ตอนที่ 260-2 จุดจบอันเยี่ยมยอด

ตอนที่เสี่ยวไป๋เกือบจะรักษาความบริสุทธิ์ไว้ไม่ได้แล้วนั่นเอง เงาสีดำหนึ่งสายกับสีขาวหนึ่งสายก็หิ้วหม้อเหล็กใบน้อยออกมาจากห้องครัวแล้วย่องเข้ามาด้านหลังทั้งสองคนช้าๆ

สหายของนางสองหูขยับกระดุกกระดิก “มีเสียงบางอย่าง!”

ทั้งสองคนหันไปมองด้านหลังพร้อมกัน แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกหม้อเหล็กใบน้อยสองใบตบดัง ป้าบ! จนสลบไป!

จูเอ๋อร์ฉกกุญแจมาจากบนร่างหญิงรับใช้

ต้าไป๋ยืดตัวยืน เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของต้าไป๋ จูเอ๋อร์กระโดดขึ้นไปบนหัวไหล่ของเสี่ยวไป๋อีกที ในที่สุดก็ถึงรูกุญแจ

เจ้าตัวน้อยทั้งสามเปิดประตูบานใหญ่สำเร็จเป็นครั้งแรกในชีวิตสัตว์เดรัจฉาน พวกมันกระโดดโลดเต้นดีใจเริงร่า

เฉียวเวยมองเจ้าตัวจ้อยทั้งสามอย่างประหลาดใจ “พวกเจ้ามาได้อย่างไร”

เสี่ยวไป๋เบ่งกล้ามอวด

เฉียวเวยเดินมาที่ประตู นางลากหญิงรับใช้ที่สลบอยู่ทั้งสองคนเข้าไปในห้องแล้วยัดไว้ใต้เตียง

ตรงนี้มีคนเดินลาดตระเวนเป็นระยะ หากพบว่าบนพื้นมีคนสลบอยู่ จะต้องเข้ามาในห้องเพื่อตรวจดูนางเป็นแน่ ถ้าอย่างนั้นนางหนีไปได้ไม่ไกลเท่าใดก็คงถูกคนหาพบ

หลังจากซ่อนหญิงรับใช้ที่สลบเสร็จแล้ว เฉียวเวยกับเจ้าตัวน้อยทั้งสามก็เดินออกมาจากห้อง กำลังจะลงกลอนประตู เสียงสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามก็ดังมาจากระเบียงทางเดิน “ต้องเป็นฝีมือนางผู้หญิงคนนั้นแน่!”

เฉียวเวยเดินกลับเข้าไปในห้อง นางซ่อนแม่กุญแจไว้ในแขนเสื้อแล้วปิดประตู!

เจ้าตัวน้อยทั้งสามหาที่ซ่อนอย่างว่องไว ใต้เตียงไม่มีที่แล้ว จูเอ๋อร์กับต้าไป๋เข้าไปเสร็จ เสี่ยวไป๋จะเบียดเข้าไปก็เบียดไม่ได้แล้ว

ต้าไป๋ยกขาถีบเสี่ยวไป๋ออกมา!

เสี่ยวไป๋กลิ้งหลุนๆ ไปข้างประตู

ปึง!

ประตูถูกเรี่ยวแรงมหาศาลผลักเปิด!

เสี่ยวไป๋นั่งลงในพริบตา สายตาทอดมองไปไกล แน่นิ่งไม่ขยับ

ปลายหางตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามมองเห็น…หินแกะสลักที่โผล่มาจากความว่างเปล่าบนพื้น แม้จะดูแปลกๆ แต่ในเวลาเช่นนี้ ผู้ใดยังจะสนใจเรื่องนี้อีกเล่า

เฉียวเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้ แทะเมล็ดแตงอย่างสบายอุรา ในถาดด้านหน้ามีเปลือกเมล็ดแตงกองเป็นเนินเขาขนาดย่อมๆ

