ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 59 เพียงล่องนาวา (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

กองทัพต้ายงถอยทัพ ข่าวเจียงเจ๋อมาเซ่นไหว้มารดาที่จยาซิงแพร่กระจาย ทุกคนต่างทราบกันทั่ว พวกเขาล้วนพูดกันว่าเจียงเจ๋อเป็นผู้เสนออุบายกวาดปล้นอู๋เย่ว์ ผู้คนพากันตำหนิว่าเขาทำร้ายบ้านเกิดเมืองนอน ทว่าแม้กองทัพต้ายงออกปล้นแต่ไม่เคยเข่นฆ่าชาวบ้าน เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นความดีของเจียงเจ๋อ ผู้คนในจยาซิงหวาดหวั่นว่ากองทัพต้ายงจะมาเยือนอีกหน เกรงว่าสายเลือดพวกเขาจะย้อนกลับมา จึงมิกล้ายึดที่ดินของตระกูลจิงแม้แต่ชุ่นเดียว

…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ

ระหว่างที่กองเรือหนานฉู่กับกองเรือต้ายงคุมเชิงกันอยู่บนทะเล ข้าก็กำลังเที่ยวชมทิวทัศน์ของทะเลสาบเจิ้นเจ๋ออย่างเพลิดเพลิน ในฐานะตัวการใหญ่ผู้ก่อสถานการณ์เช่นนี้ในอู๋เย่ว์ขึ้นมา ข้ากลับมิรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย สงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ยิ่งสถานการณ์สงครามทางอู๋เย่ว์รุนแรงเท่าใดก็ยิ่งเบี่ยงเบนสายตาของราชสำนักหนานฉู่ได้เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ศึกฝั่งสู่จงกับเซียงหยางก็จะดำเนินไปอย่างสะดวก ส่วนที่ตัวข้าหนีภัยยามข้าศึกประชิดนั่นก็ อะแฮ่มๆ ตอนนี้ตงไห่ก็ไม่มีเรื่องให้ใช้งานข้าแล้วไม่ใช่หรือไร

ข้านั่งสะบัดพัดเบาๆ อยู่ในห้องด้านหน้าของเรือลำงามที่ม่านมุกม้วนขึ้นเก็บ ร่างกายสวมใส่อาภรณ์หรูหรา ลิ้มรสชากลิ่นหอม หรี่ตาดื่มด่ำกับแสงตะวันยามวสันตฤดูอย่างเพลิดเพลิน วางท่าเป็นคุณชายสูงศักดิ์ของหนานฉู่ หากมิใช่ว่าบนเรือขาดนางขับร้องและนางระบำก็คงเหมือนลูกหลานตระกูลขุนนางมาเที่ยวชมฤดูใบไม้ผลิยิ่งนัก

ข้าจงใจย้อมเส้นผมสีเทาให้กลายเป็นสีดำ ใบหน้าก็เสริมเติมแต่งเล็กน้อย มิให้คนจดจำได้เพราะเส้นผมสีขาวทั้งที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ แม้อู๋จวิ้นตกอยู่ในภัยสงครามแล้ว แต่ยังส่งผลกระทบมาไม่ถึงเมืองบริเวณทะเลสาบเจิ้นเจ๋อ นิสัยโอนอ่อนคล้อยตามของคนอู๋จวิ้นทำให้ที่แห่งนี้ยังคงสงบสุข ถึงอย่างไรแม่ทัพใหญ่ลู่ก็มาถึงอู๋เย่ว์แล้ว พวกเขาย่อมมิต้องกังวลใจอีก

ข้าอยู่ที่ทะเลสาบมาสามวันแล้ว ทะเลสาบเจิ้นเจ๋ออาณาบริเวณแปดร้อยลี้ ผิวทะเลสาบกว้างสามหมื่นหกพันฉิ่ง[1] ในทะเลสาบซ่อนทะเลสาบ ด้านหลังขุนเขาซ้อนขุนเขา ทิวทัศน์วสันต์งามตระการ นักเดินทางหลั่งไหลมาเป็นสาย มองมิเห็นวี่แววของสงครามที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือแม้แต่น้อย

