ตอนที่ 254-2 แม่ลูกร่วมรบ ทารุณธิดาเทพ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนางกุมปาก เจ็บปวดจนร้องโอดโอย!
ม้าตัวพ่วงพีตกใจกลัวจนยกกีบเท้าห้อตะบึงอย่างไร้ทิศทาง ขณะที่กำลังจะเหยียบถูกสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนาง ดวงตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งก็ทอประกายวูบ ส่งผ้าแพรสีขาวสองผืนออกมารัดร่างของทั้งสองคนแล้วกระชากลอยขึ้นมา!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองเปิดม่านออกมองฝุ่นที่ลอยตลบอยู่ฝั่งตรงข้าม “ผู้ใดกัน”
สิ่งที่ตอบนางกลับเป็นเสียงกีบเท้าม้าที่ดังสนั่นมากกว่าเดิม เสียงกีบเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หญิงรับใช้ทั้งหมดต่างตระหนกลนลาน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองคว้ากระบี่เล่มงาม เหินร่างออกจากรถม้า “ไม่ต้องตระหนก! ตั้งค่ายกล! ค่ายกลดาราสวรรค์!”
ยอดฝีมือทั้งหลายของตำหนักธิดาเทพจำนวนหนึ่งร้อยกว่าคนพากันจับกระบี่พุ่งออกมาขวางหน้าขบวน คนหนึ่งร้อยแปดคน ป้องกันแต่ละตำแหน่ง ประหนึ่งตั้งกำแพงเหล็กกล้าขึ้นบนพื้นที่ว่าง
นี่คือค่ายกลที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เทียนฉี่ แม้มันประกอบด้วยคนไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบคน แต่กลับทำได้ทั้งรุกทั้งรับ หากประสานพลังกันได้ดี สามารถต้านได้แม้กระทั่งกองทัพนับพัน อาชานับหมื่น เมื่อศัตรูหลงเข้ามาในค่ายกลแล้วย่อมไม่มีโอกาสออกไปได้อีก
ค่ายกลชนิดนี้สาบสูญไปนานแล้ว ทว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนในแคว้นหนานฉู่ คนแซ่มู่ผู้หนึ่งเคยรับใช้ศิษย์คนหนึ่งของตำหนักธิดาเทพ ศิษย์ผู้นั้นจึงถ่ายทอดเศษเสี้ยวของวิชาค่ายกลนี้แก่เขา คนผู้นั้นอาศัยความรู้เพียงเศษเสี้ยวนี้ทำสงครามชนะนับไม่ถ้วน กลายเป็นเทพสงครามผู้ไม่เคยพ่ายศึกของหนานฉู่
สิ่งที่ตำหนักธิดาเทพมีอยู่ในมือยามนี้คือแก่นแท้ของค่ายกลดาราสวรรค์ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจอีกเท่าใดก็เสมือนเอาซาลาเปาเนื้อไปตีสุนัข มาแล้วไม่ได้กลับ!
ในที่สุดทหารม้าเหล็กก็เหยียบย่างเข้ามาในสายตาของทุกคน ผู้ที่ขี่อาชาอยู่ด้านหน้าสุดคือสตรีผู้สวมผ้าคลุมสีดำ ด้านในผืนผ้าคลุมเป็นสีแดงสดดุจโลหิตชโลม เฉกเช่นเดียวกับริมฝีปากงามเย้ายวนของนาง
มือนางถือหอกยาวที่สะท้อนแสงวาววับดุจแสงเปลวเพลิงเริงระบำ
ทุกคนจำนางได้
จั๋วหม่า
มีศิษย์หญิงบางคนในค่ายกลลังเล “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สอง นั่นจั๋วหม่า!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองตวาดเกรี้ยวกราด “ผู้ใดบุกรุกตำหนักธิดาเทพ สังหารไม่ละเว้น นี่คือกฎที่บรรพบุรุษตั้งเอาไว้ เจ้าลืมแล้วหรือ”
“ศิษย์ไม่กล้า!” ศิษย์หญิงกำกระบี่ในมือแน่น ไม่ลังเลอีกต่อไป
สวรรค์มีทางให้เจ้าไม่เดิน นรกไร้ประตูดันจะบุกเข้ามา อย่าโทษว่าตำหนักธิดาเทพไม่เกรงใจเล่า จั๋วหม่า
ดวงตาฉายประกายเย็นเยียบ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองชูกระบี่เล่มงามในมือ “กระบวนท่าที่หนึ่ง ค่ายกลดาราสวรรค์ เมฆาลอย…”
ฟิ้ววว!
