ผู้ดูแลคนนั้นถอนหายใจอยู่ในใจ ทราบว่าห้ามมิทันแล้วจึงได้แต่งึมงำตอบว่า “สุราบ๊วยเขียวนั่นทั้งเปรี้ยวทั้งขม มีแต่พวกเจ้าพี่น้องที่ชื่นชอบ”
โจวหมิงได้ยินก็หัวเราะลั่น โจวฮุ่ยผู้นั้นเพียงยิ้มน้อยๆ โจวหมิงกล่าวขึ้นว่า “สุราบ๊วยเขียวนี่เป็นสุราที่ตาเฒ่าตู้ใช้บ๊วยเขียวป่าสุกเพียงเจ็ดส่วนที่เก็บในฤดูร้อนผสมกับหิมะเย็นเฉียบจากฤดูหนาวหมักบ่มออกมา แม้รสชาติจะทั้งเปรี้ยวทั้งขมแต่ก็ได้รสชาติไปอีกแบบ คนธรรมดาไหนเลยจะเข้าใจ มีเพียงพวกข้าพี่น้องชื่นชอบเสียที่ไหน ชิงผู่ก็ชอบสุราชนิดนี้ที่สุดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าวันนี้เขามามิได้แล้ว” กล่าวถึงท่อนสุดท้าย น้ำเสียงก็เศร้าสร้อยเล็กน้อย
ผู้ดูแลในใจขวัญกระเจิงอีกหน รีบเบี่ยงประเด็นเอ่ยขึ้นว่า “มิใช่ว่ายังมีคุณชายทั้งสองมาลิ้มรสสุราหรอกหรือ ผู้น้อยจะไปนำสุรามาเดี๋ยวนี้ คุณชายทั้งสองเชิญนั่งก่อน” กล่าวจบ เขาก็ขยับเข้าไปหาทั้งสองคนตั้งท่าจะกระซิบบอก ทันใดนั้นหูก็ได้ยินคนแค่นเสียงเย็นชา ร่างกายเขาสะท้านเฮือก สัมผัสได้ถึงสายตาดุดันเย็นชาที่ลอดออกมาจากหลังม่านไม้ไผ่ จึงได้แต่เดินลงไปชั้นล่าง
ก่อนจากไปยังลอบหันกลับมามอง เห็นพี่น้องตระกูลโจวมิรู้สึกตัวสักนิด คล้ายกับว่ามิได้ยินเสียงเย็นชานั่น ในใจก็รู้สึกประหลาดใจแต่ทำได้เพียงกังวลอยู่เงียบๆ
ยามนี้เผยอวิ๋นที่อยู่หลังม่านกลับยิ้มน้อยๆ เขาเป็นคนส่งเสียงเตือนผู้ดูแลคนนั้นเอง ขณะเดียวกันในใจก็วิตกกังวล นึกขึ้นว่าความรู้สึกต่อต้านต้ายงในใจของประชาชนฉู่โจวมีแต่เพิ่มขึ้นมิมีลดทอนก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างช่วยมิได้
พี่น้องตระกูลโจวคู่นั้นเดินตรงมายังที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งขวาสุดเหมือนจะชำนาญที่ทางเป็นอย่างดี โจวหมิงผู้นั้นเดินไปก็พูดกับน้องชายว่า “ปีกลายข้ากับเจ้าส่งพี่ชิงผู่ออกเดินทางไกล เคยสัญญากันไว้ว่าวันนี้จะกลับมาพบกันที่นี่ ร่วมดื่มสุราบ๊วยเขียวที่ตาเฒ่าตู้บ่มรอบใหม่ น่าเสียดายวันนี้ฉู่โจวเป็นของต้ายง เส้นทางติดต่อถูกตัดขาด วันนี้พี่ชิงผู่คงผิดนัดแน่นอนแล้ว”
โจวฮุ่ยตอบว่า “เรื่องนี้ก็มิแปลก ฉู่โจวมิใช่ของหนานฉู่แล้ว แม้พี่ชิงผู่เป็นคนรักษาสัญญา แต่ก็ทำได้เพียงมองบ๊วยเขียวถอนหายใจเท่านั้น มีบ้านแต่ยากหวนคืน มีแว่นแคว้นแต่ยากไปเยือน”
โจวหมิงหัวเราะ “ความจริงเรื่องนี้ก็มิแน่ พี่ชิงผู่เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ ตั้งใจอยากทำงานรับใช้แว่นแคว้นมาตลอด เพียงแต่เขาทนดูความโง่เขลาของราชสำนักมิได้จึงท่องเที่ยวพเนจร ไร้ใจจะเข้าเป็นขุนนาง ทว่ายามนี้ไหวตงมีแม่ทัพใหญ่ลู่เป็นผู้ปกครอง มิแน่พี่ชิงผู่อาจอยู่ที่หยางโจวกับก่วงหลิงก็เป็นได้
