ตอนที่ 258-2 ความลับของตำหนักธิดาเทพ
“พบแล้ว ในที่สุดก็หาพบแล้ว”
จีหมิงซิวนั่งอยู่บนพื้น ข้างตัวมีม้วนไม้ไผ่ที่กางอยู่วางรายล้อม เขามองดูม้วนตำราไม้ไผ่ในมือซ้าย แล้วหันมองม้วนที่อยู่ในมือขวาเปรียบเทียบกัน มุมปากยกโค้งอย่างตื่นเต้นยินดี “ความจริงของการที่ชนเผ่าถ่าน่ามิอาจออกจากเกาะได้เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
จีหมิงซิวเก็บตำราไม้ไผ่บนพื้นกลับคืนที่เดิมทีละเล่ม ส่วนสองม้วนในมือยัดเข้าไปในแขนเสื้อกว้างม้วนละฝั่ง แม้สิ่งที่สมควรจำจะจดจำไว้ในสมองแล้ว แต่ถือหลักฐานไปด้วยจึงจะโน้มน้าวคนได้
จีหมิงซิวจัดเก็บหอตำราลับเสร็จก็ลุกขึ้นเดินลงมาชั้นล่าง ยามเขาอ่านหนังสือมักจะลืมเลือนเวลา เขานั่งอยู่ในหอตำราที่ไร้หน้าต่างจึงไม่ทราบอย่งสิ้นเชิงว่าด้านนอกผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว
เขากดกลไกบนกำแพง
ไม่ขยับ
เขากดอีกหน
ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
ตอนผู้อาวุโสใหญ่ออกไปเคยบอกไว้ว่า บนกำแพงมีกลไกตรงนี้เพียงแห่งเดียว เขาแน่ใจว่าตนเองไม่ได้กดผิด หลังจากกดอยู่สิบกว่าหน เขาก็รู้สึกตัวแล้วว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
“ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสใหญ่!”
นอกประตูศิลา ไม่มีเสียงคนตอบรับ
…
อีกด้านหนึ่ง ไห่สือซานกับสือชีกลับมายังปราสาทเฮ่อหลัน หลายวันนี้ทั้งสองคนลอบไปสืบข่าวบนเกาะอยู่ตลอดเพื่อค้นหาความจริงเรื่องที่ทุกคนออกจากเกาะไม่ได้ ผลปรากฏว่าไห่สือซานสืบพบอะไรบางอย่างมาแล้วจริงๆ!
เฉียวเวยเดินไปสวนดอกไม้น้อยกับไห่สือซาน เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนกับเจ้าตัวน้อยสามตัววิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ สือชีเดินเข้าไปอุ้มวั่งซูเหินขึ้นไปบนยอดหลังคา
เจ้าตัวน้อยทั้งหลายก็เกาะขาสือชีต่อกันเป็นพรวนอีกหน
เฉียวเวยขบขันนัก นางให้หญิงรับใช้ที่คอยปรนนิบัติออกไปแล้วถามไห่สือซานว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าค้นพบอะไรบางอย่างแล้วหรือ”
ไห่สือซานตอบว่า “ข้าพบว่าคนทั้งหมดบนเกาะพอเกิดมาก็จะไปทำพิธีรับขวัญที่ตำหนักธิดาเทพ นับตั้งแต่ทำพิธีรับขวัญพวกเขาก็จะกลายเป็นสาวกของตำหนักธิดาเทพ กล่าวได้ว่าคนทั้งหมดบนเกาะรวมถึงเหอจั๋วล้วนเป็นสาวกของตำหนักธิดาเทพ”
เฉียวเวยเอ่ยทันที “อย่านับรวมแม่ข้า”
ไห่สือซานคลี่ยิ้ม “เฉียวฮูหยินเป็นข้อยกเว้นก็จริง แต่ตอนเฉียวฮูหยินแรกเกิดก็เคยทำพิธีรับขวัญมาก่อนแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่อาจออกจากเกาะได้”
เฉียวเวยหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ “เจ้า…ต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