เฮ่อหลันชิงขว้างหอกยาวในมือออกไปอย่างแรง หอกยาวรวดเร็วดั่งอสนีบาตอันเย็นยะเยือกสายหนึ่ง ทุกคนไม่ทันตอบสนองสักนิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หอกยาวก็เสียบทะลุหน้าอกของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สอง พละกำลังมหาศาลกระแทกจนทั้งร่างนางลอยออกไปปักตรึงอยู่บนตัวรถม้าที่อยู่ด้านหลัง!
นางเบิกสองตาโพลง มองหอกยาวที่เสียบทะลุร่างของตนเองอยู่อย่างไม่อยากเชื่อ ปากกระอักเลือดออกมาได้คำหนึ่ง ศีรษะก็ห้อยพับ สองแขนร่วงตกลงมา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในรถม้าพากันเปิดม่านมองอยู่แล้ว เมื่อเห็นภาพนี้ก็ตกใจจนโลหิตเหมือนถูกแช่แข็ง!
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสอง!”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสอง”
“ศิษย์พี่!”
“ศิษย์พี่!”
“น้องสาว! น้องสาว! น้องสาววว”
ทุกคนตะโกนร้องอย่างตกตะลึง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกอดศพน้องสาวร้องคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง
ทหารม้าเหล็กของเฮ่อหลันชิงทะลวงเข้ามาในค่ายกลดาราสวรรค์ เฮ่อหลันชิงยอมรับว่าค่ายกลดาราสวรรค์มีจุดที่ร้ายกาจของมันอยู่ แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองผู้เป็นแกนหลักของค่ายกลนี้ไม่อยู่แล้ว คนที่เหลือก็เป็นเพียงเม็ดทรายกระจัดกระจายเท่านั้น
ทหารม้าเหล็กบุกตะลุยจนคนหนึ่งร้อยแปดคนกระจัดกระจาย เวลาเพียงพริบตาเดียว ลานกว้างก็ถูกทหารม้าเหล็กยึดครอง
เฮ่อหลันชิงขี่หั่วเฟิ่งเยาะย่างเข้ามาอย่างสบายใจ นางไม่ลืมเรียกเฉียวเวยที่อยู่ด้านหลังมาด้วย สภาพนั่นเหมือนนางสิงห์ที่กำลังปกป้องลูกน้อย สั่งสอนลูกน้อยของตัวเองว่าต้องล่าเหยื่ออย่างไร
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งนำศพของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองลงมา นางกอดน้องสาวผู้ไม่อาจลืมตาขึ้นมาอีกแล้วไว้ในอ้อมแขน แววตากระหายเลือดมองเฮ่อหลันชิง “จั๋วหม่า…เจ้ากล้าสังหารคนในตำหนักธิดาเทพ!”
เฮ่อหลันชิงบิดริมฝีปากสีแดงสดยกโค้งแลดูชั่วร้าย “นี่คือตำหนักธิดาเทพหรือ ทำไมข้าจำได้ว่าตรงนี้อยู่ด้านนอก”
นอกตำหนักธิดาเทพมีป้ายศิลาแผ่นหนึ่งตั้งอยู่ ด้านหลังแผ่นศิลาจึงจะเป็นอาณาเขตของตำหนักธิดาเทพ เฮ่อหลันชิงเลือกสถานที่ได้เจ้าเล่ห์อยู่เล็กน้อย ที่ตรงนี้บังเอิญคือระยะห้าก้าวนอกป้ายศิลาพอดี ตำหนักธิดาเทพก่อตั้งมาเนิ่นนานหลายปี ผู้ใดจะใส่ใจระยะห่างไม่กี่ก้าวนี้เล่า พวกเขาถือว่าสถานที่ตรงนี้เป็นเขตของตำหนักธิดาเทพตั้งนานแล้ว ตัวพวกนางก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
แต่หากกล่าวกันอย่างเคร่งครัดตามกฎ ที่ตรงนี้ก็พ้นออกมาจากตำหนักธิดาเทพแล้วจริงๆ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยอย่างเคียดแค้น “เจ้ากล้าสังหารน้องสาวของข้า! น้องสาวข้าคือสตรีศักดิ์สิทธิ์! เจ้าสังหารสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักธิดาเทพได้อย่างไร เจ้ากำลังดูหมิ่นเทพเจ้า!”