เฉียวเวยหนังตาไม่กระตุกสักนิด ถามขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “โอ๊ะ ลมอะไรหอบสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามมาเล่า”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามมองนางอย่างเย็นชาแล้วถามอย่างระมัดระวัง “กลอนบนประตูเหตุใดจึงไม่อยู่แล้ว สาวใช้ที่เฝ้าประตูก็ด้วย”

“เจ้าถามข้าหรือ” เฉียวเวยหัวเราะ “ฝากเจ้าทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดหน่อยเถอะ ข้าคือคนที่ถูกขังอยู่ข้างในตลอด ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสาวใช้ของเจ้าไปที่ใดแล้ว ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าแม่กุญแจที่ประตูไม่อยู่แล้ว เจ้าไม่ลองไปถามคนอื่นดูเล่า ดูซิว่าหญิงรับใช้สองคนนั้นไปดูเรื่องสนุกที่ด้านหน้าหรือเปล่า เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงเอะอะดังยิ่งนัก ตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้าคงไม่ได้เกิดปัญหาขึ้นอีกแล้วกระมัง”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามถูกเฉียวเวยพูดชักจูงเท่านี้ก็ลืมความสงสัยก่อนหน้าในพริบตา นางเดินไปหาเฉียวเวย แล้วตวาดอย่างยากจะระงับโทสะ “เจ้าทำอะไรกับศิษย์พี่ของข้ากันแน่”

“ศิษย์พี่คนไหนของเจ้าเล่า” เฉียวเวยถาม

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามแค่นเสียงหยัน “ไม่ต้องแกล้งเสแสร้ง! วันนี้ศิษย์พี่ของข้ามาพบเจ้าถึงกลายเป็นสภาพเช่นนั้น”

เฉียวเวยตอบอย่างไม่เข้าใจ “ศิษย์พี่ของเจ้ากลายเป็นสภาพเช่นไร”

“ศิษย์พี่ของข้า…” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเปิดปาก แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าตนเองกำลังถูกอีกฝั่งจูงจมูกเดินอย่างสมบูรณ์ ลมหายใจของนางชะงัก แล้วตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าไม่ต้องสนว่าศิษย์พี่ของข้ากลายเป็นสภาพเช่นไร! เจ้าบอกมาตามตรงว่าเป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่”

เฉียวเวยถอนหายใจอย่างจนปัญญา “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามเอ๋ย ข้าถูกเจ้าจับตัวมา หลังจากเจ้าสกัดจุดข้า เจ้าก็ค้นตัวข้าจนทั่วแล้ว แม้แต่กริชป้องกันตัวของข้าก็ถูกเจ้ายึดไป ข้าเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าข้ามีความสามารถอันใดไปทำอะไรศิษย์พี่ของพวกเจ้าอีกหรือ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามว่าอย่างเกรี้ยวกราด “ไม่ใช่ฝีมือเจ้า ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็บอกมาสิว่าแมลงกู่ที่ควรจะอยู่บนตัวเจ้าแท้ๆ เหตุใดจึงไปอยู่บนตัวศิษย์พี่ของข้าได้”

ลูกตาของเฉียวเวยขยับเล็กน้อย มือยกขึ้นลูบปลายคาง “ศิษย์พี่ของเจ้าถูกแมลงกู่เล่นงานหรือ แมลงกู่อะไรเล่า”

“สุนัข…เหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วย!”

สาวน้อยคนนี้ชอบหลอกถามนางอยู่เรื่อย!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเงื้อฝ่ามือขึ้น คิดจะสั่งสอนเฉียวเวยให้เจ็บจนหลาบจำสักหน “หนนี้ ข้าจะดูซิว่ายังจะมีผู้ใดปกป้องเจ้าได้อีก!”