ม่านมุกไหวเบาๆ ฮูเหยียนโซ่วเดินเข้ามา สีหน้าเขาไม่ดีนัก พอเดินมาถึงตรงหน้าข้าก็ค้อมกายเอ่ยว่า “คุณชาย สถานที่อันตรายมิควรรั้งอยู่นาน ขอคุณชายโปรดออกคำสั่ง พวกเราควรเคลื่อนไหวเมื่อใด”

ข้าเงยหน้ามองเขา ในใจรู้สึกขบขัน เขาเป็นคนหน้าตาซื่อดูจริงใจ แม้จะมีตำแหน่งสูงอำนาจมากมาหลายปี แต่ไม่มีนิสัยใช้สีหน้าบงการคนติดมา ทว่าร่างกายสูงเกือบแปดฉื่อกับบุคลิกองอาจก็สะดุดตามากอยู่แล้ว เมื่อกอปรกับแววตาทรงพลัง สองมือมีเส้นเลือดนูนเห็นชัด ดูอย่างไรก็เป็นแม่ทัพผู้น่าเกรงขามคนหนึ่ง แต่กลับถูกข้าบังคับให้สวมชุดบ่าวรับใช้ ดูประหลาดพิกลจริงๆ

แต่นี่ก็ไม่แปลก ฮูเหยียนโซ่วเป็นรองแม่ทัพของกองราชองครักษ์หู่จี เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งผู้องอาจ จะเหมือนกับบ่าวรับใช้ทั่วไปได้เช่นไร แม้แต่องครักษ์ที่เขาพามาด้วยห้าคน ข้าก็มองไม่เห็นว่ามีตรงไหนเหมือนบ่าวรับใช้ แต่ขอเพียงพวกเขาทั้งหมดอย่าได้ยืนอยู่ด้วยกันก็ไม่ดูสะดุดตานัก ถึงสำเนียงจะค่อนไปทางเหนือสักหน่อย แต่ขอเพียงยามปกติไม่พูดย่อมมีวิธีกลบเกลื่อน

หากว่าฮูเหยียนโซ่วไม่เอาแต่อ้างพระบัญชาขององค์จักรพรรดิตลอด อีกทั้งข้าไม่ต้องการให้หลี่จื้อขุ่นเคืองเขาเพราะเรื่องนี้ ข้าก็คงไม่พาเขามาไว้ข้างตัวด้วย ส่วนเรื่องที่เขาเร่งให้ข้ารีบเดินทางก็ไม่มีสิ่งใดแปลก ต้องรู้ว่ายิ่งข้าอยู่ในเขตหนานฉู่นานเท่าใด ความรับผิดชอบของเขาก็ยิ่งหนักหนาขึ้นเท่านั้น มิหนำซ้ำหนนี้ตอนพวกเราเดินทางมาทะเลสาบเจิ้นเจ๋อ ระหว่างทางยังสวนทางกับลู่ช่านชนิดที่เรียกว่าเฉียดกระทบไหล่

ตอนกองเรือจิ่วเจียงรีบร้อนล่องลงใต้ ข้าก็กำลังชื่นชมเรือเหมิงชงของกองเรือหนานฉู่อย่างสบายใจเฉิบอยู่ในคลองย่อยสายหนึ่ง ข้าไม่รู้สึกอะไรนัก แต่ฮูเหยียนโซ่วสีหน้าคล้ำเขียว กลัวว่ากองทัพหนานฉู่จะพบตัวข้า น่าเสียดายแม้เขาจะมีแต่เจตนาดี ทว่าข้ามิอาจให้เขาสมปรารถนา ข้ารั้งอยู่ที่ทะเลสาบเจิ้นเจ๋อมิใช่เพราะต้องการก่อเรื่อง แต่ข้ามาเพราะมีจุดประสงค์

