ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 75 เสียงขลุ่ยระดมพล เสียงฉาบยาตราทัพ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เผยอวิ๋นย่อมฟังออกแล้วว่าเจียงเจ๋อทิ้งตัวแทนเอาไว้ทางติ่งไห่ นาม ‘ฉงเอ๋อร์’ ที่เจียงเจ๋อพูดถึง แม้เขาจะมิเคยได้ยินมาก่อน แต่คิดว่าก็คงเป็นพวกลูกศิษย์ของเจียงเจ๋อสักคน เจียงเจ๋อดึงสายตาของเจ้าแผ่นดินและขุนนางหนานฉู่ไปยังอู๋เย่ว์ ส่วนตนเองผละตัวออกมาแล้วเดินทางมายังฉู่โจว ทำตัวดุจมังกรเทพเห็นหัวมิเห็นหางเช่นนี้ ช่างทำให้คนนับถือเสียจริง

ในใจเผยอวิ๋นเกิดข้อสงสัยมากมาย ราชสำนักมิมีคำสั่งลงมา แล้วเขาก็มิได้รับข่าวลับเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด แม้เขาไม่คิดว่าเจียงเจ๋อจะมีปัญหาตรงที่ใด แต่สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือการคุ้มครองเจียงเจ๋อให้ดี เรื่องรองลงมาก็คือการถวายหนังสือกราบทูลฝ่าบาทเพื่อบอกเรื่องนี้ให้กระจ่าง

แต่เมื่อครู่เจียงเจ๋อพูดว่าวันพรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว หากเขาปล่อยเจียงเจ๋อไปง่ายๆ จริง น่ากลัวว่าวันหน้าหากมีสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา ฝ่าบาทจักต้องกล่าวโทษเป็นแน่ เขาจึงเปิดปากถามว่า “ท่านโหวเสี่ยงอันตรายประหนึ่งเดินเที่ยวเล่น ลักลอบเดินทางจากอู๋เย่ว์จนมาถึงฉู่โจว ผู้น้อยนับถือนัก แต่ยามนี้การสู้รบเกิดขึ้นมิหยุดหย่อน แม้ไหวเป่ยจะยังอยู่ในการควบคุมของกองทัพเรา แต่สายลับของหนานฉู่ก็มักจะแอบแฝงตัวเข้ามาบ่อยครั้ง ท่านโหวมิสู้รั้งอยู่ฉู่โจวสักระยะดีกว่าหรือไม่”

ข้ายิ้มหยันบอกว่า “หากรั้งอยู่ในฉู่โจว เกรงว่าคงถูกกองทัพศัตรูจับตัวไปมากกว่า แม่ทัพเผยวางใจการป้องกันฉู่โจวเช่นนี้ น่ากลัวว่าแม้แต่สวีโจวก็มิแน่ว่าจะรักษาไว้ได้”

หัวใจของเผยอวิ๋นสั่นสะท้าน ถามอย่างระมัดระวังว่า “คำพูดนี้ของท่านโหวหมายความเช่นไร ผู้น้อยคุมฉู่โจวกับซื่อโจวขวางเส้นทางบุกขึ้นเหนือของกองทัพหนานฉู่อยู่ แม้หนก่อนกองทัพหนานฉู่ได้ชัยชนะครั้งใหญ่ทางไหวซี แต่ก็เสียหายหนักหนายิ่งนัก แล้วยังมีแม่ทัพชุย ชุยเจวี๋ย พิทักษ์ซู่โจวอยู่อีก เหตุใดสวีโจวจะเสียเมือง นอกจากนี้ลู่ช่านก็ถูกแผนการของท่านโหวรั้งไว้ที่อู๋เย่ว์ เขายังจะมีวิธีการแยกร่างขึ้นเหนือมาจู่โจมกองทัพของข้าอีกหรือ”

ข้าถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวว่า “ฝ่าบาท ฉีอ๋องรวมถึงตัวข้าล้วนยังดูแคลนลู่ช่านอยู่ ปีกลายหลังจากกองทัพของพวกเราพ่ายศึก แนวป้องกันของฉู่โจว ซื่อโจว ซู่โจวยังมั่นคง ไหวเป่ยยังมีกองทัพของท่านกับชุยเจวี๋ยสองกองทัพ แล้วยังมีทหารชั้นยอดหนึ่งแสนกับอีกหลายหมื่นนาย ในสายตาของพวกเราย่อมปกป้องไหวเป่ยไว้ได้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นมิว่าเจ้าแผ่นดินกับขุนนางหนานฉู่จะมีความกล้าท้ารบหรือไม่ ฉีอ๋องก็กำลังจะนำทัพลงใต้ ก่อตั้งกองบัญชาการศึกเจียงหนานที่หรู่หนาน คอยควบคุมดูแลการศึกระหว่างบุกลงใต้ทั้งหมดร่วมกับฝั่งหนานหยางและสวีโจว ดังนั้นแม้กำลังทหารของไหวเป่ยจะมิพอ แต่พวกเราก็มิได้เก็บมาใส่ใจ