เพิ่งเอ่ยจบ ท้องก็บิดมวนปั่นป่วน บางสิ่งคล้ายจะปะทุออกมาจากในร่าง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามปวดจนต้องร้องโอดโอย มือข้างหนึ่งกุมท้อง มือข้างหนึ่งปิดก้น พุ่งไปทางห้องส้วมปานสายฟ้าแลบ

ตำหนักธิดาเทพเกิดเรื่อง เวลานี้ไม่หนีแล้วจะรอเวลาใดอีก

เฉียวเวยรีบพาเจ้าตัวน้อยทั้งสามออกมาแล้วลงกลอนประตูให้เรียบร้อย นางหลบเลี่ยงสายตาของศิษย์ทั้งหลายที่ลาดตระเวนแล้วปีนข้ามกำแพงออกมาจากเรือนด้านหลัง

เจ้าตัวน้อยทั้งสามค้นในตำหนักมาก่อนแล้ว จีหมิงซิวไม่อยู่ที่นี่

หากไม่อยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นก็คงอยู่ที่สำนักผู้อาวุโส

ไม่ว่าอย่างไร ออกจากตำหนักธิดาเทพก่อนค่อยว่ากัน

ต้าไป๋คุ้นเคยกับภูมิประเทศอย่างยิ่ง มันหาเส้นทางหลบหนีที่ไม่มีคนเส้นหนึ่งได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก พวกเขามุ่งไปทางตะวันออกตามเส้นทางเส้นนี้ ระหว่างทางเดินผ่านกระท่อมน้อยที่ไม่สะดุดตาสักนิดหลังหนึ่ง เฉียวเวยได้กลิ่นยาจางๆ

เฉียวเวยตบไหล่ของต้าไป๋ ต้าไป๋เผ่นแผล็วเข้าไป ตระเวนด้านในรอบหนึ่ง ปลอดภัย!

ยามปกติที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งถูกเฝ้าแน่นหนา แต่จนปัญญาที่เย็นวันนี้ตำหนักด้านหน้าเกิดเรื่อง ศิษย์ทั้งหมดจึงไปคุมสถานการณ์ฝั่งนั้น ด้วยเหตุนี้ที่แห่งนี้จึงใช้แต่แม่กุญแจลงกลอนห้องที่สำคัญเอาไว้เท่านั้น

สะเดาะกุญแจ นั่นของถนัดของพี่สาว

เฉียวเวยปลดปิ่นปักผมลงมาแล้วสอดเข้าไปในรูกุญแจ นี่ไม่ใช่แม่กุญแจธรรมดา แต่สร้างความลำบากให้นางไม่ได้หรอก อย่างมากที่สุดสองนาที นางก็…

กึด!

โซ่ถูกเขี้ยวของต้าไป๋กัดขาด…

เฉียวเวยเข้าไปในห้องก็พบว่าที่แห่งนี้เป็นห้องโอสถขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ตอนแรกที่มารดาของนางสร้างชื่อเป็นหมอเทวดาในต้าเหลียงได้ ล้วนเป็นเพราะอาศัยโอสถที่ขโมยมาจากตำหนักธิดาเทพ ยาที่นี่ หากจับคู่ให้เหมาะก็ได้ผลไม่ต่างจากผลสองภพสักเท่าใด

เฉียวเวยมองดูโอสถที่อัดแน่นเต็มตู้ใบใหญ่แล้วสูดน้ำลาย นางหาถุงกระสอบใบใหญ่สองใบมาแล้วกวาดยาลงไปจนหมด หลังจากนั้นก็หาผ้าปูเตียงผืนใหญ่มาอีกผืนหนึ่งมัดรวบถุงกระสอบผูกไว้บนหลังของตนเอง เพราะไม่รู้ว่าตำหนักธิดาเทพมีห้องโอสถห้องนี้เพียงห้องเดียวหรือไม่ เฉียวเวยจึงพกถุงกระสอบเปล่าไปเพิ่มอีกสองใบ แล้วให้เจ้าตัวน้อยทั้งสามผูกถุงกระสอบเปล่าเตรียมพร้อมเอาไว้

หลังจากปล้นห้องโอสถจนเกลี้ยงแล้ว เฉียวเวยกับเจ้าตัวน้อยทั้งสามก็หนีจากสถานที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว

หนีออกมาได้ไม่ไกลเท่าใด เฉียวเวยก็มาถึงสวนผลไม้แห่งหนึ่ง กวาดสายตามองไป ทั้งหมดล้วนเป็นผลสองภพขาวอวบอ้วน!

