมัง เล่าได้มีจังหวะจะโคนนัก
หวงจุนเทียนเริ่มเข้ามาพัวพันบ่วงกรรมแล้วหรือ
หานเจวี๋ยนึกถึงสื่อหยวนหงเหมิงที่แฝงอยู่ในร่างหวงจุนเทียน อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาก็เป็นได้
หากไม่มีหานเจวี๋ย เดิมทีสื่อหยวนหงเหมิงจะสามารถวิวัฒนาการเป็นเทพมารอนธการได้ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นบุตรแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ที่ชักนำให้เกิดยุคสมัยไร้สิ้นสุดขึ้นด้วย แต่ตอนนี้สื่อหยวนหงเหมิงดับสูญไประหว่างขั้นตอน ทำได้เพียงอาศัยเป็นกาฝากในร่างหวงจุนเทียน
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าฝึกบำเพ็ญต่อเถอะ”
เดิมทีซั่นเอ้อร์ยังคิดจะพูดต่อ แต่เมื่อหานเจวี๋ยเอ่ยมาเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงหุบปากลง
หลังจากเห็นว่าซั่นเอ้อร์หลับตาไปแล้ว หานเจวี๋ยก็เริ่มตรวจดูจดหมาย
หลังสิ้นสุดงานชุมนุมฟ้าบุพกาล ฟ้าบุพกาลก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าคนส่วนใหญ่ในแวดวงสหายเริ่มบุกเบิกโลกของตนขึ้นแล้ว สร้างเค้าโครงสำหรับโลกมหามรรค
ก่อนที่จะบุกเบิกโลกมหามรรคสำเร็จ โลกเหล่านี้นับเป็นเพียงโลกชั้นยอดเท่านั้น
มีโลกชั้นยอดปรากฏเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่ากระแสแห่งยุคสมัยไร้สิ้นสุดไม่อาจหยุดยั้งได้แล้ว
หากว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลไม่สามารถพิสูจน์เทพผู้สร้างได้ ยุคสมัยไร้สิ้นสุดจะยังมาถึงหรือไม่
หานเจวี๋ยนึกสงสัยอยู่ในใจ
หลังอ่านจดหมายเสร็จ เขาถึงได้เข้าฝันหวงจุนเทียน
แดนความฝันคือสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ หวงจุนเทียนยังคงทำเหมือนที่ผ่านมา ถามเรื่องโอกาสวาสนาก่อนหลังจากยืนยันตัวตนหานเจวี๋ยแล้วถึงได้ทำความเคารพ
หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”
หวงจุนเทียนตอบว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ ตอนนี้ข้าอยู่ที่โลกอนธการดึกดำบรรพ์”
“โลกอนธการดึกดำบรรพ์หรือ”
“ถูกต้องขอรับ ข้าก็ไม่คิดเลยว่าตำนานเล่าขานจะเป็นความจริง สื่อหยวนหงเหมิงพาข้ามายังโลกนี้ ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเข้ามาได้อย่างไร อีกอย่างข้าสัมผัสได้ว่าสื่อหยวนหงเหมิงค่อนข้างผิดปกติไป เขาออกจากร่างข้าไปแล้ว ข้ารับรู้ได้ว่าเขากำลังดูดซับพลังลึกลับอย่างหนึ่งอยู่”
พอพูดมาถึงตรงนี้ หวงจุนเทียนก็ขมวดคิ้ว
หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “วิชาอัญเชิญเทพที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้าสามารถอัญเชิญข้าไปได้ หากพบปัญหาขึ้นมาก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
หวงจุนเทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณนายท่าน เพียงแต่ข้าไม่สามารถอัญเชิญผู้ใดได้ขอรับ ท่านก็น่าจะทำนายไม่พบเช่นกันว่าข้าอยู่ที่ไหน โลกอนธการดึกดำบรรพ์เต็มไปด้วยซากศพโครงกระดูกน่าพรั่นพรึง ข้าไม่เคยพบเห็นนรกเช่นนี้มาก่อนเลย ข้ากังวลว่าสื่อหยวนหงเหมิงจะวิกลจริตไปแล้ว นายท่าน หานฮวงใช่เทพมารอนธการตัวจริงหรือไม่ขอรับ สื่อหยวนหงเหมิงบอกว่าเขาต่างหากที่เป็นเทพมารอนธการ เทพมารอนธการมีได้เพียงหนึ่งเดียว”