ผู้ใดจะคิดว่าลู่ช่านกลับใจกล้าถึงเพียงนี้ หนนี้ข้าเดินทางขึ้นเหนือผ่านไหวตง ค้นพบว่าจำนวนเสบียงที่กองทัพหนานฉู่ขนย้ายมามากกว่าที่กองทัพหนานฉู่ฝั่งไหวตรงใช้เป็นประจำ นอกจากนั้นตอนนี้หยางซิ่วก็บัญชาการกองทัพอยู่ที่ก่วงหลิง ก่วงหลิงเป็นเส้นทางสำคัญของการขึ้นเหนือ อีกทั้งยามนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการลับอาวุธรวบรวมไพร่พล แต่เดิมข้าจึงมิสนใจ อาศัยเพียงกำลังพลของไหวตง ไม่มีทางบุกตีซื่อโจวกับฉู่โจวในคราเดียวสำเร็จเป็นอันขาด

จนกระทั่งข้ามาถึงฉู่โจว พบว่าที่แห่งนี้ฝั่งปกครองกับฝั่งทหารมิลงรอยกัน ประชาชนเคียดแค้นเดือดดาล มิแปลกที่ลู่ช่านจะกล้าบุกตีฉู่โจว หากข้าคาดไม่ผิด หยางซิ่วยกพลบุกเมื่อใด กองทหารรักษาเมืองของไหวซีก็คงจะร่วมมือกับค่ายทหารม้าเฟยฉียกพลบุกขึ้นเหนือยึดซู่โจว จากนั้นรุกเข้าสวีโจว เมื่อสวีโจวเสียเมืองแล้ว ทางเหนือย่อมอันตรายต่อชิงโจว ทางตะวันตกก็คุกคามหนานหยาง กองทัพหนานฉู่มิเพียงจะยึดดินแดนเจียงไหวได้อย่างมั่นคง แต่ยังมีโอกาสเป็นฝ่ายบุกต้ายงได้อีกด้วย

ตอนนี้คิดดูแล้วสวรรค์คงจะคุ้มครองต้ายงจริงๆ กองเรือตงไห่บุกอู๋เย่ว์ทำให้รากฐานการเก็บภาษีของหนานฉู่เสียหาย ลู่ช่านจึงมิอาจไม่เดินทางไปอู๋เย่ว์เพื่อคุมกองทัพ แม้หยางซิ่วจะเป็นยอดคนผู้หนึ่งเช่นกัน แต่เขาตัดสินใจไม่เด็ดขาดอยู่บ้าง เขายืดเวลาบุกออกไปเพื่อความมั่นใจ หากมิใช่เช่นนั้นสิบวันก่อนพวกเขาก็คงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ประชาชนในฉู่โจวเองก็คงจับอาวุธขึ้นมาร่วมด้วย ถึงยามนั้นฉู่โจวย่อมอันตรายแล้ว”

เผยอวิ๋นฟังถึงตรงนี้ก็หน้าเขียวคล้ำ ลอบเสียใจที่ตนเองห่วงอนาคตหน้าที่การงานจนปล่อยให้หลัวจิ่งกระทำเหลวไหล เขาคิดทบทวน ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งหนาวสะท้าน ยามนี้จ่างซุนจี้กำลังโอบล้อมบุกเซียงหยาง แม้มีโอกาสมากที่จะเป็นการบุกหลอกๆ แต่เขาย่อมมิมีเวลามาสนใจสงครามฝั่งเจียงไหว แนวป้องกันฝั่งไหวเป่ยเหมือนมั่นคงแต่ความจริงสุ่มเสี่ยง หากกองทัพหนานฉู่ตั้งใจบุกชึ้นเหนือ เป้าหมายย่อมต้องมุ่งไปทางสวีโจว

ข้าเห็นเผยอวิ๋นตระหนักถึงความเคร่งเครียดของสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว จึงเอ่ยต่อว่า “เรื่องนี้จะโทษท่านก็มิได้ กองทัพหนานฉู่มิเคยเป็นฝ่ายบุกขึ้นเหนือ วันนี้ท่านทราบข่าวสารแล้ว สมควรป้องกันเช่นไรท่านก็ไปจัดการเถิด ขอเพียงมิเสียฉู่โจว ต่อให้เสียซื่อโจวก็ไม่นับว่ากองทัพเราพ่ายแพ้”

