บทที่ 1062 หานเจวี๋ยเตรียมการ
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังวิเคราะห์ศึกใหญ่แห่งฟ้าบุพกาลกับเหล่าคู่บำเพ็ญอยู่ หานฮวงและหานเย่ก็เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งอีกครั้ง
ครั้งนี้เป็นกลุ่มมิ่งที่เข้าโจมตีโดยมีหลี่เต้าคงเป็นผู้นำ ยอดมหามรรคสิบคนและอริยะมหามรรคนับร้อยดาหน้าโจมตีเข้ามา รัศมีพลังที่มารวมกันอยู่ในที่แห่งนั้นทำให้ห้วงอวกาศในละแวกใกล้เคียงพังทลายอย่างต่อเนื่อง ห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าปรากฏขึ้นมาดั่งบุปผามากมายผลิบาน ทำให้ฉากต่อสู้ดูพร่างพราวยวนตา
เมื่อหานเจวี๋ยได้เห็นฉากนี้ก็รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
ช่วงร้อยล้านปีมานี้ฟ้าบุพกาลพัฒนาไปเร็วเหลือเกิน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเจ้านวฟ้าบุพกาลใกล้จะฝ่าทะลวงหรือเป็นเพราะผลกระทบจากตัวเขากันแน่
เป็นยุคสมัยที่ไม่ว่าจะเป็นยอดมหามรรคหรือว่าอริยะมหามรรคล้วนมีจำนวนมากมายเกินสถิติที่ผ่านมา
พอลองคิดดูให้ดี ในส่วนนี้นับเป็นผลงานของเทพมหาทัณฑ์ เทพมหาทัณฑ์ให้การพิทักษ์ดูแลบุตรแห่งสวรรค์มากนัก ประกาศไม่ให้มีการเข่นฆ่าสกัดขวางบุตรแห่งสวรรค์แบบตัดรากถอนโคน หากสังหารแบบธรรมดาต่อให้ตายไป เหล่าผู้ทรงพลังล้วนมีวิธีรักษาชีวิตและฟื้นคืนชีพได้ กลัวก็แต่ศัตรูจะตามพัวพันไม่เลิกรา ดังนั้นด้วยกฎเกณฑ์นี้ที่เทพมหาทัณฑ์ตั้งขึ้นต่อให้บุตรแห่งสวรรค์ตายไปก็สามารถคืนชีพกลับมาได้
อัตราการรอดชีวิตของบุตรแห่งสวรรค์เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจำนวนยอดมหามรรคและอริยะมหามรรคย่อมเพิ่มมากขึ้น
หากเป็นสมัยก่อน อริยะมหามรรคและยอดมหามรรคใช่ว่ามีแค่คุณสมบัติเลิศล้ำแล้วจะเพียงพอ ล้วนต้องมีกลยุทธ์สูงส่งและมีโชควาสนาเกื้อหนุนด้วย เปรียบเทียบกับตอนที่ผู้พิสูจน์มหามรรคจะก้าวผ่านบานประตูมหามรรค ในอดีตจะถูกผู้ทรงพลังอาวุโสจงใจสกัดขวางไว้ จอมเทพข่งเซวี่ยเองก็เคยถูกสกัดขวางมาก่อน
ในยุคนั้นต่อให้บุตรแห่งสวรรค์แข็งแกร่งแค่ไหน หากถูกผู้ทรงพลังสร้างปัญหาให้ก็ไม่มีทางฝ่าทะลวงได้