ผลสองภพเพียงผลเดียวที่จวนไท่ซือตอนนั้นก็ทำให้สมาคมกระบี่กับสำนักซู่ซินจงแย่งกันจนหัวแตกเลือดอาบแล้ว แต่ที่นี่กลับมีเป็นแถบ มีเต็มแน่นยั้วเยี้ยไปหมด!

เฉียวเวยตกใจจนคางเกือบร่วง

ที่กล่าวกันว่าเดินจนรองเท้าเหล็กทะลุหาไม่เจอ ยามได้มาไม่ต้องเปลืองแรงสักนิด มันเป็นเช่นนี้เองสินะ!

ผลสองภพมีฤทธิ์ในการดึงดูดสัตว์ทั้งหลายอย่างร้ายกาจ เจ้าตัวน้อยทั้งสามไม่รอเฉียวเวยสั่งก็แย่งกันพุ่งเข้าไป

เฉียวเวยไม่กลัวพวกมันกินผลไม้หมด ผลไม้ที่นี่อย่างน้อยก็มีหลายร้อยผล ต่อให้พวกมันกินจนอิ่มก็ยังมีเหลือ

ทว่าผลไม้มากมายเช่นนี้ แต่ละปีกลับส่งบรรณาการให้ท่านตาของนางเพียงสิบผล ส่วนที่เหลือล้วนลงไปอยู่ในท้องสตรีฝูงนั้น ผลสองภพหนึ่งผลทำให้คนเพิ่มพูนกำลังภายในได้สิบถึงยี่สิบปี มิน่าศิษย์กลุ่มนั้นอายุยังน้อย แต่วรยุทธ์ของแต่ละคนๆ กลับร้ายกาจ

หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่สั้นๆ เฉียวเวยก็เปิดปากกระสอบแล้วเด็ดผลไม้อย่างรวดเร็ว

ซ้ายหนึ่งผล ขวาหนึ่งผล เด็ดอย่างคึกคักยิ่งนัก

“ผู้ใดใช้ให้จับข้ามา!”

“ผู้ใดใช้ให้ขังข้าไว้!”

“ผู้ใดใช้ให้ตวาดใส่ข้า!”

“นายหญิงคนนี้จะเด็ดผลไม้ของเจ้าให้เกลี้ยง! สักลูกก็ไม่เหลือไว้ให้!”

เฉียวเวยเด็ดเองไม่ไวพอ จึงหิ้วเจ้าตัวจ้อยทั้งสามขึ้นมาด้วย “เลิกกินได้แล้ว เด็ดเสร็จกลับไปแล้วค่อยๆ กิน!”

ทั้งสี่จึงเริ่มเด็ดผลไม้อย่างบ้าคลั่ง เฉียวเวยกับจูเอ๋อร์ต่างเด็ดผล ส่วนต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ถอนขึ้นมาทั้งราก ไม่รู้ว่าเก็บอยู่นานเท่าใด แต่สุดท้ายสวนผลไม้ก็ถูกเด็ดจนไม่เหลือแม้แต่ผลเดียว!

แผ่นหลังของเฉียวเวยเหมือนแบกภูเขาขนาดย่อมไว้ลูกหนึ่ง ห่อสัมภาระของเจ้าตัวจ้อยทั้งสามก็ถูกยัดจนเต็มแน่น เรียกได้ว่าไม่ปล่อยให้มีสิ่งใดเสียเปล่าแม้แต่น้อย

อีกด้านหนึ่ง ศิษย์หลายร้อยคนออกมาจัดการ ในที่สุดจึงคุมสถานการณ์ชุลมุนเอาไว้ได้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งถูกประคอง (จับตัว) กลับมาในห้องแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ให้นางกินยาแก้พิษ ในที่สุดนางก็เลิกบ้าคลั่ง ทว่าเมื่อนางส่องกระจก นางก็รู้สึกว่าให้นางเป็นบ้าต่อไปเสียยังจะดีกว่า!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างหวาดกลัว