ข้ายิ้มน้อยๆ จิบชาหอมฟุ้งหนึ่งคำ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ฮูเหยียน มิต้องรีบร้อนเช่นนั้นหรอก ยากนักจะมาเยือนทะเลสาบเจิ้นเจ๋อสักหน มิชื่นชมทิวทัศน์งดงามของเขาตงซานกับเขาซีซานสักหน่อย ไฉนมิน่าเสียดายเกินไปแล้ว อีกอย่างหนึ่งกองทัพหนานฉู่กำลังเคลื่อนพลจากฉางเจียงไปยังอวี๋หัง แทนที่จะออกเดินทางตอนนี้แล้วเสี่ยงพบกับกองทัพหนานฉู่ มิสู้รอผ่านไปสักสองสามวัน ให้เส้นทางบนแม่น้ำสงบสักหน่อยค่อยออกเดินทางก็ไม่สาย”

ฮูเหยียนโซ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง แต่การรั้งรอยู่ในเขตแดนหนานฉู่นานเกินไปก็มิเหมาะสมนัก เขาคิดในใจว่า หนนี้ขัดขวางการกระทำของเจียงเจ๋อมิได้ หลังกลับไปเขายากจะเลี่ยงโทษทัณฑ์ หากเจียงเจ๋อเกิดเป็นอะไรไปอีก น่ากลัวว่าตนคงไม่มีหน้ากลับฉางอันแล้ว

พอคิดมาถึงตรงนี้ก็อยากจะเกลี้ยกล่อมอีกสักหน่อย ทันใดนั้นเหนือผิวทะเลสาบก็มีเสียงผีผาดังลอยมา เสียงใสกังวานอ้อยอิ่ง รับกับคลื่นบนทะเลสาบ แต่ละท่วงทำนองไพเราะเสนาะหู

จังหวะที่เสียงผีผาดังขึ้น หัวใจข้าพลันสั่นไหว ข้าหลับตาเพ่งสมาธิฟัง เสียงดนตรีคล้ายเสียงร่ำไห้รำพันทุกข์ ทั้งแฝงความเคืองแค้นและหวนคะนึงคล้ายบรรเลงอยู่ข้างหู พรรณนาความคับแค้นท่วมท้นที่ต้องพรากจากคนรัก บอกเล่าความเจ็บปวดรวดร้าวมิอาจประมาณ

ดีดผีผาเพลงหนึ่งออกมาได้สะเทือนใจถึงจิตวิญญาณเช่นนี้ ช่างเป็นบทเพลง ‘ความคับแค้นใจของเจาจวิน’ ที่บรรเลงได้ดีนัก

ฟังได้ครึ่งหนึ่ง ข้าก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วถอนหายใจเสียงเบา แม้ ‘ความแค้นของเจาจวิน’ จะเป็นบทกวีถ่ายทอดความโศกเศร้าคับแค้นจากการพลัดพราก ทว่าก็แฝง ‘ความคิดถึงแผ่นดินฮั่น’ เอาไว้ด้วย ความเศร้าโศกอันรัดรึงเป็นความเจ็บปวดลึกล้ำของการพรากจากแว่นแคว้น เฝ้าคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน ขณะที่ทอดถอนใจกับความงามที่โรยรา