ไห่สือซานบอกตามตรง “สิ่งที่ข้าอยากจะพูดก็คือสาเหตุที่ชาวเผ่าบนเกาะไม่สามารถออกจากสถานที่แห่งนี้ได้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเกี่ยวข้องกับพิธีรับขวัญที่พวกเขาทำตอนแรกเกิด ข้าสืบไปพบครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวของพวกเขามีบุตรนอกสมรสคนหนึ่ง เพราะภรรยาของครอบครัวนั้นเป็นคนจิตใจคับแคบ ไม่ยอมให้นอกบ้านมีลูกนอกสมรสของสามี ดังนั้นหลังจากสตรีนางนั้นให้กำเนิดลูกนอกสมรสจึงไม่กล้าป่าวประกาศไปทั่ว นางอุ้มเด็กหลบเข้าเรือสินค้าที่จะแล่นออกจากเกาะ สตรีนางนั้นฝืนทนอยู่ด้านนอกหนึ่งปี ร่างกายก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ สุดท้ายทนไม่ไหวต้องกลับมาที่เกาะ หลังจากนางกลับมาที่เกาะสิ่งแรกที่ทำก็คือไปรับการรักษาจากธิดาเทพที่ตำหนักธิดาเทพ ธิดาเทพรักษาอาการเจ็บป่วยของนางเสร็จก็ทำพิธีรับขวัญให้ลูกของนาง ตอนที่นางเร่ร่อนอยู่นอกเกาะ เด็กไม่เคยมีอาการผิดปกติแต่อย่างใด นางคิดมาตลอดว่าลูกของนางไม่เหมือนผู้อื่น แต่ตอนที่ลูกของนางออกทะเลไปตอนอายุสิบห้าไม่ได้พกยาสำหรับออกจากเกาะไปด้วยจนเกือบจะตายอยู่ข้างนอก นับจากนั้นเป็นต้นมา นางก็ไม่กล้าให้ลูกออกจากเกาะตามใจอีก”
เฉียวเวยคล้ายจะเข้าใจแล้ว “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว คนที่เคยผ่านพิธีรับขวัญของตำหนักธิดาเทพจะไม่สามารถออกจากเกาะแห่งนี้ได้อีก เด็กคนนั้นรวมถึงข้าล้วนไม่เคยผ่านพิธีรับขวัญ ดังนั้นพวกเราจึงอยู่ข้างนอกได้อย่างไม่เป็นอะไร”
ไห่สือซานพยักหน้า “หลังจากเด็กคนนั้นผ่านพิธีรับขวัญของตำหนักธิดาเทพก็มิอาจย่างเท้าออกไปได้อีกแล้ว จริงสิฮูหยินน้อย หนก่อนท่านก็…”
เฉียวเวยตอบอย่างไร้กังวล “ต่อให้นางเล่นตุกติกกับผู้คนยามมาทำพิธีรับขวัญจริง แต่หนก่อนนางไม่คิดจะทำพิธีให้ข้าแม้แต่น้อย นางย่อมไม่ได้เตรียมเครื่องมือก่อคดีมาด้วย ข้าไม่เป็นอะไร”
ไห่สือซานพรูลมหายใจยาว
เฉียวเวยถามขึ้นว่า “แม่คนนั้นไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติบ้างหรือ เหตุใดก่อนพิธีรับขวัญลูกของนางออกจากเกาะได้ แต่หลังพิธีรับขวัญกลับออกไปไม่ได้แล้ว”
ไห่สือซานตอบว่า “นางอยู่ด้านนอกเพียงหนึ่งปี ธิดาเทพบอกนางว่า ปีนั้นองค์เทพคุ้มครองบุตรชายของนาง นางก็เชื่ออย่างไม่สงสัยแล้ว”
เฉียวเวยส่ายศีรษะ แล้วถามอีกว่า “ยาสำหรับออกจากเกาะพวกนั้นเล่าเป็นอะไรกันแน่”
ไห่สือซานตอบว่า “พวกมันเป็นยาที่ตำหนักธิดาเทพปรุงขึ้นมา คนที่จำเป็นต้องออกจากเกาะไปรับยาลูกกลอนจากตำหนักธิดาเทพได้ในปริมาณที่จำกัด”
เฉียวเวยตาค้าง “ขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีผู้ใดสงสัยตำหนักธิดาเทพมาก่อนอีกหรือ”
ไห่สือซานถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ไม่มี เพราะตำหนักธิดาเทพปรุงยาที่ทำให้ผู้คนออกไปจากเกาะชั่วคราวออกมาให้ ดังนั้นทุกคนจึงซาบซึ้งต่อตำหนักธิดาเทพยิ่งนัก”
เฉียวเวยว่าอย่างขัดใจ “เจ้าคนงมงายพวกนี้! เหตุใดจึง…เหตุใดจึงภักดีต่อลัทธิชั่วร้ายแห่งหนึ่งนัก!”