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองทั้งสองคนอย่างขัดใจยิ่งนัก “เหตุใดพวกเจ้าจึงทำเช่นนี้”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่แก้ตัว “แต่เดิมพวกเราจะวางยาจั๋วหม่าน้อย ไม่รู้ว่าเหตุไฉนศิษย์พี่ใหญ่จึงโดนเข้า! เรื่องนี้…เรื่องนี้ล้วนเป็นความคิดของศิษย์พี่สาม! ศิษย์พี่สามบอกว่าสาวน้อยคนนั้นไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังกล้ารังแก พวกเราต้องให้บทเรียนกับนางสักหน!”

ศิษย์พี่สามตอบราวกับได้รับความอยุติธรรม “ข้าพูดเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไร พวกเราหารืออยู่ด้วยกันแท้ๆ!”

“ท่าน…”

“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว!” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตวาดห้ามทั้งสองคน “พวกเจ้าคิดว่าขอเพียงข้าลงจากตำแหน่ง ตำหนักธิดาเทพก็จะผลัดถึงตาพวกเจ้าเป็นนายใช่หรือไม่”

ศิษย์พี่รองตายแล้ว หากศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่อยู่ด้วย ถ้าเช่นนั้นไยมิใช่ศิษย์พี่สามเป็นใหญ่ ศิษย์พี่สี่ก็เป็นอันดับสอง

ไม่อาจไม่พูดว่าตรรกะความคิดของศิษย์พี่ใหญ่มีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ แต่จุดสำคัญก็คือทั้งสองคนไม่เคยคิดไปทางนั้น ทั้งสองคนมองศิษย์พี่ใหญ่ด้วยสายตาของคนถูกใส่ร้าย “ศิษย์พี่ใหญ่ใส่ร้ายพวกเราแล้ว!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกที่เงียบขรึมมาตลอดเปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “จะใส่ร้ายจริงหรือไม่ วันหน้าค่อยสอบสวน แก้พิษให้ศิษย์พี่ใหญ่ก่อนเถิด!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่แก้พิษของแมลงกู่ให้แล้ว แต่พิษของแมลงน้อยอีกสองชนิดไม่ใช่สิ่งที่นางแก้ได้

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเรียกหญิงรับใช้มาสองคน “เจ้าไปเอาน้ำค้างแก่นเหมันต์จากในห้องโอสถมาหนึ่งขวด เจ้าไปเก็บผลสองภพสักผล”

น้ำค้างแก่นเหมันต์ใช้เช็ดหน้าลดอาการบวม ผลสองภพใช้ขับพิษไล่สิ่งไม่ดีในร่าง

หญิงรับใช้สองนางรับคำสั่งแล้วจากไปอย่างว่องไว

ไหนเลยจะคิดว่าไม่ถึงหนึ่งเค่อ หญิงรับใช้คนแรกก็วิ่งโซซัดโซเซกลับมา “แย่แล้วเจ้าค่ะๆ! สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง! ห้องโอสถถูกปล้นไปแล้ว!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งหน้าถอดสี “อะไรนะ”

หญิงรับใช้ตอบเสียงสั่น “จริงๆ เจ้าค่ะ…ถูกปล้นไปแล้ว…ยาทั้งหมด…ไม่เหลือแม้แต่เม็ดเดียว…”

ยาเหล่านั้นแทบทุกเม็ดล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า พวกมันล้วนเป็นหยาดเหงื่อแรงกายหลายสิบปีของนักปรุงโอสถแห่งตำหนักธิดาเทพ พวกเขาพัฒนาสูตรยาอย่างไม่หยุดหย่อนกว่าจะปรุงออกมาได้ตู้เท่านี้ ทว่ากลับ…หายไป…หมดแล้วหรือ

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเลือดลมพลุ่งพล่าน

ไม่รอให้นางทำใจยอมรับข่าวร้ายนี้ได้ หญิงรับใช้คนที่สองก็กลับมา สีหน้าหวาดหวั่นยิ่งกว่าสหายของตนเอง

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นอะไรอีก”

หญิงรับใช้สะอื้น “ผลสองภพ…ไม่เหลือแล้วเจ้าค่ะ!”