แม้สองทัพจะคุมเชิงกันอยู่ แต่หากเขาตั้งใจ ด้วยความสามารถของเขาก็มิแน่ว่าจะกลับมามิได้ ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชิงผู่มิเคยผิดสัญญา ดังนั้นวันนี้ข้าจึงต้องมารอที่นี่ มิเช่นนั้นหากเขาเสี่ยงอันตรายกลับมา แต่พวกเราพี่น้องหลบอยู่ในบ้านมิกล้าโผล่หัวมา ไยมิใช่ละอายใจต่อสหายรักแล้ว”
โจวฮุ่ยกลับตอบว่า “พี่ชายสมควรระวังคำพูดสักหน่อย น้องคิดว่าพี่ชิงผู่ไม่มาจึงจะดี เขานับถืออาจารย์หวาเสมือนหนึ่งบิดา หากทราบข่าวร้ายต้องมิยอมเลิกราเป็นแน่ แต่คนถ่อยหลัวคนนั้นเป็นถึงเจ้าเมืองฉู่โจว ในมือกุมอำนาจมากมาย หากพี่ชิงผู่ตั้งใจจะล้างแค้น น่ากลัวว่าจะกลับกลายเป็นทำลายชีวิตของเขาเอง”
โจวหมิงฟังจบก็ถอนหายใจยาว
เผยอวิ๋นแต่เดิมมิสนใจแขกเหรื่อคนอื่นบนชั้นสอง แต่พี่น้องตระกูลโจวมิคิดจะลดเสียงเบาลงสักนิด ดังนั้นเขาจึงได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง เขาหันกลับไปมองกู้หยวนยง ดวงตาฉายแววตั้งคำถาม
กู้หยวนยงได้ยินคำพูดของสองพี่น้องแล้ว ในใจกำลังกังวลแทนพวกเขา เมื่อเห็นสายตาของเผยอวิ๋นก็อึกอักยากจะเอ่ยปาก
ตู้หลิงเฟิงกลับเป็นฝ่ายบอกเสียงเบา “ท่านแม่ทัพอาจลืมสองคนนี้ไปแล้ว เมื่อปีกลายกองทัพเราพ่ายแพ้ที่ท่าเรือกวาโจว โจวหมิงผู้นั้นเขียนบทกวีเสียดสีท่านแม่ทัพ แล้วยังพูดต่อหน้าผู้คนว่าลู่ช่านต้องยึดฉู่โจวกลับไปได้แน่ แต่เดิมบัณฑิตหัวรุนแรงเช่นนี้สมควรประหาร แต่อาจารย์อามิใส่ใจจึงมอบหมายให้ใต้เท้ากู้ควบคุมพวกเขาไว้เท่านั้น หลังจากใต้เท้าหลัวรับตำแหน่ง เขาก็ขัดแย้งกับปัญญาชนและเหล่าบัณฑิตในตัวเมืองหลายหนจึงส่งคนมาเฝ้าจับตามองคนเหล่านี้ไว้ หากเอ่ยวาจามิเหมาะสมเมื่อใดก็จะลงโทษจับเข้าคุก
ตอนนี้บัณฑิตในเมืองมากกว่าครึ่งจึงเก็บตัวอยู่ในบ้านมิออกมาเพื่อหลบเลี่ยงภัย เกรงว่าแม้แต่ตอนนี้เหลาสุราชั้นล่างก็คงมีสายลับของใต้เท้าหลัวอยู่ ส่วนอาจารย์หวาที่พวกเขาพูดถึงก็คือหวาเสวียนบัณฑิตชื่อดังในเมือง พี่ชิงผู่คนนั้น คิดว่าคงเป็นจวงชิงผู่อัจฉริยะแห่งฉู่โจวที่ออกจากเมืองไปเมื่อสองปีก่อนเพราะทำร้ายทหารใต้บัญชาของลั่วโหลวเจิน จวงชิงผู่เป็นผู้นำของบัณฑิตฉู่โจว คบหาสนิทสนมกับพี่น้องตระกูลโจว”
เผยอวิ๋นเพิ่งนึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้จึงยิ้มจางๆ การโจมตีของบัณฑิตหัวรุนแรงเหล่านี้ เขามิเคยเก็บมาใส่ใจ ขอเพียงต้ายงคว้าชัยชนะมาได้ทีละก้าว นานวันเข้าคนเหล่านี้ย่อมเลิกพูดจาเหลวไหลเอง แต่เรื่องหวาเสวียนผู้นั้นยุ่งยากอยู่มาก คนผู้นั้นความรู้แตกฉาน บัณฑิตหกเจ็ดส่วนในเมืองล้วนเป็นลูกศิษย์ของเขา ตั้งแต่กองทัพต้ายงเข้าเมือง หวาเสวียนก็ปิดประตูขังตนเองอยู่ในบ้าน หลัวจิ่งตั้งใจจะบีบเขาให้เข้ามาเป็นขุนนางเพื่อซื้อใจเหล่าบัณฑิต แต่กลับถูกเขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด หลัวจิ่งโกรธจึงจับเขาเข้าไปขังในคุก