เฮ่อหลันชิงไม่เคยเห็นเทพเจ้าอยู่ในสายตา นางหนังตาไม่กระตุกสักนิด “ไม่สังหารนาง รอให้นางมาสังหารข้าหรือ”
ค่ายกลดาราสวรรค์เป็นค่ายกลที่มีพลังทำลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง สตรีศักดิ์สิทธิ์บัดซบคนนี้ไม่คิดจะเหลือทางรอดไว้ให้นาง นางต้องปล่อยให้ตนเองบาดเจ็บหนักก่อน แล้วค่อยโต้กลับหรืออย่างไร
นางโง่หรือ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “น้องสาวข้าตั้งค่ายกล ก็เพราะพวกเจ้าบุกรุกตำหนักธิดาเทพก่อน!”
เฮ่อหลันชิงเคาะป้ายศิลา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเข้าใจในพริบตา ขอเพียงเฮ่อหลันชิงไม่พาทหารก้าวผ่านป้ายศิลาแผ่นนี้ไปก็ไม่นับว่าบุกรุกตำหนักธิดาเทพ เฮ่อหลันชิงไม่ได้บุกรุก แต่พวกนางตั้งค่ายกลจะสังหารนาง ต่อให้เรื่องไปถึงสำนักผู้อาวุโสก็ไม่ใช่ความผิดของเฮ่อหลันชิง
แต่เฮ่อหลันชิงยกกำลังพลมาอย่างน่าหวาดหวั่นเช่นนั้น ดูเหมือนไม่คิดจะบุกรุกหรือ นางอยากจะเหยียบตำหนักธิดาเทพให้ราบชัดๆ ไม่ใช่หรือไร
“เจ้า…เจ้า…เจ้า…เจ้ามันเจ้าเล่ห์!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเข้าใจแล้วว่าพวกนางตกหลุมพรางของเฮ่อหลันชิง นางโกรธจนอยากจะทุบอกกระทืบเท้า
เฮ่อหลันชิงเป่าเล็บมือสีแดงสด แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แยแส “ข้าไม่มีเวลาฟังเจ้าโวยวายหนวกหู ส่งธิดาเทพมาเสีย”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งขวางหน้านางไว้ “เจ้าเลิกคิดไปได้เลย!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เหลืออยู่พากันลงจากรถม้ามาขวางทางของเฮ่อหลันชิงด้วยกันกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง
ต่อให้การสังหารสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองมีสาเหตุให้แก้ต่าง แต่ตอนนี้พวกนางไม่มีผู้ใดหาเรื่องเฮ่อหลันชิงแล้ว นางอ้างว่าตนเองเป็นจั๋วหม่าแล้วอย่างไร อาศัยที่เหอจั๋วรักนางแล้วอย่างไร หากนางกล้าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์จริง ต่อให้เป็นจั๋วหม่าก็ปกป้องนางไม่ได้! นางต้องถูกตัดออกจากสาแหรกตระกูล ไม่มีโอกาสเป็นจั๋วหม่าของเผ่าถ่าน่าอีกต่อไป
หากตายไปคนหนึ่งแล้วแลกกับผลลัพธ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกนางก็ยินดี
เฉียวเวยไม่ค่อยเข้าใจกฎของเผ่าถ่าน่า แต่สถานการณ์เช่นนี้คิดว่าคงสังหารคนไม่ได้แล้ว นางหันไปมองมารดา อยากรู้ว่านางจะทำอย่างไร
เฮ่อหลันชิงหรี่ตา จากนั้นจึงยื่นมือขวาออกมา นิ้วชี้กับนิ้วกลางกระดกไขว้กันหนึ่งหน
องครักษ์เกราะทมิฬคนหนึ่งส่งคันธนูเล่มใหญ่เล่มหนึ่งให้นาง
เฮ่อหลันชิงดึงลูกธนูขนนกที่พันผ้าชิ้นหนึ่งออกมาจากกระบอกลูกธนู องครักษ์เกราะทมิฬคนนั้นราดขี้ผึ้งเหลวลงบนผืนผ้าจากนั้นก็จุดไฟ
เฮ่อหลันชิงพาดลูกธนูบนคันธนู ง้างคันธนูจนโค้งเป็นวง เล็งไปยังตำหนักธิดาเทพ แรกสุดเล็งไปทางทิศตะวันออก “ยิงตรงไหนก่อนดีกว่านะ หอตำราลับดีหรือไม่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายหนังตากระตุก หอตำราลับมีแต่ตำราสำคัญ สิ่งที่สืบทอดต่อกันมาในตำหนักธิดาเทพล้วนอยู่ในนั้น! รวมไปถึงสารและบันทึกลับจำนวนหนึ่งด้วย
เฮ่อหลันชิงเคลื่อนปลายลูกธนู เล็งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ “หรือว่าห้องโอสถดี”
หนังตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายกระตุกแรงขึ้นกว่าเดิม ภายในห้องโอสถเก็บโอสถวิเศษและยาชั้นยอดทั้งหมดเอาไว้ สิ่งที่ลงแรงมาหลายปีล้วนอยู่ด้านใน! หากยิงมัน ความทุ่มเทหลายปีของพวกนางก็สูญเปล่าหมดสิ้น! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าด้านในมียาสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง อีกไม่นานนี้จำเป็นต้องใช้…
“ท่านแม่ ตรงนั้นคือที่ใดหรือ” เฉียวเวยชี้หอหลังคาแหลมหลังหนึ่ง
เฮ่อหลันชิงตอบว่า “ตรงนั้น…แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน สถานที่ที่แม่ยังไม่รู้จัก คิดว่าคงไม่ใช่สถานที่สำคัญมากอันใดกระมัง ยิงมันก็แล้วกัน!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหน้าถอดสี “เจ้าจะเอาอย่างไรก็ว่ามา”
เฮ่อหลันชิงเหยียดสายตาลงมองนาง ริมฝีปากแดงฉานยกยิ้ม “ขอพบธิดาเทพ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้ว “แค่พบเท่านั้นหรือ ไม่ทำอย่างอื่นใช่หรือไม่”
เฮ่อหลันชิงตอบหน้านิ่ง “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าสังหารนางไม่ได้เสียหน่อย”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกนางต่างเห็นความนัยในดวงตาของแต่ละคน สตรีศักดิ์สิทธิ์ยกมือปรามโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด ทุกคนหลุบตาลง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเข้าไปเยี่ยมได้ แต่เจ้ามีเวลาเพียงชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยเท่านั้น”
เฮ่อหลันชิงขยับเข้าไปหาลูกสาว “ลูกสาวคนดี ชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยรีดเลือดได้เท่าไร”
เฉียวเวยลูบอุปกรณ์ที่พกมาในอกเสื้อแล้วกระซิบตอบ “รีดจนแห้งก็ยังได้”
เฮ่อหลันชิงยกมุมปากยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นพลิกกายลงจากม้า
เฉียวเวยก็ลงจากม้ามาด้วย นางหยิบของบำรุงห่อใหญ่สองห่อออกมาจากห่อสัมภาระแล้วแกว่งไปมา “น้ำจากต้นหลงเซวี่ยกับเห็ดหลิงจือลิ้นไม้ล้วนเป็นของดีสำหรับบำรุงร่างกาย!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งแค่นเสียงหยันอย่างเย็นชา แล้วปล่อยสองแม่ลูกเดินอาดๆ เข้าไป
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามถามขึ้นว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง จะปล่อยให้พวกนางเข้าไปพบธิดาเทพตามใจจริงหรือ หากพวกนางทำอะไรธิดาเทพ…”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งแค่นเสียงดังเหอะออกมาคำหนึ่ง แล้วตอบด้วยสีหน้านิ่งสงบ “นางไม่กลัวเหอจั๋วตาย ก็เชิญสังหารธิดาเทพเลย”
สองแม่ลูกเข้าไปในห้องนอนของธิดาเทพ
หลิงจือมองทั้งสองคนอย่างตกใจ “จั๋วหม่า…จั๋วหม่าน้อย…”
เฮ่อหลันชิงสีหน้าเฉยชา “ไสหัวออกไป!”
หลิงจือไม่ยอมออกไป เฮ่อหลันชิงยกหมัดขึ้นมาหนึ่งข้าง หลิงจือกลัวจนเผ่นแน่บ!
เฉียวเวยปิดประตูลงกลอน
ธิดาเทพได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวก็ลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นทั้งสองคน ดวงตาก็ฉายแววตื่นตระหนกแวบหนึ่ง “เหตุใดจึง…เป็นพวกเจ้า พวกเจ้ามาทำอะไร”
เฮ่อหลันชิงหยิบผลไม้บนโต๊ะขึ้นมากัดหนึ่งคำแล้วตอบอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก “มารีดเลือดจากเจ้าสักหน่อย!”
ธิดาเทพตกตะลึง แววตาเริ่มเย็นยะเยือก
เฉียวเวยหยิบกล่องจากในแขนเสื้อมาเปิด จากนั้นหยิบมีดกับขวดออกมา แล้วเดินไปหาธิดาเทพ
ธิดาเทพกุมหน้าอกอันเจ็บปวด สีหน้าซีดเผือดร้องห้าม “เจ้าอย่าเข้ามานะ!”
