ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 73 ดาบตะขอแดนอู๋วาววับดุจหิมะ (5)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เว่ยผิงตอบเสียงดัง “ยามนี้สองกองทัพคุมเชิงกันอยู่ จู่ๆ คนผู้นี้ก็บุกมาลอบสังหารเจ้าเมือง ข้าสงสัยว่าคนผู้นี้จะเป็นสายลับของกองทัพหนานฉู่ จำเป็นต้องส่งให้ท่านแม่ทัพจัดการ มือสังหารจงฟัง หากเจ้ามอบตัวแต่โดยดีและสารภาพอย่างมิปิดบัง ข้าจะขอความเมตตาจากท่านแม่ทัพให้เจ้าได้ตายสบาย มิสู้เจ้าวางอาวุธ ยอมจำนนตอนนี้เสียดีกว่า”

หลังจากเว่ยผิงทราบเรื่องนี้ เขาก็กังวลว่าความตายของหลัวจิ่งจะพัวพันมาถึงเผยอวิ๋น จึงตัดสินใจจะคุมตัวมือสังหารไว้ในมือ ด้วยเหตุนี้จึงรีบร้อนเร่งมา แต่เขากลับมิทราบว่าเผยอวิ๋นอยู่ในเหลาสุราหลังน้อยด้านข้าง

จวงชิงผู่ได้ยินก็หัวเราะลั่น แม้เป็นเสียงหัวเราะร่าอย่างกำเริบเสิบสาน แต่มิลดทอนความสง่างามของเขาสักนิด ครู่เดียวเขาก็หยุดหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ผู้แซ่จวงแต่เดิมเป็นเพียงบัณฑิตธรรมดา แม้มีปณิธานจะตอบแทนแว่นแคว้นแต่ไร้วาสนากับเส้นทางขุนนาง ครานั้นข้าถูกบีบให้จากไปเพราะล่วงเกินลั่วโหลวเจิน เมื่อวานยามหวนคืนมากลับทราบว่าอาจารย์ผู้มีพระคุณตายใต้น้ำมือของหลัวจิ่งผู้นั้น

ยังมิต้องพูดถึงความแค้นของบ้านเมือง อาจารย์เป็นผู้สั่งสอนข้าจนกลายเป็นคน ข้ายังมิทันได้กตัญญูตอบแทนก็ต้องเห็นโลงศพของอาจารย์เสียแล้ว การลอบสังหารวันนี้เป็นการกระทำของข้าเพียงผู้เดียว มิมีผู้อื่นเกี่ยวข้อง ผู้แซ่จวงวันนี้ขอยอมตาย แต่มิยอมตกอยู่ในมือของพวกเจ้าเป็นอันขาด”

เว่ยผิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “มีข้าอยู่ที่นี่ เจ้าอยากตายก็มิง่าย” กล่าวจบก็โบกมือ ทหารกล้าแห่งค่ายไป๋อีสองคนเดินออกมาจากกลุ่มคน คนหนึ่งถือหอกพู่แดง อีกคนหนึ่งสะพายดาบไว้บนแผ่นหลัง ทั้งสองคนบีบเข้ามาจากซ้ายขวา จวงชิงผู่ถือกระบี่ยิ้มละไม ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเข้าไปลงมือก็ได้ยินเสียงกังวานออกมาจากเหลาสุราด้านข้าง

“ถอยไปเสีย ผู้กล้าแห่งค่ายไป๋อีต่อกรกับคนใกล้ตายคนหนึ่ง ไยต้องทำถึงเพียงนี้ จวงชิงผู่ ผู้แซ่เผยเห็นแก่ที่เจ้าแก้แค้นแทนอาจารย์ เปี่ยมคุณธรรมและความกตัญญู วันนี้จะมิสร้างความลำบากให้เจ้า เจ้าไปเถิด ข้าแม่ทัพผู้นี้รับรองว่าจะมิเข่นฆ่าผู้คนตามอำเภอใจ”