นี่ก็เป็นสิ่งที่ไห่สือซานมิอาจเข้าใจได้เช่นกัน ความศรัทธาบางครั้งก็ทำให้คนกล้าหาญ แต่บางครั้งก็ปิดบังดวงตาของผู้คนได้เหมือนกัน
“ท่านแม่ ท่านแม่ ร้อนนักเชียว!” วั่งซูวิ่งตึงตังเข้ามา
เฉียวเวยลูบแผ่นหลังของนาง เหงื่อเปียกโชกไปหมด นางรีบถอดเสื้อตัวนอกของนางออก แล้วสวมเสื้อผ้าฝ้ายแห้งตัวหนึ่งให้แทน นางเปลี่ยนให้จิ่งอวิ๋นด้วย จากนั้นเจ้าตัวน้อยทั้งสองก็ไปเล่นสนุกกันอย่างไร้กังวลต่อ
สายตาของเฉียวเวยจับอยู่บนร่างของเด็กน้อยทั้งสองคน “เจ้าดูสิ ที่นี่คือบ้านของพวกเขา ต้าเหลียงก็คือบ้านของพวกเขาด้วย แต่เดิมพวกเขาสมควรไปมาได้อย่างอิสระ อยากอยู่ที่ใดก็อยู่ที่นั่น มิใช่ต้องได้รับอนุญาตจากตำหนักธิดาเทพ ต้องวอนขอยาจากตำหนักธิดาเทพ คอยดูสีหน้าของตำหนักธิดาเทพ!”
หัวใจของไห่สือซานสั่นสะท้าน ตลอดมาเขาคิดว่าฮูหยินน้อยเป็นแม่นางน้อยที่เข้มแข็งกว่าคนทั่วไปอยู่นิดหน่อย ทว่าเวลานี้ความแน่วแน่ในดวงตาของนางกลับทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาล
เฉียวเวยมองดวงตะวันเหนือศีรษะ “สายแล้ว นายน้อยของพวกเจ้ายังไม่กลับมาเลย”
ไห่สือซานยิ้ม “ตอนเขาอ่านหนังสือก็เป็นเช่นนี้ ลืมกินลืมนอนได้ง่ายดายยิ่ง”
เฉียวเวยพยักหน้า “ข้าจะไปหาเขา ดูซิว่าฝั่งเขาพบข้อมูลใหม่อะไรบ้างหรือไม่”
เฉียวเวยนั่งรถม้าออกจากปราสาท ไห่สือซานไม่วางใจจึงให้อี้เชียนอินตามไปด้วย
รถม้าจอดที่ตีนเขาของสำนักผู้อาวุโส เฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้า อี้เชียนอินพลิกกายลงจากม้า แล้วส่งม้าตัวสูงใหญ่ให้สารถี จากนั้นขึ้นไปยังสำนักผู้อาวุโสกับเฉียวเวย
สำนักผู้อาวุโสประกอบไปด้วยหอศิลาทั้งหมดสิบสามหลัง หอศิลาแต่ละหลังล้วนมีองครักษ์ผู้แข็งแกร่งคอยเฝ้าอยู่ ทว่าวันนี้องครักษ์ทั้งหลายคล้ายจะรวมตัวกันขอลาหยุด ไม่เห็นเงาแม้แต่ครึ่งคน
เฉียวเวยกวาดสายตามองรอบด้าน “เชียนอิน เจ้ารู้สึกว่าที่แห่งนี้เงียบเกินไปหน่อยหรือไม่”
อี้เชียนอินเพ่งสมาธิรวบรวมลมปราณ เร่งเร้าสัมผัสทั้งห้าจนถึงขีดสุด “เมื่อครู่พวกเราเดินผ่านหอศิลามาสามหลัง ด้านในไม่มีคนอยู่สักคนเดียว”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร สำนักผู้อาวุโสวันนี้หยุดหรือไร”
หูของอี้เชียนอินกระดิกเล็กน้อย แล้วเงยสายตาขึ้นมอง “ด้านบนมีคน”
ทั้งสองคนก้าวเท้ามุ่งไปยังยอดเขา เมื่อเดินมาถึงหอศิลาหลังที่หกในที่สุดก็เห็นเงาคนแล้ว ทว่าดูจากเสื้อผ้าที่สวม กลับไม่ใช่ศิษย์ของสำนักผู้อาวุโส แต่เป็นปีศาจน้อยฝูงนั้นของตำหนักธิดาเทพ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” เฉียวเวยพึมพำ