กู้หยวนยงมาขอความเมตตาจากเผยอวิ๋นด้วยตนเอง เผยอวิ๋นจึงออกคำสั่งให้หลัวจิ่งปล่อยคน บัณฑิตเฒ่าจึงมีชีวิตออกมาจากคุกได้ แต่ปรากฏว่าหวาเสวียนอายุมากร่างกายอ่อนแอ พอถูกหยามหมิ่นศักดิ์ศรีอยู่ในคุก ออกจากคุกมามิถึงครึ่งเดือนก็ล้มป่วยจนสิ้นใจ หากมิใช่เพราะกู้หยวนยงคอยไกล่เกลี่ย อีกทั้งเผยอวิ๋นเพิ่มทหารมาคอยคุมสถานการณ์ได้ทันเวลา เหล่าบัณฑิตฉู่โจวที่มาร่วมเซ่นไหว้วิญญาณที่ตระกูลหวาก็เกือบจะก่อเรื่องแล้ว
หลังเกิดเรื่องหลัวจิ่งยังถวายฎีการ้องเรียนว่าเผยอวิ๋นหย่อนยานละเลยหน้าที่ ทำให้เผยอวิ๋นโกรธจนเกือบเป็นลม แต่เผยอวิ๋นเป็นคนสุขุม แม้โกรธจัดแต่ก็มิเผยออกมา เพียงถวายฎีกาแก้ต่างให้ตนเองเท่านั้น
พอคิดว่าหลัวจิ่งใช้อำนาจบีบบังคับเช่นนี้ ไฉนมิใช่ยิ่งทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายง่ายขึ้น หากหัวใจของประชาชนสั่นคลอน ตนจะรักษาฉู่โจวให้มั่นคงได้เช่นไร
คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของเผยอวิ๋นก็ยิ่งเศร้าหมอง คิดในใจว่าหากจวงชิงผู่คนนั้นกลับมาจริง ก็พาตัวเขากลับค่ายก็แล้วกัน มิให้เขาไปตามหาหลัวจิ่งแก้แค้นให้เสียดายคนมีความสามารถคนหนึ่ง เผยอวิ๋นส่ายศีรษะเบาๆ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอีกหน
กู้หยวนยงกลับลอบขมวดคิ้ว จวงชิงผู่เป็นบัณฑิตชื่อดังแห่งเจียงไหว นิสัยรักความยุติธรรม พรสวรรค์ในเชิงกวีเหนือกว่าผู้อื่น อีกทั้งยังชำนาญวิชากระบี่ เป็นคนหนุ่มฝีมือเยี่ยมที่หาได้ยากของฉู่โจว บิดามารดาของเขาล้วนจากไปแล้ว ในตระกูลมิมีผู้ใด หากมิได้หวาเสวียนถูกใจพรสวรรค์ของเขาแล้วรับมาดูแล น่ากลัวว่าคงยากจะเติบใหญ่เป็นผู้เป็นคน หากเขาทราบข่าวการจากไปกะทันหันของหวาเสวียน น่ากลัวว่าคงจะไปตามล้างแค้นหลัวจิ่งจริงๆ จวงชิงผู่มีชื่อเสียงมากในหมู่บัณฑิตฉู่โจว หากเขาปลุกระดมจุดความวุ่นวายขึ้นมา ไยมิใช่ความยุ่งยากครั้งใหญ่หลวง
เขามิทราบความคิดของเผยอวิ๋น จึงยิ่งกังวลว่าวันนี้จวงชิงผู่จะเสี่ยงอันตรายเดินทางมา เขาคร่ำเคร่งครุ่นคิดว่าจะชักจูงให้เผยอวิ๋นออกไปอย่างไรดี หรือจะหาวิธีลอบพบจวงชิงผู่เกลี้ยกล่อมเขามิให้ก่อเรื่อง แต่เมื่อเห็นเผยอวิ๋นร่ำสุราชมทิวทัศน์อยู่ตรงนั้น ไม่คิดจะลุกอย่างสิ้นเชิง เขาก็มิกล้าเผยทีท่าออกมา ยิ่งมิกล้าลอบส่งสัญญาณให้พี่น้องตระกูลโจว ในใจร้อนรนขึ้นกว่าเดิม
