บทที่ 1032 มาทำงานในโรงงานกันเถอะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 1032 มาทำงานในโรงงานกันเถอะ

บทที่ 1032 มาทำงานในโรงงานกันเถอะ

เสี่ยวเถียนกล่าวว่า “นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเธอก็ยังไม่เคยสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้”

คำพูดเหล่านี้อาจไม่มีความไม่จริงใจ แต่เป็นความคิดที่แท้จริง

ต่งเยี่ยนอันเป็นคนรอบคอบ จึงคิดเรื่องพวกนี้ได้ ไม่ใช่ว่ารู้วิธีจัดการ แต่มาจากการสังเกตประจำวัน

เสี่ยวเถียนรู้สึกว่า คนที่ไม่คุ้นเคยกับอุตสาหกรรมอาหารนี้โดยสิ้นเชิงสามารถคิดเรื่องนี้ได้เป็นเรื่องที่ยากมาก

เธอมองไปที่ต่งเยี่ยนอัน และอดไม่ได้ที่จะชมเชยอีกฝ่ายสักหน่อย

ถ้าต่งเยี่ยนอันไม่ได้เป็นนักเรียนเกียรตินิยมในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ในภายภาคหน้าเธอจะมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน และเสี่ยวเถียนคงต้องหาทางให้ต่งเยี่ยนอันมาทำงานในโรงงานให้ได้

แต่จ้าวหงเหมยกับต่งเยี่ยนอันก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยเฉพาะตอนที่ฝ่ายแรกพูดขึ้นมาว่า…

“ฉันคิดว่า การยึดส่วนแบ่งการตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเมื่อสามารถคำนวณจำนวนกำลังการผลิตได้แล้ว การเพิ่มยอดขายจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาของโรงงานอย่างรวดเร็วได้”

อันที่จริง สาวแซ่จ้าวคนนี้มีความคิดที่เรียบง่ายและเถรตรงอยู่เสมอ ถ้าขายไม่ได้ อย่างอื่นก็ไม่มีประโยชน์

เสี่ยวเถียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ทั้งสองคนมีความชอบที่แตกต่างกัน ทิศทางความคิดแน่นอนว่าก็แตกต่างเช่นกัน

แต่ต้องบอกว่า สองคนพูดมีเหตุผลมาก

“หงเหมย เธอบอกฉันหน่อยสิว่าควรเพิ่มยอดขายอย่างไร?”

แท้จริงแล้ว นี่เป็นคำถามที่เสี่ยวเถียนคิดอยู่ช่วงหนึ่ง

สินค้าที่ผลิตในโรงงาน มีสิ่งที่เรียกว่ากลไกการตลาดเป็นตัวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จำนวนการผลิตจึงเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหนึ่ง

แต่อันที่จริง หลักการเพิ่มยอดขายนี้ใช้ได้กับแค่การแบ่งส่วนแบ่งในตลาดเมืองหลวงเท่านั้น

และเสี่ยวเถียนก็ยังคิดว่า หากสินค้าของเธอขายไปได้ไกล นั่นก็คือช่วงที่โรงงานของเธอพัฒนาแล้วจริง ๆ

แต่ระบบการขนส่งในตอนนี้ยังพัฒนาไม่เต็มที่ อินเทอร์เน็ตก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ รูปแบบการขายมากมายในยุคหลังยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ยิ่งไปกว่านั้น แม้วิธีการโฆษณาในยุคนี้จะล้าหลังมาก นอกจากหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์แล้ว โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีเทคนิกอะไรมากมาย

ด้วยเหตุนี้ การโฆษณาทางโทรทัศน์จึงสามารถเรียกความสนใจของผู้คนได้มากขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงเกินไป โรงงานเล็ก ๆของเธอจึงไม่สามารถจ่ายได้

การโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ก็ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากนัก และไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร

ดังนั้นการจะเพิ่มยอดขายในช่วงนี้มีแต่ต้องสร้างทีมขายที่แข็งแกร่งมาก และบางทีเราอาจรับสมัครพนักงานขายอีกชุดได้ในอนาคต

“วิธีการขายในปัจจุบันก็ไม่ได้แย่ แต่ครอบคลุมพื้นที่น้อยเกินไป หากเป็นไปได้ ลองขยายช่องทางการขายจะดีที่สุด เพื่อรวมเมืองทั้งหมดมาไว้ที่ส่วนกลาง”

ต้องบอกว่า จ้าวหงเหมยมีความคิดเหมือนกับเสี่ยวเถียนโดยบังเอิญ

เสี่ยวเถียนให้กำลังใจ “เธอพูดได้ไม่เลวจริง ๆ หงเหมย ยังมีความคิดอื่นอีกไหม?”