จวงชิงผู่ได้ยินคำนี้ก็ตกตะลึงเงยหน้าขึ้นมอง ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าบนเหลาสุราที่ตนเองเพิ่งลงมาเมื่อครู่ มีบุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์สีดำ ท่าทางสุขุมเยือกเย็น หน้าตาเหล่อเหลาห้าวหาญคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานกลาง เพียงมองปราดเดียวในใจก็รู้สึกชื่นชม ตอนเขาออกจากจวนเจ้าเมือง ชีพจรหัวใจก็ขาดสะบั้นแล้ว ทว่าแม้วิชากระบี่ของเขาจะมิยอดเยี่ยม แต่เคล็ดวิชากำลังภายในพิเศษอยู่สักหน่อย จึงยังอาศัยพลังใจกับเคล็ดวิชาลับอดทนมาได้ หากพลังใจหมดเมื่อใดก็คงสิ้นใจทันที

ในใจเขาระลึกถึงสัญญาในวันวานมิเคยลืมเลือน ดังนั้นก่อนตายจึงตั้งใจมาดื่มสุราบ๊วยเขียวสักจอก ทั้งยังกังวลว่าญาติมิตรจะเคราะห์ร้ายเพราะตนเองจึงยังมิยอมทิ้งชีวิตจากไป

บุรุษอาภรณ์เขียวคนนั้นเมื่อครู่มอบยาให้เขาก็เพราะมองออกว่าเขาบาดเจ็บหนักใกล้ตาย แม้การดมกลิ่นหอมของยาชั้นดีเช่นนั้นจะทำให้เขารู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมา แต่จวงชิงผู่ตระหนักดีว่ามิมียาใดช่วยตนได้แล้ว อีกทั้งเขามิต้องการติดค้างน้ำใจผู้อื่นเปล่าๆ ดังนั้นจึงมิยอมรับมา แต่คิดมิถึงว่าเผยอวิ๋นเองก็อยู่บนเหลาสุราด้วย แล้วยิ่งคิดมิถึงว่าแม่ทัพเผยผู้นี้ก็มองออกในปราดเดียวเช่นกันว่าเขาเจ็บหนักจวนเจียนสิ้นลม มิเสียทีเป็นศิษย์สายตรงของเส้าหลิน

แต่เดิมเขาเคียดแค้นชิงชังต้ายงเพราะเรื่องหลัวจิ่ง ทว่าเมื่อเห็นความใจกว้างเช่นนี้ของเผยอวิ๋น เขากลับรู้สึกนับถือจากใจจริง เขาย่อมมองความร้ายกาจของทหารค่ายไป๋อีเหล่านี้ออก สองคนที่กำลังจะลงมือเพียงต้องการจะมิให้โอกาสเขาปลิดชีพตนเองเท่านั้น หากมิใช่ว่าชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายอยู่แล้ว น่ากลัวว่าพาสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก่อนตายเขาก็ยังต้องทนรับความอัปยศ หากมิใช่ว่าในใจเขายังมีห่วง วางใจเรื่องครอบครัวและมิตรสหายมิลง เขาก็คงไม่ดื้อดึงสู้กับความตาย

ยามนี้ได้ยินว่าเผยอวิ๋นมิมีเจตนาจะเข่นฆ่าผู้อื่น หัวใจก็ปล่อยวาง จิตใจสั่นคลอนเพียงวูบเดียว แขนขาก็สิ้นเรี่ยวแรง มิอาจก้าวเดินอีกต่อไป เขาเงยหน้าเอ่ยเสียงดัง “ขอบคุณความใจกว้างดั่งมหาสมุทรของแม่ทัพเผยที่มิเอาโทษผู้บริสุทธิ์” กล่าวจบ สองตาพลันปรือลง แต่ยังคงยืนนิ่งมิไหวติง

เว่ยผิงก้าวเข้าไปดู แล้วเงยหน้ารายงานว่า “ท่านแม่ทัพ เขาตายแล้วขอรับ”

ทหารต้ายงและประชาชนฉู่โจวที่อยู่บนถนนต่างมีสีหน้าสะเทือนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านทั้งหลายผู้รู้จักชื่อเสียงของจวงชิงผู่มาตลอด มีบางคนคุกเข่าโขกศีรษะสวดภาวนาเสียงเบาให้เขา