อี้เชียนอินเก็บสีหน้ายิ้มแย้มขี้เล่นไปแล้ว “มีแต่คนของตำหนักธิดาเทพ แย่แล้ว ที่แห่งนี้ถูกตำหนักธิดาเทพล้อมเอาไว้แล้ว รีบออกไปเร็ว!”
เฉียวเวยจับแขนของเขาไว้ “ไม่ทันแล้ว”
อี้เชียนอินมองตามสายตาของเฉียวเวยไปก็เห็นบนยอดเขาสูงตระหง่าน สตรีศักดิ์สิทธิ์รูปงามดุจเทพเซียนทั้งหลายกำลังเยื้องกรายลงมา คนที่นำอยู่ด้านหน้าขบวนคือสตรีรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง บนศีรษะประดับปิ่นหยกสีเขียวหนึ่งเล่ม ด้านข้างถัดจากนางเล็กน้อยคือสตรีประดับปิ่นหยกสีขาวกับสตรีประดับปิ่นหยกสีเหลือง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่นำอยู่ด้านหน้ากล่าวขึ้นว่า “ข้าคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สาม พวกเราเคยพบหน้ากันแล้ว ไม่ทราบว่าจั๋วหม่าน้อยยังจำได้หรือไม่”
เฉียวเวยยิ้มเฉยชา “เจ้า ข้าจำไม่ค่อยได้นัก แต่สองคนด้านข้างเจ้าถูกกองทหารม้าเหล็กของมารดาข้าข่มขวัญจนกลิ้งตกจากรถม้า ร่วมลงมาฟันหักสองซี่ เรื่องนี้ข้าจำได้เสมือนเพิ่งเกิดทีเดียว”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับห้าสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างพร้อมเพรียง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเป็นแมลงที่คอยตามก้นสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สอง ยามอยู่ต่อหน้าทั้งสองคนนั้นนางจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่เมื่ออยู่ข้างนอก นางก็คือลูกพี่ใหญ่ นางเชิดคางเอ่ยเสียงดังกังวาน “ไม่รู้ว่าจั๋วหม่าน้อยมาถึงแล้วจึงไม่ได้ออกไปรับ เสียมารยาทแล้วๆ”
เฉียวเวยยิ้มเย็นชา “ดูรูจมูกเจ้าสิ เชิดจนจะไปถึงฟ้าอยู่แล้ว มีความเคารพสักนิดเสียที่ไหนเล่า”
มุมปากของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามกระตุก ลากท้ายเสียงย้อนถามว่า “จั๋วหม่าน้อยก็ไม่เคารพตำหนักธิดาเทพของพวกข้าสักนิดมิใช่หรือ”
เฉียวเวยโต้อย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ล้อเล่นอะไรกัน ข้าคือจั๋วหม่าน้อยแห่งเผ่าถ่าน่า หญิงแก่หงำเหงือกอย่างพวกเจ้าเห็นข้าแล้วไม่คำนับ ยังคิดจะให้ข้าคำนับพวกเจ้าอีกหรือ”
“เจ้าว่าผู้ใดเป็นหญิงแก่หงำเหงือก!” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่ถือสาเรื่องรูปโฉมที่สุด นางเกลียดเวลาผู้อื่นด่านางว่าแก่ที่สุดแล้ว!