“ตอนนี้หลี่เต้าคงร้ายกาจมากจริงๆ เมื่อก่อนก็คิดว่าเขาแข็งแกร่งมากพอแล้ว แต่ตอนนี้กลับรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าเดิม แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้สังกัดสำนักซ่อนเร้นแล้ว” สิงหงเสวียนเอ่ยอย่างสะท้อนใจ
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นก็ไม่แน่ ข้าได้ยินว่าหลี่เต้าคงสังหารสรรพสิ่งไปนับไม่ถ้วน มีเพียงศิษย์สำนักซ่อนเร้นเท่านั้นที่ไม่เคยถูกเล่นงานเลย กลุ่มมิ่งทั้งหมดก็ล้วนทำเช่นนี้ คาดว่าคงเป็นผลงานของเขาแน่นอน”
เหล่าสตรีล้วนมองไปที่หานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บางทีใจเขาอาจจะยังอยู่กับสำนักซ่อนเร้น ซึ่งก็มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้”
พอได้เห็นรอยยิ้มและวาจาเช่นนี้จากเขา เหล่าสตรีต่างเดาออกว่าเขายังติดต่อกับหลี่เต้าคงอยู่ เพียงแต่พวกนางไม่ได้เอ่ยออกไปตรงๆ
พวกนางมิใช่มนุษย์ธรรมดาเหมือนในกาลก่อนแล้ว ยิ่งตบะสูงมากเท่าไรสิ่งที่พึงหวาดกลัวก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น บางครั้งขอเพียงพูดออกไปถึงแม้รอบข้างจะไร้ผู้คนแต่ก็ยังถูกทำนายพบได้
หลี่เต้าคงไม่ด้อยไปกว่าหานฮวงเลย ภายหลังได้สำแดงโลกกระบี่ออกมา เป็นโลกมหามรรคที่ก่อตัวขึ้นจากกระบี่นับไม่ถ้วน กระบี่ทรงพลังมหาศาล ทำให้กระบี่ในโลกฟ้าบุพกาลสั่นสะท้านเกรียวกราว ราวกับกำลังจะคารวะต่อบรรพชนกระบี่ที่จุติสู่โลกา
“หลี่เต้าคง กระบี่ของเจ้าแข็งแกร่งกว่าเหล่าจื่อเสียอีก!”
หานฮวงหัวเราะเสียงดังพลางเอ่ยออกไป ได้พบหลี่เต้าคงเขาดีใจอย่างยิ่ง ในอดีตยามที่เขาออกท่องฟ้าบุพกาลเคยได้รับความช่วยเหลือจากหลี่เต้าคงอยู่หลายครั้ง เปี่ยมความประทับใจในตัวเขา
หลี่เต้าคงเหยียบอยู่บนกระบี่แสงที่ยาวนับร้อยล้านลี้ ทอดมองเงาร่างเทพมารอนธการที่เลิศล้ำโลกา ทอดถอนใจก่อนเอ่ยไปพร้อมรอยยิ้มว่า “หานฮวง เจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ สมกับที่เป็นบุตรชายของท่านผู้นั้น แต่การต่อสู้ในวันนี้ ข้าและเหล่าผู้กำหนดชะตาเคราะห์ไม่มีทางยอมรามือ”
“ข้าเข้าใจดี มาเถอะ ข้ายินดีรับคำท้าจากสรรพสิ่ง หากว่าข้าพ่ายศึก เช่นนั้นข้าก็ไม่คู่ควรพอจะได้เป็นเทพมารอนธการแล้ว เทพมารอนธการจะต้องเป็นตัวตนที่สะกดข่มอยู่เหนือกว่าทุกตัวตน!”
