ภาค 1-2 บทที่ 192

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 บทที่ 192 หวังว่าเจ้ารักษาหายได้
บทที่ 192 หวังว่าเจ้ารักษาหายได้
โดย
Ink Stone_Romance
หมอหลวงเจียงเคยมีข้อตกลงกับข้า คนที่เขารักษาไม่หายให้ข้ารักษา ตอนนี้ข้ามารับคำท้าตามข้อตกลงแล้ว

นี่หมายความว่าอย่างไร?

นี่เรียกท้าทาย!

ได้ยินนายประตูมาแจ้ง สีหน้าบรรดาหมอหลวงอึ้งจากนั้นก็โกรธเกรี้ยว

“เกินไปแล้วจริงๆ”

“ไม่ดูเสียบ้างว่านี่เวลาใด”

“ไล่นางไป ไล่นางไป”

ทุกคนพากันเอ่ยขึ้น เจียงโหย่วซูกลับยกมือห้ามไว้

“นางบอกว่ามาทำตามข้อตกลง?” เขามองนายประตูเอ่ยถาม “นางรู้ข้ากำลังรักษาโรคให้ใครไหม?”

น่าจะรู้ นายประตูพยักหน้า

เดิมทีอาจไม่รู้ แต่ตอนนี้ข่าวไหวอ๋องเป็นฝีดาษกระจายออกไปแล้ว คนทั้งเมืองหลวงล้วนรู้แล้ว คุณหนูจวินต้องรู้ด้วยแน่นอน

“นางรู้สินะ” เจียงโหย่วซู่เอ่ยซ้ำรอบหนึ่ง เหมือนมีความนัย

นางรู้ว่าที่ป่วยตอนนี้คือไหวอ๋อง ถ้าอย่างนั้นนางรู้ว่าไหวอ๋องเป็นผู้ใดไหม?

นางคงไม่ได้คิดว่าองค์ชายฐานะสูงส่ง อาศัยโอกาสสร้างชื่อได้กระมัง?

เยาว์วัยเกินไป ไร้เดียงสาเกินไปแล้วจริงๆ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้นาง…” เจียงโหย่วซู่เอ่ย

คำพูดยังไม่ทันเอ่ยจบบรรดาหมอหลวงในห้องก็ยืนขึ้นมา

“ใต้เท้าไม่ได้นะ”

“ใต้เท้าจะให้นางรักษาไหวอ๋องได้อย่างไร”

ปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้? นี่คือโกรธหรือว่ากลัวไม่กล้ารับคำท้า?

นายประตูในใจประหลาดใจอยู่บ้าง

“ไหวอ๋องสูงศักดิ์เช่นนี้ จะให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้รับรักษาได้อย่างไร” หมอหลวงคนหนึ่งรู้สึกตัวว่าเสียกิริยา กระแอมทีหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น

นั่นก็ใช่ ฝีดาษโรคเช่นนี้เป็นโรคที่ไม่รักษา นายประตูก้มหน้าถอยออกไป

มองเห็นนายประตูออกไป บรรดาหมอหลวงในห้องลุกขึ้นเดินเข้ามาหลายก้าวทันที

“ใต้เท้า นี่ไม่อาจล้อเล่นได้” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย “ไม่อาจให้คุณหนูจวินรับรักษาได้ อย่างไร…”

อย่างไรที่ไหวอ๋องเป็นก็ไม่ใช่ฝีดาษ

พวกเขาใช้ยาจำนวนหนึ่งทำให้ไหวอ๋องแสดงอาการของฝีดาษออกมาได้ หลอกคนอื่นได้ หรือถึงขั้นหมอคนอื่นได้ แต่คุณหนูจวินไม่กล้ารับประกัน

อย่างไรไม่ว่าจะชิงขังหรือไม่ยอมรับ ดูหลายวันมานี้ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าวิชาแพทย์ของคุณหนูจวินไม่เลวจริงๆ เทพขนาดนั้นอย่างที่นางโม้ไว้หรือไม่ตอนนี้ยังไม่พูด แต่มีความสามารถจริงๆ อยู่บ้างแน่นอน

อาการป่วยที่แท้จริงของไหวอ๋องไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้ได้

จุดนี้เขาย่อมรู้เช่นกัน เจียงโหย่วซู่คิด แต่นี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง

เขายกถ้วยชาขยับหมุนช้าๆ

“ก่อนอื่น อาการป่วยของไหวอ๋องร้ายแรงมากจริงๆ ต่อให้ไม่ใช่ฝีดาษ ก็เพียงพอถึงชีวิตเช่นเดียวกับฝีดาษ” เขามองบรรดาหมอหลวงเอ่ยขึ้น “ที่พวกเราบอกว่าเป็นฝีดาษ เพียงเพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจถึงความรุนแรงร้ายแรงของโรคครั้งนี้ของไหวอ๋องเท่านั้น”

ความหมายก็คือจะบอกว่าไม่กลัวถูกคุณหนูจวินชี้ออกมาว่าไม่ใช่ฝีดาษ?