สายตาคมปลาบของเฉียวเวยจับจ้องใบหน้าของนาง “ด่าเจ้านั่นแหละ แล้วจะทำไม”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่โกรธจนเกือบหงายหลังล้มตึง!
“เลิกปากดีได้แล้ว” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามว่าอย่างโมโห
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นมาอย่างเฉยชา “เจ้าคิดว่าข้าอยากหรือ หากไม่ใช่ว่านางปีศาจเฒ่าอย่างพวกเจ้าขวางทางข้าอยู่ ข้าหรือจะอยากเปลืองน้ำลายพูดกับพวกเจ้าสักประโยค คนของข้าอยู่ที่ใด”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามยิ้มอย่างแฝงเจตนาร้าย “คนของเจ้าหรือ คนของเจ้าคนไหนเล่า คุณชายหมิงผู้สง่างามดั่งต้นหยกเล่นลมผู้นั้น หรือว่า…นายน้อยตระกูลจี”
เฉียวเวยไม่แปลกใจกับเรื่องนี้สักนิด นางตอบอย่างใจเย็น “รู้แล้วยังจะถามอีกหรือ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามแย้มยิ้ม “ตอนนี้เขายังสบายดีอยู่ กำลังจิบชาอยู่กับศิษย์พี่ในห้อง หากจั๋วหม่าน้อยสนใจ ข้าจะพาท่านไปดีหรือไม่”
อี้เชียนอินยกแขนขวางหน้าเฉียวเวยเอาไว้ “อย่าไปฟังนาง นางอยากจับตัวท่าน”
เฉียวเวยหันไปมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามแล้วตอบว่า “ข้าไปก็ได้ แต่เขาคงไม่จำเป็น”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามยิ้มหยัน “ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก มาก็มาแล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อนจากไปเลย”
นัยน์ตาของเฉียวเวยฉายแววเยาะหยัน “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษของการกักขังจั๋วหม่าน้อยไว้คือสิ่งใด”
สายตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเย็นชา “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษของการสังหารศิษย์พี่ของข้าคือสิ่งใด”
เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียวขึ้น “ถ้าเช่นนั้นดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดจำเป็นต้องพูดกันแล้ว ชาของเจ้า ข้าไม่อยากดื่ม”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามสีหน้าเย็นชาทันใด “คิดจะไปหรือ ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก! ชิงเสวียน ชิงหลี! จัดการ!”