ผู้บรรเลงบทเพลงนี้ แม้บรรเลงได้อ่อนหวาน แต่แฝงความองอาจห้าวหาญอยู่เลือนราง คิดว่าคงเป็นอัจฉริยะที่ห่วงเรื่องบ้านเมืองสักคน หนานฉู่เป็นดินแดนอันรุ่งเรือง ท่ามกลางสายน้ำและม่านหมอกของเจียงหนาน มิทราบว่ามีผู้เก่งกล้ามากมายเท่าใด เพียงแต่ราชสำนักหนานฉู่ใช้บทกวีกาพย์กลอนมาทดสอบความสามารถ แม้ร่ำเรียนตำราจนผมขาวก็ยากหลีกหนีความหดหู่ของการสอบตก ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เข้าไปเป็นขุนนางได้ หากไร้ตระกูลขุนนางเห็นค่าก็ไม่มีโอกาสแสดงความสามารถ

แม้แต่ลู่ช่านผู้มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเลือกใช้งานคนเก่งคนดีก็ยังมิอาจหนีพ้นอิทธิพลเช่นนี้ แม่ทัพกับเสนาธิการในกองทัพของเขามากกว่าครึ่งล้วนมีความเกี่ยวพันที่ตัดไม่ขาดกับตระกูลลู่ คิดจะอาศัยความสามารถของตนเองเพียงลำพังหยัดยืนในหนานฉู่มิใช่เรื่องง่าย

ยอดฝีมือผู้บรรเลงผีผาอยู่ผู้นี้ก็คงเป็นคนที่ภักดีต่อแว่นแคว้นแต่ไร้หนทางแสดงความสามารถ ดังนั้นจึงซ่อนความโศกเศร้าคับแค้นมากมายเช่นนี้ไว้ในบทเพลง

ข้าเหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจก็เห็นฮูเหยียนโซ่วยืนฟังจนเพลินอยู่ตรงนั้น ในใจอดแปลกใจไม่ได้ เขาชื่นชมเสียงผีผาเป็นตั้งแต่เมื่อใด ช่างหายากยิ่งนัก แต่เมื่อคิดทบทวนอีกหน ข้าก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เติ้งโหวซูชิงชำนาญการบรรเลงผีผาเป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนรู้กันทั่ว ในเมื่อฮูเหยียนโซ่วเป็นสามีของนาง ได้ฟังเข้าหูอยู่ทุกวันก็คงเรียนรู้มาบ้าง

เวลานี้เสียงผีผาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นฮึกเหิมกร้าวแกร่งประหนึ่งเสียงทหารม้าควบอาชา เสียงอาวุธฟาดฟันเข่นฆ่าปรากฏในเสียงผีผา ข้ารู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวเร็ว เลือดลมไหลพลุ่งพล่าน ทว่าใบหน้ากลับไร้สีเลือดในทันที ม่านมุกถูกสะบัดเปิด เสี่ยวซุ่นจื่อที่แต่เดิมทำสมาธิอยู่ท้ายเรือฉับพลันปรากฏตัวขึ้น เขาเหินมาหลังร่างข้า หนึ่งฝ่ามือทาบลงกลางแผ่นหลัง ถ่ายทอดลมปราณสายหนึ่งมาให้ เพียงครู่ดียวข้าก็พรูลมหายใจยาว อารมณ์สงบลง ฮูเหยียนโซ่วสีหน้าเย็นยะเยือกเดินออกไปด้านนอก เห็นชัดว่าจะไปสืบหาร่องรอยของศัตรู

ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อทอประกายเย็นเฉียบ มองไปยังทิศทางที่เสียงผีผาลอยมา รอบตัวมีจิตสังหารแผ่ออกมาเลือนราง ทันใดนั้นบนทะเลสาบก็มีเสียงบุรุษผู้หนึ่งขับขานบทเพลงเสียงกังวาน “เมามายจุดโคมมองกระบี่ ในห้วงฝันแตรศึกดังก้องหมู่กระโจม ทหารทั้งหลายแจกจ่ายเนื้อ กองดนตรีบรรเลงเพลงชายแดนเหนือ ยามสารทไพร่พลตั้งทัพสมรภูมิ ม้าศึกไวว่องยอดอัศวชาติ เกาทัณฑ์ดีดอึงอลดั่งอสนีบาต ปรารถนาทำการใหญ่แทนเจ้าแผ่นดิน สร้างชื่อระบือนามชั่วกาลนาน น่าเสียดายผมขาวเสียแล้ว”