เผยอวิ๋นถอนหายใจ เดินลงจากชั้นสองมายังกลางถนน ยืนไพล่มือมองร่างของจวงชิงผู่ครู่หนึ่งก็ค้อมกายประสานมือให้แล้วกล่าวว่า “ผู้แซ่เผยมิได้เอ่ยคำลวง ข้าไม่มีทางสร้างความลำบากให้ผู้คนในฉู่โจวเพราะเรื่องนี้เป็นอันขาด” สิ้นเสียง ศพของจวงชิงผู่ก็ล้มลงบนฝุ่งธุลี

เผยอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบา มิชายตาแลเกาปิ่งสักหนก็เอ่ยกับเว่ยผิงว่า “ถ่ายทอดคำสั่งข้า ปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ คุมทั้งเมืองอย่างเข้มงวด ผู้ที่ออกมาเที่ยวเตร่ตามใจมีความผิดโทษฐานเป็นไส้ศึก เจ้าเมืองหลัวถูกลอบสังหารแล้ว ให้กู้หยวนยงดำรงตำแหน่งแทนเขาชั่วคราว เกาปิ่งอารักขาเจ้าเมืองมิสำเร็จ ให้ปลดจากตำแหน่ง กองทหารป้องกันเมืองส่งต่อให้เจ้าบัญชาการ”

เกาปิ่งแต่เดิมก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่แล้ว พอฟังถึงตรงนี้ก็ตวาดลั่น “เผยอวิ๋น เจ้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าได้รับแต่งตั้งตามบัญชาของจักรพรรดิ ไฉนเจ้าบอกจะปลดก็ปลดได้ มือสังหารคนนั้นลอบสังหารเจ้าเมือง แต่เจ้ากลับปล่อยให้เขาปลิดชีพตนเองตามสบาย แล้วยังออกคำสั่งให้ขุนนางแปรพักตร์ของหนานฉู่ขึ้นรับตำแหน่งต่ออีก หรือว่ามือสังหารคนนี้ เจ้าเป็นผู้บงการ”

เผยอวิ๋นฟังจบพลันสีหน้าเย็นยะเยือก เอ่ยตอบท่าทางเคร่งขรึม “เกาปิ่ง เจ้าเป็นเพียงหัวหน้ากองพันของกองทหารป้องกันเมืองคนหนึ่ง ส่วนข้าเป็นผู้บัญชาการทหารแห่งไหวหนาน ฉู่โจวยังเป็นเมืองในการควบคุมของกองทัพ มีข้าเป็นผู้ควบคุมดูแล มิต้องพูดถึงตำแหน่งหัวหน้ากองพันเล็กๆ อย่างเจ้า ต่อให้เป็นผู้ช่วยแม่ทัพหรือรองแม่ทัพ หากมีพฤติกรรมส่งผลเสียต่อการศึกเช่นเจ้า ข้าก็จะสังหารก่อนค่อยกราบทูล ทหาร ลากเขาออกไป”

เกาปิ่งคิดจะขัดขืน แต่เมื่อเห็นว่าทหารป้องกันเมืองใต้บัญชาของตนมิมีท่าทีจะทำตามคำสั่งแม้แต่น้อย เขาจึงทำได้เพียงมอบตัวแต่โดยดีแล้วถูกทหารหลายนายพาออกไป เขาวางอำนาจบาตรใหญ่มาตลอด เมื่อเห็นเขาถูกคุมตัวไป บนถนนก็มีแต่เสียงแซ่ซ้องยินดี เผยอวิ๋นยิ้มน้อยๆ เดินเข้าไปในเหลาสุรา

เว่ยผิงรีบก้าวเข้าไปบอกว่า “ท่านแม่ทัพ มีคนมาขอพบท่านที่หอเจิ้นไหว ในมือมีป้ายทองที่ฝ่าบาทพระราชทาน ผู้น้อยจึงเดินทางมาเชิญท่านแม่ทัพกลับ”

เผยอวิ๋นตอบว่า “ข้าทราบแล้ว” แล้วยิ้มน้อยๆ มิเอ่ยต่อ ในใจคิดว่าหากข้ามิได้ทราบอยู่แล้วว่าคนผู้นั้นมาเยือนฉู่โจวก็คงมิกล้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้ เขายกเท้าก้าวขึ้นไปบนชั้นสอง ในใจเต็มไปด้วยคำถามที่หมายจะถามคนผู้นั้น