เวลานี้เอง ผู้ดูแลก็อุ้มไหสุราใบน้อยขึ้นมา พอแกะโคลนที่ผนึกปากไหสุรา กลิ่นหอมของสุราก็ลอยอบอวล ในกลิ่นหอมมีกลิ่นอายความโดดเดี่ยว โจวหมิงรินสุราสีเขียวอ่อนออกมาหนึ่งจอก จิบน้อยๆ คำหนึ่งแล้วกล่าวเสียงกังวานว่า “หมอกอรุณบดบังห้องหอโฉมสุดา ลาจากทุกข์ระทม วาโยพัดถ้วยทองจอกสุราเอนล้ม ครวญเพลงอาลัยหยางกวนมิอาจธำรง แค้นนี้ตราบมลาย”
เขาท่องซ้ำไปมาหลายหน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
เผยอวิ๋นฟังแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ แม้เขามิสันทัดบทกวีนักแต่ก็ทราบว่านี่น่าจะเป็นท่อนต้นของบทกวี ‘ลั่งเถาซา (คลื่นซัดทราย)[1]’ บทหนึ่ง โจวหมิงผู้นั้นเป็นคนมีความสามารถ เหตุไฉนจึงแต่งท่อนท้ายมิออกเล่า
ยามนี้เองเสียงกังวานหยิ่งทะนงเสียงหนึ่งก็ต่อบทกวีมาจากบันไดชั้นล่าง “เด็ดบ๊วยเขียวจนเต็มแขนเสื้อ เกล็ดหิมะโปรยปราย ตาเฒ่าตู้หมักเป็นสุราเมื่อปีกลาย ข้าร่ำสุราเดียวดายล่องเรือน้อย มิเมามิเลิกรา”
โจวหมิงกับโจวฮุ่ยสองคนทั้งตกใจทั้งเปรมปรีดา โจวหมิงพุ่งออกมาจากม่านไม้ไผ่แล้วมองลงบันได หลุดปากถามขึ้นว่า “พี่ชิงผู่ ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เผยอวิ๋นตกตะลึงอยู่ในใจ คิดมิถึงว่าจวงชิงผู่ผู้นี้จะกลับมาจริงๆ ตอนนี้ยังมิต้องพูดถึงว่าเขาข้ามกำแพงเมืองมาได้เช่นไร แต่คนผู้นี้ช่างรักษาคำมั่นจนทำให้คนตะลึงจนต้องถอนหายใจ เผยอวิ๋นมองออกไปจากหลังม่านก็เห็นโจวหมิงกับบัณฑิตคนหนึ่งจับมือถือแขนสบตากันอยู่ โจวหมิงน้ำตานองหน้า เห็นชัดว่าตื้นตันใจยิ่งนัก บัณฑิตอาภรณ์สีขาวผู้นั้นก็ค่อนข้างตื้นตันเช่นกัน แต่สีหน้ากลับมีความเยือกเย็นและเด็ดเดี่ยวแฝงอยู่
เผยอวิ๋นเพ่งมอง เห็นบัณฑิตผู้นั้นมีคิ้วกระบี่นัยน์ตาดารา ท่วงท่าสง่างามประหนึ่งต้นหยกเล่นลม รูปโฉมดั่งจื่อตู[2] ท่าทางเป็นยอดคนโดยแท้ เพียงแต่รอบกายมีความหยิ่งทะนงเย็นชารายล้อม ขาดความรู้สึกน่าชิดใกล้ไปบ้าง
บัณฑิตผู้นั้นสวมอาภรณ์สีขาวดุจหิมะทั้งร่าง เสื้อตัวใหญ่ผูกสายคาดเอว แขนเสื้อสะบัดพลิ้ว ตรงเอวห้อยกระบี่คมครามยาวสามฉื่อเล่มหนึ่ง มิใช่กระบี่ที่เน้นรูปลักษณ์งดงามจำพวกนั้น แต่เป็นกระบี่ยาวด้ามสีดำฝักสีดำดูเก่าแก่เคร่งขรึม บ่งบอกว่าบัณฑิตผู้นี้เป็นคนเก่งกล้าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊อย่างแท้จริง
[1] ลั่งเถาซา (คลื่นซัดทราย) ชื่อรูปแบบโครงสร้างบทกวีประเภทหนึ่งที่ปรากฏในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นบทกวีที่ผสมผสานกับอิทธิพลของเพลงพื้นบ้าน
[2] กงซุนจื่อตู ชาวแคว้นเจิ้งในสมัยชุนชิว หนึ่งในสิบยอดบุรุษรูปงามของจีนโบราณ