“ฉันคิดว่า วิธีการจัดการภายในบางอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม เช่น การลงทุนปรับระบบให้เหมาะสม ขณะเดียวกัน ก็ปรับปรุงระบบการจัดสรรเงินเดือนให้กับพนักงานให้สมบูรณ์ ถ้าทำแบบนี้ ก็สามารถส่งเสริมให้พนักงานทุกคนแสดงความสามารถของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ และริเริ่มความคิดใหม่ ๆ ได้”

“ถ้าเราสามารถทำร้านเป็นของโรงงานเองที่ต่างถิ่น หากมีคนรับผิดชอบที่วางใจได้ สินค้าของโรงงานสาขาก็ชิงส่วนแบ่งทางการตลาดท้องถิ่นมาได้ด้วย”

จ้าวหงเหมยเพียงพูดความคิดทั้งหมดของตนออกมาด้วยกำลังใจที่เปี่ยมล้น

“หงเหมย เธอคิดได้ดีมาก” ดวงตาของเสี่ยวเถียนแทบจะเป็นประกาย

ไม่ได้คาดคิดจริง ๆ ว่ารอบตัวของตนมีบุคคลที่มีความสามารถมากมายจริง ๆ

ช่างน่าเสียดาย ที่ไม่สามารถหาคนประเภทนี้มาเพื่อใช้เองได้ น่าเสียดายเหลือเกิน

“อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือ ผู้ดูแลในโรงงานจะต้องกล้าคิด กล้าทำ โดยมุ่งกระตุ้นความคิดริเริ่มของพวกเขา เพื่อทำให้โรงงานสามารถพัฒนาในระยะยาวได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้ที่รับผิดชอบการขายต้องมีความคิดที่คนอื่นคิดไม่ถึง”

ไม่ว่าเมื่อไร ทุกคนก็คือกำลังผลิตหลัก การพึ่งพาเพียงแรงจากคนคนเดียวย่อมพัฒนาโรงงานได้ยากมาก แต่ถ้ามีคนทำงานร่วมกันหลายคน นั่นจะเป็นเรื่องง่าย

“หงเหมย เยี่ยนอัน พวกเธอน่าจะมาทำงานพาร์ตไทม์ที่โรงงานในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนถึงวันหยุดฤดูหนาวนะ ทั้งสองคนคิดว่ายังไงบ้าง”

เสี่ยวเถียนพูดโพล่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวทั้งสองไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย

แล้วทำไมถึงให้พวกเธอมาทำงานพาร์ตไทม์ในโรงงานล่ะ?

วันหยุดสุดสัปดาห์ก็มีเพียงวันเดียว จะทำอะไรได้!

“อย่าดีกว่า วันหยุดสุดสัปดาห์ก็มีเพียงวันเดียว ทำอะไรได้ไม่ทันไรก็ต้องกลับไปมหาวิทยาลัยแล้ว”

จ้าวหงเหมยรีบโบกมือแล้วพูด

ท้ายที่สุด มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้อยู่ใกล้โรงงาน จึงเดินทางมาลำบาก ทั้งยังไม่สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ไปที่มหาวิทยาลัยได้ทุกสัปดาห์ เพียงเพื่อจะทำรายได้หรอกนะ

“ไม่เป็นไร มีบางอย่าง ที่พวกเราสามารถทำได้ที่มหาวิทยาลัย พวกเธอเพียงต้องติดตามการพัฒนาของโรงงาน เพื่อวางแผนและพัฒนาต่อไป”

พวกเธอไม่ใช่คนงานในโรงงาน และไม่จำเป็นต้องอยู่ทำงานที่โรงงาน แต่แค่คิดวางแผนที่มหาวิทยาลัยก็ได้แล้ว