เผยอวิ๋นลุกขึ้นประสานมือคำนับ “ผู้น้อยขอบคุณท่านโหวยิ่งนักที่ตักเตือน ขอท่านโหวโปรดวางใจ ขอเพียงผู้แซ่เผยยังอยู่ฉู่โจววันหนึ่ง จะมิมีทางยอมให้ฉู่โจวเสียเมืองเป็นอันขาด”

ข้าพยักหน้าตอบว่า “เช่นนั้นก็ดี แม้กองบัญชาการศึกเจียงหนานจะยังมิก่อตั้ง แต่ตำแหน่งเสนาธิการของข้าเป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว ท่านมิต้องกังวลว่าจะมีโทษทัณฑ์ความผิดใด ทุกสิ่งข้าล้วนแบกรับเอง แต่เดิมไหวเป่ยมีอันตราย ข้าสมควรรั้งอยู่ที่นี่ แต่หากศึกทางเซียงหยางดำเนินไปตามแผนการเดิมที่วางไว้ จะเป็นการยึดติดกับคำสั่งเดิมมากเกินไป ดังนั้นข้าต้องไปพบจ่างซุนจี้ ท่านมอบหนังสือผ่านด่านให้ข้า แล้วมอบคนนำทางให้ข้าอีกสักคน อีกอย่างทหารกับประชาชนที่ทราบว่าข้าเดินทางมาฉู่โจวทุกคน ท่านต้องระวังป้องกันไว้ ข้ามิต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ร่องรอย”

เผยอวิ๋นพยักหน้าตอบว่า “ผู้น้อยรับบัญชา ตู้หลิงเฟิงที่ท่านโหวได้พบเมื่อครู่เป็นศิษย์หลานของข้าเอง เขาชำนาญเส้นทางเป็นที่สุด สามารถนำทางให้ท่านโหวได้ คนที่ได้พบท่านโหววันนี้ ผู้น้อยจะคุมตัวพวกเขาเอาไว้ มิให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปได้เด็ดขาด”

ข้าพยักหน้าเอ่ยว่า “ยามฉู่โจวถูกบุกโจมตี ท่านต้องคอยป้องกันไม่ให้ในเมืองเกิดความวุ่นวาย กู้หยวนยงนับว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง ขอเพียงท่านยังมีหวังได้ชัย เขาย่อมไม่หักหลัง คนผู้นี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในฉู่โจว หนนี้ท่านให้เขาครอบตำแหน่งแทนหลัวจิ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ท่านต้องซื้อใจเขาให้ดีจึงจะทำให้จิตใจของประชาชนฉู่โจวสงบได้ เกาปิ่งคนนั้นทำงานได้ไม่ดีพอ ข้าว่าเขาคงทำเสียเรื่องเก่งมากกว่า หากมีเรื่องใดมิเหมาะสมก็สังหารเขาเสีย อย่าได้ใจอ่อนเป็นพอ”

เผยอวิ๋นตอบอย่างเคร่งขรึม “ผู้น้อยรับบัญชา”

ข้าลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ ให้ตู้หลิงเฟิงคนนั้นมาจัดการอาหารที่พักให้พวกข้าเถิด งานในกองทัพของท่านเร่งด่วน วันพรุ่งนี้ตอนข้าจากไปก็มิต้องให้ท่านมาส่งแล้ว ป้องกันมิให้ข่าวคราวอันใดเล็ดลอดออกไป”

เผยอวิ๋นตอบว่า “หนังสือที่ท่านโหวต้องการ วันพรุ่งนี้หลิงเฟิงจะนำไปมอบให้ท่านโหว ตอนนี้ผู้น้อยต้องไปสั่งการทหารที่ค่ายใหญ่นอกเมือง ขอท่านโหวโปรดอภัยที่ผู้น้อยต้องเสียมารยาท”

ข้าตอบอย่างเฉยชา “รีบไปเถิด ข้ายังอยากจะร่ำสุราอยู่ที่นี่อีกสักสองสามจอก”

เผยอวิ๋นลุกขึ้นขอตัวออกไป จากนั้นเดินลงไปด้านล่างอย่างไม่ลังเลสักนิด ไม่นานข้าก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังขึ้นมาจากชั้นล่างแล้วค่อยๆ ไกลออกไป

ข้าถอนหายใจแผ่วเบา เอ่ยขึ้นว่า “หนนี้โชคดีจริงๆ หากมิใช่ว่าระหว่างทางฮูเหยียนโซ่วสังเกตเห็นว่าจำนวนเรือเสบียงมากเกินกว่าปกติที่สมควรเป็นอยู่มาก แล้วยังมียอดฝีมือเช่นเจ้าเป็นสายสืบก็คงค้นมิพบแผนการส่งเสียงบูรพาตีฝ่าประจิมของหนานฉู่หนนี้