ข้านิ่งไปชั่วครู่ นี่คือบทกวีที่ข้าประพันธ์ขึ้นตอนเห็นลู่ซิ่นฝึกทหารที่เจียงเซี่ย ต่อมาเต๋อชินอ๋องได้ฟัง ก็ชื่นชอบยิ่งนัก ยามอยู่ในกองทัพขับร้องเสียทุกครา แนวทางประพันธ์บทกวีของข้ามิได้มีความห้าวหาญเป็นอารมณ์หลัก บทกวีบทนี้เนื้อความกล่าวถึงทหารกล้าผู้ร่วงโรยในยามชรา ทว่านับตั้งแต่เต๋อชินอ๋องสิ้นใจ ข้าหันไปเข้ากับต้ายง ต่อให้บทกวีของข้ายังคงแพร่หลายอยู่ในหนานฉู่ แต่บทกวีบทนี้ก็มีคนนำมาร้องน้อยครั้งนัก บางทีพวกเขาอาจคิดว่าข้ามิคู่ควรเขียน ‘ปรารถนาทำการใหญ่แทนเจ้าแผ่นดิน สร้างชื่อระบือนามชั่วกาลนาน’ วรรคนี้ออกมาก็เป็นได้ ยิ่งยามนี้ข้านำกองทัพบุกอู๋เย่ว์อย่างเปิดเผย ยังมีคนกล้าขับขานบทกวีบทนี้เสียงดังอีก ช่างหายากนัก พอคิดมาถึงตรงนี้ ความหงุดหงิดที่เกือบจะถูกเสียงผีผาทำร้ายเมื่อครู่ค่อยๆ มลายหายไป

บทเพลงยังไม่ทันจบ ฮูเหยียนโซ่วก็กลับเรือมารายงาน “คุณชาย ห่างออกไปสามลี้มีเรือลำหนึ่ง เสียงเพลงลอยมาจากที่นั่น”

ข้าฟังจบก็มองลอดม่านมุกออกไป ด้วยสายตาของข้า มองปราดเดียวก็เห็นเรือลำน้อยไม่มีประทุนลำหนึ่งกำลังลอยตามคลื่นอยู่บนทะเลสาบ บนเรือมีคนอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นบุรุษสวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายเยี่ยงบัณฑิต อีกคนหนึ่งเป็นนักพรตสวมหมวกสีเหลือง

นักพรตผู้นั้นถือไม้ไผ่ถ่อเรืออยู่ในมือ ยืนโต้ลมอยู่ท้ายลำเรือ สองแขนค่อนข้างยาว ส่วนบุรุษผู้นั้นอยู่ตรงหัวเรือ ในมือถือผีผา แผ่นหลังสะพายกระบี่ยาว กำลังเงยหน้าเอ่ยอันใดสักอย่างกับนักพรตผู้นั้น

จากทิศทางที่ข้าอยู่มองเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของทั้งสองคน ทว่าก็มองออกว่าทั้งสองคนท่าทางมิธรรมดา อู๋เย่ว์เป็นดินแดนอันรุ่งเรืองของเจียงหนาน ชัยภูมิดี ผู้คนเก่งกาจ วีรบุรุษมากมี เพียงแต่มิอาจทำงานรับใช้หนานฉู่ก็เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองคนนี้ถึงขนาดใช้เสียงผีผาสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของผู้คนได้ หากมิใช่ว่ามีเสี่ยวซุ่นจื่อปกป้อง เกรงว่าข้าคงบาดเจ็บแล้ว

[1] ฉิ่ง หน่วยพื้นที่ของจีนโบราณ 1 ฉิ่ง เท่ากับ 100 หมู่ ประมาณ 666 เอเคอร์