บรรดาหมอหลวงมองดูเจียงโหย่วซู สีหน้าไม่เข้าใจ

“นางชี้ว่าพวกเราวินิจฉัยผิด นี่ไม่ใช่เรื่องเสียหน้าอะไร ขอแค่นางรักษาหายได้” เจียงโหย่วซู่เอ่ย “พวกเราเป็นหมอ ขอเพียงคนไข้รักษาหายดีได้ อย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น”

หมอหลวงหลายคนสบตากัน เหตุผลก็ใช่เหตุผลนี้ แต่…

“ถ้าหากนางรักษาไม่หายเล่า?” หมอหลวงคนหนึ่งหลุดปากเอ่ยถาม

เจียงโหย่วซู่ยกถ้วยชาจรดริมฝีปาก

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไร้หนทางแล้ว” เขาเอ่ย “โทษพวกเราไม่ได้แล้ว”

พูดจบซดน้ำชาคำใหญ่

ถ้าอย่างนั้นก็ไม่อาจกล่าวโทษพวกเราแล้ว

บรรดาหมอหลวงสบตากัน ที่แท้ก็เช่นนี้เอง

อาการป่วยของไหวอ๋องรักษาไม่หายแล้วแน่นอน ส่วนฐานะของไหวอ๋องอย่างไรก็พิเศษ แม้ตอนนี้เปลี่ยนอาการป่วยเป็นโรคที่ไม่รักษา แต่เกิดเรื่องขึ้นก็ขาดการถกเถียงสักรอบไม่ได้แน่นอน

มีคนจะออกมาเป็นแพะรับบาป พวกเขาใยไม่ยินดีรับ

คุณหนูจวินกับหลิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่นอกประตูได้พักหนึ่งแล้ว สำนักแพทย์หลวงกระทั่งประตูใหญ่ก็ยังปิดอยู่

“คุณหนู เขาจะกลัวไม่กล้ารับหรือไม่เจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เบะปากสีหน้าติดจะดูแคลนเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิทยิ้ม

“ไม่มีทาง” นางเอ่ย “เขาไม่มีทางกลัว เขาจะดีใจมาก”

น้องชายของนางป่วยแล้ว คนมากมายล้วนดีใจ สำหรับคนมากมายแล้วนี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง

สำหรับนางแล้วก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่งเช่นกัน

เหยียบปลายดาบก้าวไปข้างหน้า แม้เจ็บปวดก็มีความสุขนัก

เห็นบรรดาหมอหลวงเข้าใจความหมายไปพบคุณหนูจวินคนนั้น เจียงโหย่วซู่ก็วางถ้วยชาลง สีหน้ายิ่งยุ่งยากกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน

บรรดาหมอหลวงเพราะคิดว่ารักษาไม่หาย มีคนจะออกมาเป็นแพะรับบาปจึงดีใจมาก

ส่วนเขาคิดมากกว่าหน่อย เขาถึงกับคิดว่านางรักษาหายดีได้

เจียงโหย่วซู่หยิบสมุดที่หนีบไว้ในบันทึกการรักษาเล่มหนึ่งบนโต๊ะออกมา นี่เป็นบันทึกเกี่ยวกับโรงหมอจิ่วหลิงที่องครักษ์เสื้อแพรส่งมา หลายเดือนนี้เขายังเติมเพิ่มไปอีกหน่อย

วิชาแพทย์ของเด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา แม้เขาไม่ยินดีนัก แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับความจริงนี้

นอกจากนี้เด็กสาวคนนี้ก็ไม่โง่ แม้มีใจกระหายชื่อเสียง ทำตัวดูแล้วประหลาดโอหัง แต่ในความหยาบมีความประณีต แต่ละก้าวยอดเยี่ยม

โรคนี้ ในเมื่อนางก้าวออกมาแล้ว ก็เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะรักษาหายดีได้

แต่ เขาไม่กังวลและไม่กลัวว่านางจะรักษาหายได้ เพราะนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คู่ควรดีใจอะไร

เจียงโหย่วซู่ปิดสมุด เพราคนที่ป่วยคนนี้คือไหวอ๋องนะ

ฮ่องเต้พิโรธเพราะอาการป่วยของไหวอ๋อง ส่วนไทเฮาปกป้องพวกหมอหลวง ดูไปแล้วเหมือนจะให้พวกเขาทุ่มเทรักษาโรคโดยไม่ต้องกังวลข้างหลัง แต่ความจริงแล้วก็คือบ่งบอกว่าโรคนี้รักษาไม่หายก็ไม่กล่าวโทษพวกเขา

รักษาไม่หายไม่กล่าวโทษพวกเขา ถ้าอย่างนั้นรักษาหายดีเล่า? จะกล่าวโทษพวกเขาหรือไม่?