ศิษย์อาภรณ์สีชมพูของตำหนักธิดาเทพสองนาง สกัดทางด้านหน้ากับด้านหลังของเฉียวเวยกับอี้เชียนอินไว้
อี้เชียนอินชักกระบี่ออกมา เฉียวเวยก็ชักกริชเฟิ่นเทียนออกมาแล้วเหมือนกัน พวกเขาหันหลังชนกัน สองตาวาวโรจน์มองศิษย์หญิงที่ประจันหน้าอยู่
ศิษย์หญิงถือกระบี่พุ่งเข้ามา อี้เชียนอินสะบัดกระบี่ต้านรับ ไหนเลยจะคิดว่าเสียงปริแตกกลับดังขึ้น กระบี่ของเขาหักเสียแล้ว!
กระบี่ของศิษย์หญิงพุ่งมายังหัวไหล่ เขาเบี่ยงตัวหลบแล้วยึดข้อมือของศิษย์หญิงเอาไว้
ศิษย์หญิงรวบรวมกำลังกระแทกสะบัดอี้เชียนอินหลุดออกไป มือที่คว้าจับของอี้เชียนอินชาไปทั้งแถบ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าตำหนักธิดาเทพมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ แม้แต่ตอนสู้กับไซน่าอิง เขายังไม่เคยเสียท่าเช่นนี้
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเอ่ยอย่างลำพอง “พวกเจ้าคิดจริงหรือว่าตำหนักธิดาเทพเป็นสัตว์กินพืช พวกนางสองคนเป็นเพียงศิษย์นอกเท่านั้น แต่ข้าคนนี้เห็นว่าจัดการพวกเจ้าสองคนก็เหลือเฟือแล้ว”
เฉียวเวยประมือกับศิษย์หญิงอีกคนหนึ่ง ศิษย์หญิงคิดจะฟันกริชชองเฉียวเวยให้หักเหมือนกันแต่กริชเฟิ่นเทียนทอประกายเย็นเยียบวูบหนึ่งก็ตัดกระบี่ของนางขาด!
ศิษย์หญิงตกตะลึง เห็นชัดว่านางคิดไม่ถึงว่าในมือเฉียวเวยจะมีอาวุธร้ายกาจเช่นนี้
เฉียวเวยก็คิดไม่ถึงว่ากริชของแม่ทัพน้อยมู่จะร้ายกาจเช่นนี้ เฉียวเวยฉวยโอกาสที่นางตกตะลึงถีบนางร่วงตกจากเนินเขา
อีกด้านหนึ่ง แม้อี้เชียนอินจะพ่ายแพ้ในกระบวนท่าแรก แต่หลังจากเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ก็ทำร้ายอีกฝ่ายได้เหมือนกัน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย กำปั้นกำแน่น เอ่ยขึ้นว่า “ชิงมั่ว! ชิงซวง!”
ศิษย์อีกสองคนเหินออกมา บรรยากาศรอบร่างทั้งสองคนเห็นชัดว่าแตกต่างจากสองคนก่อนหน้าอย่างมาก
ทั้งสองคนล้วนผูกสายคาดเอวสีทอง น่าจะเป็นศิษย์ใน
ทั้งสองคนไม่ได้พกอาวุธ พวกนางโจมตีใส่เฉียวเวยกับอี้เชียนอินด้วยมือเปล่ากำปั้นเปล่า
อี้เชียนอินรับหนึ่งฝ่ามือของอีกฝ่าย กำลังภายในมหาศาลสายหนึ่งทะลวงเข้ามาในเส้นลมปราณ เขาสัมผัสได้ว่าเส้นลมปราณทั้งแปดของตนเหมือนกับจะระเบิด ลำคอรู้สึกถึงรสหวานปนคาวทะลักขึ้นมา ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
ย้อนกลับไปดูศิษย์หญิงคนนั้น สีหน้านางไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย นางซัดคลื่นฝ่ามือออกมาฟันใส่อี้เชียนอินซ้ำอีกหนึ่งหน!