เสียงหัวเราะของหานฮวงโอหังอย่างยิ่ง ก้องสะท้อนกลับไปกลับมาในห้วงอวกาศ ล่องลอยไปไกลนัก
เหล่าผู้เฝ้ามองการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปอดไม่ได้ที่จะยอมรับนับถือ
“ก็จริงนะ หากเขามิใช่เทพมารอนธการ ทอดสายตามองไปทั่วสี่โลกมหามรรคฟ้าบุพกาล พ้นนิวรณ์ อวิชชาและผลาญนภาแล้ว ยังจะมีผู้ใดคู่ควรเป็นเทพมารอนธการอีกเล่า”
“ถึงแม้คนผู้นี้จะเหี้ยมหาญ แต่พลังของเขาแกร่งกล้าถึงขีดสุดจริงๆ”
“เทพมารอนธการมีช่องว่างที่ทิ้งห่างจากสรรพสิ่งจริงๆ หรือ”
“หานฮวงก็ใช้ได้เลย แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าหานเย่คนนั้นก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน น่าจะกลายเป็นหานฮวงคนที่สองในไม่ช้าก็เร็ว”
“ล้วนแซ่หานทั้งคู่ หรือว่าหานเย่จะเป็นบุตรชายของหานฮวง”
“ชนรุ่นหลัง เจ้าเดาผิดแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะมีรากเหง้าเดียวกัน แต่หาใช่พ่อลูกไม่ อีกทั้งหานฮวงก็มิใช่ผู้บุกเบิกตั้งตระกูลหานขึ้น ต่อให้หานฮวงแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่มีทางสู้อริยะสวรรค์เกรียงไกรผู้เป็นดั่งตำนานปรัมปราได้”
“หานฮวงคือบุตรชายของอริยะสวรรค์เกรียงไกร อริยะสวรรค์เกรียงไกรไหนเลยจะขัดขวางเส้นทางพิสูจน์มรรคของเขาได้ อีกอย่าง อริยะสวรรค์เกรียงไกรไม่มีทางแยแสสมญานามเลื่อนลอยอย่างเทพมารอนธการ”
สรรพสิ่งวิพากษ์วิจารณ์กันไป การต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดนี้ มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่กลายเป็นผู้ศรัทธาในตัวหานฮวงไปแล้ว ชื่นชมเขาอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยรับชมอยู่สักพักก็จากไป ทิ้งให้เหล่าสตรีชมการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้นต่อ
เมื่อกลับมาถึงอารามเต๋า ซั่นเอ้อร์ก็ชมการต่อสู้อยู่เช่นกัน ชมอย่างได้อรรถรสนัก ขาดก็เพียงกำเมล็ดแตงไว้ในมือเท่านั้น
พอเห็นหานเจวี๋ยกลับมา ซั่นเอ้อร์คิดจะคารวะ แต่หานเจวี๋ยโบกมือปราม
“เจ้าดูต่อไปเถอะ”
หานเจวี๋ยกล่าวออกไปเช่นนี้ จากนั้นนั่งลงบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร
เขาหลับตาลง ใคร่ครวญอยู่ในใจ
ตอนนี้เขามีสวรรค์ประทานโชคสะสมอยู่แปดครั้ง จะใช้เลยดีหรือไม่
‘แล้วไปเถิด รอไปอีกสิบล้านปีแล้วกัน เมื่อถึงเวลานั้นค่อยใช้เก้าครั้งในรวดเดียว เก้าคือจำนวนสุดท้าย จำนวนแห่งมหามรรคจะต้องโชคดีแน่นอน’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถจัดกลุ่มเก้าผู้ครองมหาโชคได้ เหมือนกับห้าเทวทัณฑ์ในยุคแรก ชุบเลี้ยงให้กลายเป็นเก้ามหาอริยะแห่งอริยะสวรรค์เกรียงไกร
แค่คิดหานเจวี๋ยก็รู้สึกตั้งตารอแล้ว
ช่วงเวลาแห่งการฝึกบำเพ็ญสมควรมีสีสันมาเพิ่มเติมบ้าง ตั้งแต่หานหลิงจากไป หานเจวี๋ยค่อนข้างเบื่อหน่ายยิ่ง ส่วนซั่นเอ้อร์ก็ไม่น่าสนใจพอ เด็กคนนี้ขี้ตื่นตูมกว่าเขาเสียอีก ปกติแล้วชอบเพียงข่มเหงคนระดับต่ำกว่าในแบบจำลองการทดสอบ ไม่เหมือนหานหลิงที่ถึงแม้จะพ่ายแพ้เสมอแต่ก็กล้าท้าประลองเขาไปเรื่อยๆ
….