จะว่าไปแล้วก็น่าขำจริงๆ ข้าดึงสายตาของกองทัพหนานฉู่ไปยังอู๋เย่ว์ ลู่ช่านกลับใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ ฉวยโอกาสยึดไหวตงกลับคืน รุกคืบเข้าสวีโจว หนนี้พวกเราสองคนนับว่าเสมอกัน”

เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวขึ้นเรียบๆ “มิว่าแผนการจะรอบคอบเช่นไร ในเมื่อแพร่งพรายออกมาแล้วก็มิอาจสำเร็จได้ง่ายดาย มิเช่นนั้นเหตุไฉนคุณชายจะวางใจเดินทางไปเซียงหยางเช่นนี้”

ข้าได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “เผยอวิ๋นเป็นถึงศิษย์ของผู้คุมกฎแห่งเส้าหลิน นิสัยของเขามีทั้งด้านที่เด็ดขาด แล้วก็ด้านที่ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ หลายวันก่อนเขายอมปล่อยให้หลัวจิ่งทำตามอำเภอใจก็เพราะมิต้องการล่วงเกินขุนนางมีอำนาจจนทำให้ฉู่โจวสถานการณ์ไม่มั่นคง แต่วันนี้เขาทราบแล้วว่ากองทัพหนานฉู่ตั้งใจจะบุกโจมตี เขาย่อมเข้มงวดเด็ดขาด แม้ฉู่โจวต้องโลหิตนองเป็นสายน้ำ เขาก็จะมิปล่อยให้หนานฉู่ฉกฉวยโอกาส”

กล่าวถึงตรงนี้ ข้าก็ถอนหายใจอีกหน “หากข้ามาถึงเร็วกว่านี้อีกสักวัน เวลานี้เผยอวิ๋นก็คงขับไล่หลัวจิ่งไปได้ เรื่องน่าเสียดายในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นแล้ว”

เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มหยัน “เรื่องนี้คุณชายพูดเลอะเทอะแล้ว จวงชิงผู่คนนี้กับหนานฉู่น่าจะมีความเกี่ยวพันกัน มิเช่นนั้นเขาจะอาศัยสิ่งใดฝ่าแนวป้องกันของสองกองทัพกลับมายังฉู่โจวได้ แล้วอีกอย่างเขาลอบสังหารหลัวจิ่ง มิใช่ว่าหนานฉู่เป็นฝ่ายได้ประโยชน์หรอกหรือ แม่ทัพเผยกับหลัวจิ่งยังมิถึงขั้นเป็นน้ำไฟมิเข้ากัน หากกองทัพหนานฉู่บุกมา เจ้าเมืองผู้เด็ดขาดคนหนึ่งคงจะน่าเชื่อถือกว่าขุนนางแปรพักตร์มากกระมัง

ยิ่งไปกว่านั้นหากจวงชิงผู่บาดเจ็บหนักแต่ยังมิตาย ต่อให้แม่ทัพเผยเสียดายเขา แต่ก็มิอาจไม่จับกุมเขามาประหาร ถึงยามนั้นบัณฑิตในเมืองย่อมยิ่งเคียดแค้นต้ายง ภายในวุ่นวาย ภายนอกภัยกล้ำกรายพร้อมกัน เกรงว่าเมืองฉู่โจวคงรักษาไว้ไม่ง่าย”

ข้าฟังจบก็ก้มหน้าครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าก็พูดมีเหตุผล แต่จวงชิงผู่ตายแล้ว เรื่องนี้มิจำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก มิว่าอย่างไรคนผู้นี้ก็ตายอย่างน่าเสียดาย หากหยางซิ่วคิดจะเสียสละคนเช่นนี้จริง ข้าคงต้องหัวเราะเยาะที่เขาสายตาตื้นเขิน”

เวลานี้เอง หูข้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคย เพียงได้ยินก็ทราบว่าผู้ที่ขึ้นมาบนชั้นสองคือฮูเหยียนโซ่ว จู่ๆ ข้าก็หัวเราะ “ฮูเหยียนตบแต่งกับซูโหว ข้อดีอย่างอื่นยังมิต้องพูดถึง แต่ความสามารถในการสอดส่องสถานการณ์ฝ่ายศัตรูนี้นับว่าพัฒนาก้าวกระโดด หากมิใช่เช่นนั้นเกรงว่ากองทัพหนานฉู่ยกมาประชิดเมืองแล้ว พวกเราถึงเพิ่งทราบว่าหนานฉู่ใจกล้าพอจะบุกไหวเป่ย”

เสี่ยวซุ่นจื่อฟังจบก็อึ้ง แม้แต่คนหน้าตายใจเป็นน้ำแข็งเช่นเขาก็อดยิ้มมิได้