เฉียวเวยมีอาวุธอยู่ในมือ แต่จนปัญญาที่นางค้นพบว่าอาวุธของตนเองไม่มีที่ให้สำแดงเดชอย่างสิ้นเชิง มือของศิษย์หญิงคนนั้นเหมือนวัชพืชน้ำที่สลัดไม่หลุด คอยพันแขนนางไม่ไปไหน ไม่ว่านางจะออกกระบวนท่าอย่างไรก็ถูกนางสลายกำลังไปจนหมด
เฉียวเวยทุ่มสุดกำลัง ทว่าศิษย์หญิงใช้อ่อนสยบแข็ง นางจึงเหมือนกำลังสู้กับก้อนปุยฝ้าย
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเอ่ยอย่างหยิ่งยโส “ไม่จำเป็นต้องออมมือ รีบสู้รีบจบเถิด ชิงซวง”
ศิษย์หญิงที่ถูกเรียกว่าชิงซวงคว้าแขนของเฉียวเวยไว้แล้วจี้ปลายดรรชนีสกัดกริชของเฉียวเวยจนหลุดร่วง หลังจากนั้นนางก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เฉียวเวยต่อต้านแต่อย่างใด สกัดจุดลมปราณของเฉียวเวยไว้ทันที
“ฮูหยินน้อย!” อี้เชียนอินหน้าถอดสี แต่กระบวนท่าสังหารของศิษย์หญิงก็ฟันออกมาอีก
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเดินเข้ามาหาเฉียวเวยอย่างเชื่องช้า ยกมือลูบใบหน้าของเฉียวเวย “พรสวรรค์ของเจ้าไม่เลวเลย น่าเสียดาย ยังเป็นเพียงลูกนกตัวหนึ่งเท่านั้น”
เฉียวเวยมองนางอย่างเย็นชา “นางปีศาจเฒ่า ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ตกอยู่ในมือข้าเชียว”
ไม่อาจไม่ยอมรับว่าบนร่างของเด็กคนนี้มีกลิ่นอายความน่าเกรงขามอันหาได้ยาก สายตาของนางอันตรายคล้ายเสือดาวในพงไพร ทว่าหลังจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามตกตะลึงเพียงชั่วครู่สั้นๆ ก็หัวเราะเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสภาพเจ้าในตอนนี้เหมือนกับลูกเสือดาวแรกเกิดตัวหนึ่งกำลังบอกข้าว่า ‘เชื่อหรือไม่ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย’ เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวหรือ”
เฉียวเวยมองนางแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่กลัวข้า แต่เจ้ากลัวแม่ของข้าใช่หรือไม่ หากแม่ของข้ารู้ว่าเจ้าทำกับข้าเช่นนี้ เจ้าว่านางจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ แล้วก็ฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ ซ้ำอีกรอบหรือไม่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามโกรธจัด “อย่าพูดถึงแม่เจ้ากับข้า!”
เฉียวเวยโต้อย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าจะพูดแล้วจะทำไม พวกเจ้าทุกคนรวมกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแม่ข้า พวกเจ้าสู้แม่ข้าไม่ได้ ถึงมารังแกลูกสาวที่ไม่เป็นวรยุทธ์ของนาง ข้ารู้สึกอับอายขายขี้หน้าแทนพวกเจ้าจริงๆ!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามโกรธจัด นางเงื้อฝ่ามือขึ้นแล้วฟาดฝ่ามือลงมา!
อี้เชียนอินถลาเข้ามาขวางหนึ่งฝ่ามือนี้ไว้จนตัวเองถูกตบลอยลิ่วออกไปไกลก่อนจะตกกระแทกพื้น กระอักเลือดออกมาสองคำ
เฉียวเวยแววตาวูบไหว “อี้เชียนอิน รีบหนีไป!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามสั่งอย่างเกรี้ยวกราด “จับเขาเอาไว้!”
อี้เชียนอินมองเฉียวเวย แล้วหันไปมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สาม เขาปาดคราบเลือดตรงมุมปากแล้วใช้วิชาตัวเบาลงจากภูเขา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามสะบัดแขนเสื้อ “ตามไป!”