ณ วังสวรรค์ ภายในพระราชวังเทียมเมฆา
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายนั่งอยู่บนบัลลังก์ ฟังเหล่าเทพเซียนในห้องโถงวิจารณ์ถึงชื่อเสียงของหานฮวง เขายิ้มออกมาเล็กน้อย
เทพมารปฐมยุคก็อยู่ด้วย เขาถูกหานหลิงส่งตัวมาที่นี่นานสักพักใหญ่แล้ว อาศัยคุณสมบัติรากวิญญาณปฐมยุคลงหลักปักฐานในวังสวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว ยามนี้ถูกยกย่องให้เป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งวังสวรรค์
พอได้ยินข่าวของหานฮวง เทพมารปฐมยุคอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากที่ได้พบหานฮวงในครั้งแรก ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้เขายังห่างชั้นจากหานฮวงอีกมากแค่ไหน
เซียนเฒ่าคนหนึ่งก้าวออกมา ขัดจังหวะวิจารณ์ของเหล่าเทพเซียน ประสานมือคำนับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลางเอ่ยไปว่า “ฝ่าบาท โลกนี้เต็มไปด้วยการต่อสู้แย่งชิง หากวังสวรรค์เก็บตัวอย่างสงบโดยไม่แก่งแย่งต่อสู้ไปตลอด สุดท้ายจะต้องไปอยู่ปลายแถวแน่นอน ข่าวลือเรื่องยุคสมัยไร้สิ้นสุดแพร่หลายไปทั่วแล้ว เมื่อยุคสมัยไร้สิ้นสุดมาถึง ฟ้าบุพกาลจะแบ่งแยกออกเป็นหลายฝักฝ่ายนับไม่ถ้วนแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นทุกฝ่ายล้วนจะตั้งตนเป็นเอกเทศ ต่างไปจากในปัจจุบันนี้ที่สิ่งมีชีวิตในแต่ละอาณาเขตยังไปมาหาสู่กันมีไมตรีต่อกันและกัน เมื่อถึงเวลานั้นกลุ่มอำนาจและดวงชะตาจะแตกต่างกันไป หากสิ่งมีชีวิตธรรมดาต้องการจะเข้าร่วมอย่างกะทันหันก็คงไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพยักหน้ารับ เอ่ยออกไปว่า “เจ้าพูดมีเหตุผล เพียงแต่วังสวรรค์สมควรแย่งชิงอย่างไรเล่า แย่งชิงตำแหน่งเทพมารอนธการหรือว่าแย่งชิงอาณาเขตดินแดน”
เซียนเฒ่าตอบว่า “แย่งชิงดินแดนพ่ะย่ะค่ะ วังสวรรค์ไม่มีผู้มีคุณสมบัติจะไปแย่งชิงตำแหน่งเทพมารอนธการได้ อีกทั้งหานฮวงก็มีไมตรีกับวังสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องทำลายไมตรีเลย แย่งชิงดินแดนเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์ที่สุด หากได้ครอบครองอาณาเขตในละแวกข้างเคียงจะดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ เช่นนี้ถึงฟ้าบุพกาลจะแตกแยก แต่หากอาณาเขตของวังสวรรค์อยู่ในละแวกเดียวกันจะควบคุมได้ง่ายกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
พอเทพมารปฐมยุคได้ยินก็เอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์ทันที “ใครบอกว่าวังสวรรค์ไม่สามารถแย่งชิงตำแหน่งเทพมารอนธการได้”
เซียนเฒ่าเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง หัวเราะฮ่าๆ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งออกไป เช่นนี้ยิ่งทำให้เทพมารปฐมยุคโมโหกว่าเดิม
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกวาดตามองสีหน้าของเหล่าเทพเซียน ค่อยๆ ถามขึ้นว่า “เรากำลังสานสัมพันธ์กับพ้นนิวรณ์ หากเข้าไปตั้งรกรากในพ้นนิวรณ์เมื่อถึงเวลาจะได้ครอบครองอาณาเขตดินแดนมากกว่าตอนนี้หลายร้อยเท่า ทุกท่านคิดเห็นอย่างไรเล่า”
พอเขาเอ่ยไปเช่นนี้เหล่าเทพเซียนต่างก็ส่งเสียงฮือฮา
ไปพ้นนิวรณ์หรือ
เช่นนั้นไม่เท่ากับหักหลังฟ้าบุพกาลหรือ