เวลานี้บนชั้นสอง โจวหมิงยกมือปิดหน้าไร้วาจา น้ำตาไหลนองหน้า เห็นสหายรักตายต่อหน้า แต่ตนเองกลับช่วยเหลือสิ่งใดมิได้ ภาพใบหน้ายิ้มแย้มกับเสียงหัวเราะยังประหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า แต่คนกลับตายจากไปเสียแล้ว เหลือแต่ความเสียใจมิรู้จบ

โจวฮุ่ยเองก็หม่นหมองมิพูดจา แต่เขาขบคิดได้มากกว่า เมื่อคิดได้ว่าเมื่อครู่เผยอวิ๋นอยู่ด้านข้าง ถ้าเช่นนั้นทุกสิ่งย่อมอยู่ในสายตาของเขา แต่มิทราบว่าเขาจะเอาเรื่องพวกตนสองพี่น้องหรือไม่

ตอนนี้เอง กู้หยวนยงก็เลิกม่านเดินเข้ามา ทั้งสองคนเห็นก็ลุกขึ้นคำนับ โจวหมิงสะอื้นยากจะเอ่ยคำ โจวฮุ่ยจึงกล่าวอย่างนอบน้อม “ขอใต้เท้าโปรดอนุญาตให้พวกเราพี่น้องได้ฝังศพพี่จวง”

กู้หยวนยงฟังแล้วก็ถอนหายใจ กล่าวตอบว่า “แม้พวกเจ้าพี่น้องคนหนึ่งใจร้อน คนหนึ่งใจเย็น แต่ล้วนเป็นคนที่ถือคุณธรรมน้ำมิตร วางใจเถิด แม่ทัพเผยวาจาหนักแน่นดั่งขุนเขา มิมีทางกลับคำ เมื่อครู่ตอนเขาลงไป ได้สั่งให้ข้ามาบอกพวกเจ้าพี่น้องว่าให้พวกเจ้าฝังชิงผู่อย่างสมเกียรติ

เรื่องนี้เขามิสะดวกออกหน้า มิว่าอย่างไรชิงผู่ก็ลอบสังหารเจ้าเมืองของต้ายง นี่มีโทษถึงตาย มิลากคนใกล้ชิดมาพัวพันก็ถือว่าแม่ทัพเผยเมตตาเป็นกรณีพิเศษแล้ว พวกเจ้าจงอย่าแค้นเคืองเพราะเรื่องนี้ แล้วก็อย่าคิดจะแก้แค้นให้เขา ชิงผู่ทำสิ่งที่ประสงค์ลุล่วงแล้ว คิดว่าเขาก็คงตายอย่างไร้แค้นแล้วเช่นกัน”

โจวหมิง โจวฮุ่ยฟังจบก็คำนับขอบคุณ โจวหมิงเอ่ยว่า “ใต้เท้าโปรดวางใจ พวกเราพี่น้องมิใช่คนมิรู้จักรุกถอย พวกเราจะมิพานเอาเรื่องที่ชิงผู่ตายไปโทษแม่ทัพเผย เรื่องในวันนี้ ต่อให้แม่ทัพเผยสังหารพวกเราพี่น้องเสียตอนนี้ก็มิไร้เหตุผล นับประสาอะไรกับเมื่อแม่ทัพเผยยินยอมให้พวกเราได้ฝังศพสหายผู้ล่วงลับ”

กู้หยวนยงประคองทั้งสองคนขึ้นมาแล้วบอกว่า “พวกเจ้าไปเถิด ในเหลาสุรายังมีแขกสูงศักดิ์อยู่อีก เรื่องของเขา พวกเจ้าจงอย่าปากมาก หากมิยอมทำตาม แม้แต่แม่ทัพเผยก็ช่วยพวกเจ้ามิได้”

ทั้งสองคนฟังจบก็ล้วนอึ้งงัน ทำได้เพียงรับบัญชาอย่างหวาดผวา