เฉียวเวยเลิกคิ้วแล้วยิ้มร้าย “ข้าจะเข้าไปแล้วจะทำไม!”
ธิดาเทพเจ็บจนไอออกมาหนึ่งหน นางมองไปทางประตู “ใครก็ได้! ใครก็ได้เข้ามาหน่อย!”
เฮ่อหลันชิงหยิบพุทราบนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งผล ตวัดมือส่งไปสกัดจุดใบ้ของนาง
ธิดาเทพส่งเสียงไม่ได้แล้ว นางเร่งรีบจะคลายจุดให้ตนเอง แต่จนปัญญาที่นางยังไม่ทันลงมือ ก็ถูกเฉียวเวยยึดข้อมือไว้ นางดิ้นรนสู้ซัดหนึ่งฝ่ามือออกมา!
เฉียวเวยมือไวตาไวหลบได้ทัน พลังจากฝ่ามือจึงซัดถูกตู้หลังหนึ่ง ประตูตู้ถูกฟาดแหลกเป็นเศษไม้
เฉียวเวยว่าอย่างฉุนเฉียว “เจ้าเป็นวรยุทธ์จริงๆ ด้วย แท่นเมื่อวานเจ้าเป็นคนเหยียบจนถล่มเอง! เจ้านี่ช่างหน้าไม่อายจริงนะ! ตัวเองเหยียบแท่นจนถล่มลงมาเองแล้วยังจะมาใส่ร้ายข้า บอกว่าข้าทำให้เทพเจ้าพิโรธ! เจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงชั่วร้ายเช่นนี้หืม”
ธิดาเทพมองเฉียวเวยอย่างเย็นชา นางไม่โต้คารมกับเฉียวเวยแต่ซัดฝ่ามือออกมาอีกหนึ่งฝ่ามือ
เฉียวเวยเบี่ยงตัวกระโจนหลบไปด้านข้างจึงหนีพ้นฝ่ามือนี้มาได้
ธิดาเทพยังบาดเจ็บอยู่ แต่กำลังภายในของนางไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะต่อกร นางยกฝ่ามือขึ้นมาอีกหน แต่แล้วเฮ่อหลันชิงก็ดีดพุทราอีกหนึ่งผลออกมาก่อน พุทรากระแทกถูกจุดลมปราณของนาง หน้าอกนางเจ็บแปลบ ล้มหงายลงบนเตียง
เฮ่อหลันชิงกินผลไม้แล้วบอกว่า “ข้าปิดกั้นกำลังภายในครึ่งหนึ่งของนางไว้แล้ว ลงมือได้ตามสบาย”
ช่างเหมือนนางสิงห์ตัวหนึ่งขย้ำจามรีจนเจ็บหนัก หลังจากนั้นโยนให้ลูกตัวน้อยของตนฝึกฝนตามใจอย่างไม่ต้องเกรงใจยิ่งนัก
เฉียวเวยกับธิดาเทพต่อสู้กันอยู่ภายในห้อง ไม่อาจไม่บอกว่าโชคดีที่มารดาของนางสะกดกำลังภายในของสตรีนางนี้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือชัดๆ ถึงจะเหลือกำลังภายในเพียงครึ่งเดียวก็ยังสู้ได้ดุดันอย่างยิ่ง
ทว่าต่อให้ลงมือดุดันอีกเท่าใดก็ฝืนร่างกายที่บาดเจ็บหนักไม่ได้ พละกำลังหลั่งไหลหายไปอย่างมากมายมหาศาล แต่ย้อนกลับมาดูเฉียวเวย นางเหมือนมีพละกำลังให้ใช้ได้ไม่หมดสิ้น ยิ่งสู้ยิ่งห้าวหาญ
เฮ่อหลันชิงมองดูไปก็ให้คำชี้แนะเป็นระยะ “โจมตีท่อนล่างของนาง”
“เล่นงานข้อพับ”
“กดจุดไป่ฮุ่ย”
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วจิบชาครึ่งถ้วย เฉียวเวยก็หอบแฮ่กจัดการกดสตรีนางนี้ได้สำเร็จ
เฉียวเวยเก็บเลือดหนึ่งขวดน้อยมาจากร่างของนาง เฮ่อหลันชิงเห็นขวดใบน้อยที่เล็กกว่าฝ่ามือขวดนั้น หัวคิ้วก็ขมวด เลือดเท่านี้จะทำอะไรได้
เฮ่อหลันชิงปลดถุงใส่น้ำใบโตออกมาจากข้างเอว “เอ้า ใช้เจ้านี่สิ!”