เจียงโหย่วซู่ยกถ้วยชาดื่มคำใหญ่อีกครั้ง กลิ่มหอมของชาอบอวลทำให้คนเป็นสุข

ชื่อเสียงบางอย่างต้องการได้ ชื่อเสียงบางอย่างกลับเป็นดาบสะบั้นศีรษะ

คนอายุน้อยยังเยาว์วัยไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ

เห็นหมอหลวงหลายคนเดินเข้ามา บรรดานายประตูรีบเอ่ยถามอยู่บ้าง

ต้องการให้เขาไล่คนไปหรือจับไว้?

“เปิดประตู เชิญนางเข้ามา” หมอหลวงคนหนึ่งที่นำมาเอ่ยขึ้น

ต้องการเชิญเข้ามา? เห็นด้วยจริงๆ หรือ? บรรดานายประตูในใจคิดรีบเปิดประตู แต่เปิดประตูไปแล้วกลับอึ้งไป

นอกประตูเงาคนสักคนก็ไม่มี

“คนล่ะ?” บรรดาหมอหลวงก้าวออกมาด้วย สีหน้าอึ้งเอ่ยขึ้น

“ใต้เท้า เมื่อครู่อยู่ด้านนอกจริงๆ” บรรดานายประตูรีบเอ่ย

ไม่ใช่พวกเขาจงใจหลอกเหล่าใต้เท้าเล่นนะ

พวกเขารีบมองไปสองด้าน บนถนนประตูหกกรมกลางฤดูหนาวเงียบสงบไม่มีคน

หรือเมื่อครู่ตาฝาดไปหรือ? ฝันไปหรือ? ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางที่ทุกคนล้วนฝันเหมือนกันได้ไหม

“ดูท่าตนเองพูดแล้วเกิดกลัวขึ้นมา หนีไปแล้วกระมัง?” นายประตูคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

หนีไปแล้ว?

ล้อเล่นอะไร!

“ตอนนี้อยากหนี สายไปแล้ว!” หมอหลวงคนหนึ่งสีหน้าเขียวคล้ำเอ่ยขึ้น “ไปโรงหมอจิ่วหลิง”

คุณหนูจวินไม่ได้หนี นางเพียงแต่ถูกคนคว้าลากเข้ามาในตรอกด้านข้างกะทันหัน

หลิ่วเอ๋อร์ที่ถูกตีทีเดียวหมดสติโดนทิ้งไว้ข้างกำแพง คุณหนูจวินถูกกดไว้บนกำแพง

“จูจั้น ท่านตามหาข้ามีธุระหรือ?” นางไม่ตกใจ ไม่โมโห สีหน้านิ่งสงบเอ่ยถาม

ราวกับพวกเขาพบกันบนถนนใหญ่พยักหน้าทักทาย

จูจั้นคลายมือที่จับนางไว้ คนไม่ได้ถอยออก ยังคงขวางนางไว้ริมกำแพง

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เขาเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไร ข้ากับหมอหลวงเจียงแค่จัดการเดิมพันที่ตกลงกันไว้” คุณหนูจวินเอ่ย

นางเผชิญหน้ากับเขาไม่เคยหวาดกลัว ทั้งราวกับมักจะเยือกเย็นยิ่งนัก

จูจั้นขมวดคิ้วก้มมองนางจากที่สูง

“เจ้ารู้ว่าไหวอ๋องเป็นผู้ใดไหม?” เขาเอ่ยถาม

คุณหนูจวินยิ้ม ดังนั้นเขาต้องการห้ามหรือ?

คนทั้งหมดล้วนคาดหวังให้ไหวอ๋องตายไปซะงั้นหรือ?

นางอยากพูดอะไร จูจั้นกลับเอ่ยปากก่อนแล้ว

“ข้าจะแลกเปลี่ยนกับเจ้า” เขาเอ่ย มองคุณหนูจวิน “เจ้ารักษาเขาหาย ข้าจะปกป้องชีวิตเจ้า เจ้ารักษาเขาไม่หาย ข้าจะปกป้องชีวิตตระกูลฟาง”

เขา…พูด…อะไร

คุณหนูจวินมองเขาอึ้งไป อยู่ดีๆ ดวงตาขัดเคืองขึ้นมา พริบตาเดียวเหมือนกับสิ่งใดล้วนมองไม่ชัดแล้ว

……………………………………….