แล้วต่างอะไรกับพนักงานพาร์ตไทม์ที่มีความคิดดี ๆ มาเสนอโรงงานเล่า

เสี่ยวเถียนมองเห็นแสงสว่างในดวงตาของทั้งสองคน พลันรู้ว่าสองคนรู้สึกหวั่นไหว ในขณะนั้นให้กำลังใจทั้งสองคนต่อไป

“เงินเดือนอาจไม่มาก และแม้ไม่สามารถเปรียบเทียบความเร็วที่เจี้ยนหงและคนอื่น ๆ ทำเงินได้ แต่พวกเธอก็สามารถออมเงินไว้ได้ก่อนสำเร็จการศึกษาได้”

พอฟังที่เสี่ยวเถียนพูด จะบอกว่าเด็กสาวทั้งสองคนไม่หวั่นไหว ก็คงเป็นเรื่องโกหก

“เสี่ยวเถียน เธอทำแบบนี้เพื่อดูแลเราหรือ?” จ้าวหงเหมยต้องการตอบรับ แต่ก็ยังคิดว่าควรถามให้ชัดเจน

“แน่นอนว่าไม่ใช่ ฉันถูกใจความคิดของพวกเธอ”

เด็กสาวทั้งสองคนจึงตอบตกลง

วันรุ่งขึ้น จ้าวหงเหมยวิ่งไปที่ฝ่ายขายด้วยอารมณ์คึกคัก จัดทำแผนการส่งเสริมการขายในอนาคต

ส่วนต่งเยี่ยนอันยังคงไปแผนกวิจัยและพัฒนา จากนั้นจึงศึกษารสชาติใหม่ที่ตนต้องการ

เสี่ยวเถียนใช้เวลาทั้งเช้าตามลำพัง ในที่สุดก็อ่านข้อมูลทั้งหมดที่เหลยเกาเชาส่งมาให้เสร็จ

หลังจากอ่านจบ ในที่สุดเสี่ยวเถียนก็เข้าใจเกี่ยวกับโรงงานอย่างถ่องแท้ เมื่อนึกถึงปัญหาที่หารือกับต่งเยี่ยนอันและจ้าวหงเหมยเมื่อคืน เธอก็ระบุแผนงานไว้อย่างเรียบง่ายด้วยข้อความสั้น ๆ

หนึ่งในนั้น มีส่วนหนึ่งเป็นความคิดของเธอเอง ส่วนที่เหลือเป็นความคิดของจ้าวหงเหมยกับต่งเยี่ยนอัน

เนื่องจากทั้งสองคนไม่ใช่พนักงานในโรงงาน การประชุมนี้จึงไม่สามารถเข้าร่วมได้โดยเด็ดขาด เสี่ยวเถียนต้องจัดการด้วยตัวเองเท่านั้น

หลังอาหารกลางวัน ก็ถึงเวลาประชุม

การประชุมครั้งนี้มีผู้บริหารระดับกลางในโรงงานเข้าร่วมด้วย ส่วนเนื้อหาที่หารือกันในที่ประชุมก็คือการพัฒนาโรงงาน

ผู้บริหารระดับกลางในโรงงาน ทุกคนถือกระดาษต้นฉบับกองหนา ดูเหมือนทำการบ้านเยอะมากภายในคืนเดียว

แม้จะยังเดาไม่ออกว่าการบ้านเหล่านี้ทำถูกต้องหรือไม่ แต่เสี่ยวเถียนชอบท่าทางขึงขังของพวกเขามาก

ผู้เข้าร่วมประชุมเอ่ยความคิดเห็นในที่ประชุม จากนั้นทุกคนก็หารือกัน

ต้องบอกว่า คนเหล่านี้ร่วมกันออกความคิดและยังเสนอความคิดเห็นที่เป็นไปได้มากมายจริง ๆ

การประชุมครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมดกว่าห้าชั่วโมง ตั้งแต่ทานมื้อเที่ยง จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน การหารือก็จบลงในที่สุด

ในที่สุด ที่ประชุมได้ตัดสินใจแผนสองแผนชุดหนึ่งคือแผนการจัดการภายใน และอีกชุดคือแผนการพัฒนาบริเวณรอบ ๆ