หน้าอกของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเจ็บปวดรวดร้าว

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกก้าวเข้ามามองนางอย่างเคร่งขรึม “ไม่เหลือแล้วหมายความว่าอย่างไร ที่นั่นมีอยู่ตั้งหลายร้อยผล”

“ทั้ง…ทั้งหลายร้อยผล…ไม่…ไม่เหลืออยู่เลย…” หญิงรับใช้กลัวจนร่ำไห้

หากบอกว่ายาทั้งหลายใช้สมุนไพรกับความทุ่มเทมากมายปรุงขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าเช่นนั้นผลสองภพที่ออกผลหนึ่งหนทุกยี่สิบปีย่อมเป็นความเสียหายที่กำลังมนุษย์ไม่อาจชดเชยได้

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งทนรับเรื่องสะเทือนใจเช่นนี้ไม่ไหว นางกระอักเลือดคำหนึ่งออกมาดัง อั้ก!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกไม่อยากจะเชื่อ “ผู้ใด ฝีมือผู้ใดกันแน่”

ศิษย์หญิงคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งถลาเข้ามา “แย่แล้วเจ้าค่ะสตรีศักดิ์สิทธิ์! แขกคนนั้นไม่อยู่แล้ว!”

แต่เดิมอาจรู้ตัวเร็วกว่านี้ แต่จนปัญญาที่บนประตูมีกุญแจคล้องอยู่ พวกนางจึงไม่ใส่ใจเท่าใดนัก จนกระทั่งลาดตระเวนสองรอบแล้วไม่เห็นหญิงรับใช้ที่เฝ้าประตูก็เดาว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นแล้ว จึงเปิดกุญแจเข้าไปดู จากนั้นก็ตาค้าง

“ต้องเป็นฝีมือนางแน่! ไม่ผิดแล้ว นาง! นางนั่นแหละ! นางเป็นคนทำ! ข้าจะฆ่านางเสีย!“ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามลุกพรวดขึ้นมาอย่างโกรธแค้น นางไม่สนคำห้ามปรามของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้า พาศิษย์สายตรงสามสิบกว่าคนรวมถึงชิงมั่วกับชิงซวงถลาออกจากตำหนักชั้นในพร้อมกับจิตสังหารอันล้นทะลัก ไล่ตามไปทางที่เฉียวเวยหนีออกไป

ตอนนี้เฉียวเวยกับเจ้าตัวจ้อยทั้งสามวิ่งออกมาพ้นตำหนักธิดาเทพแล้ว พวกเขาวิ่งเข้ามาในภูเขาด้านหลัง

เฉียวเวยวิ่งไปๆ ก็รู้สึกว่ามีคนไล่ตามมา

นางขยับร่างหลบ มีดบินเล่มหนึ่งพุ่งเฉียดใบหูของนางไป ผิวอันเย็นยะเยือกเหมือนจะแนบชิดใบหูของนางจนใบหูทั้งหมดเย็นยะเยือก

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

มีดบินมากกว่าเดิมพุ่งเข้าใส่ มีดเล่มหนึ่งในนั้นปักเข้ากลางแผ่นหลังของจูเอ๋อร์ จูเอ๋อร์กรีดร้องถลาฟุบลงบนพื้น ร่างกายกระตุกสองสามที สองตาก็เหลือกลอย ขาดใจตาย

เฉียวเวยร้อนใจจนอยากจะเตะมัน “ปักไม่ถูกเจ้าเสียหน่อย! ปักถูกห่อสัมภาระของเจ้าต่างหาก!”

ปิ๊ง!

จูเอ๋อร์ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นมาอย่างว่องไว แบกผลสองภพห่อเบ้อเริ่มวิ่งหอบแฮ่กไปด้านหน้าต่อ!