เล่ม 1 ตอนที่ 261-1 ท่านแม่เฉียวลงมือ ไม่ต้องเก็บไว้สักคน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 261-1 ท่านแม่เฉียวลงมือ ไม่ต้องเก็บไว้สักคน

เฉียวเวยสัมผัสได้ว่ามีดบินนับไม่ถ้วนปักลงบนห่อสัมภาระบนหลัง โชคดีที่ห่อสัมภาระขนาดใหญ่กว่าตัวคน ดังนั้นไม่ว่าคนกลุ่มนั้นของตำหนักธิดาเทพจะปาอย่างไรก็ปาไม่ถูกพวกเขาสักนิด

คนของตำหนักธิดาเทพกลุ่มนั้นโกรธแทบตาย เฉียวเวยหันหลังกลับมามองพวกเขา “พวกเจ้าจะปาก็ปาไปสิ พี่สาวจะคิดเสียว่าเป็นเรือฟางยืมเกาทัณฑ์!”

มีดบินมากมายเช่นนี้ อย่างน้อยก็มีร้อยสิบกว่าเล่มกระมัง ขนทั้งหมดกลับไปให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ย ปลอบใจความเจ็บปวดที่สูญเสียภรรยาของเขาสักหน่อยก็ดี

มีดบินพุ่งเข้ามามืดฟ้ามัวดิน ทุกเล่มปักลงบนห่อสัมภาระของเฉียวเวย ห่อสัมภาระหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ แต่เฉียวเวยมีพละกำลังมหาศาล คนจึงยังวิ่งได้ว่องไวราวกับบิน แต่ถึงกระนั้นก็ยังสู้ผู้อื่นที่ใช้วิชาตัวเบาเป็นไม่ได้ ระยะห่างของศิษย์กลุ่มนั้นร่นเข้ามาเรื่อยๆ ตอนที่ศิษย์หญิงนามว่าชิงซวงผู้นั้นกำลังจะคว้าห่อสัมภาระของเฉียวเวยได้แล้ว เฉียวเวยก็รวบรวมกำลังถีบเท้า กระโดดหนีไปไกลยิ่งนักราวกับจิ้งโจ้น้อยตัวหนึ่ง

เฉียวเวยตบหน้าอก ศักยภาพของคนเราช่างไร้ขีดจำกัดจริงๆ!

แต่ชิงซวงไม่ใช่คนเดียวที่ไล่ตามมา ศิษย์หญิงนามว่าชิงมั่วผู้นั้นก็ใช้วิชาตัวเบาเหินเข้ามาเช่นกัน พริบตาที่ชิงซวงพลาด นางก็เหยียบหัวไหล่ของชิงซวงยืมแรงกระโดดขึ้นกลางอากาศ ผ้าแพรขาวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อราวสายฟ้าแลบ มัดเฉียวเวยกับ ‘เนินเขาน้อย’ บนหลังของเฉียวเวยเอาไว้ ตอนที่นางกำลังจะออกแรงกระชากดึงเฉียวเวยกลับมาบนพื้นนั่นเอง ลูกธนูเหล็กวาววับเย็นเฉียบดอกหนึ่งก็พุ่งแหวกรัตติกาลเข้ามาอย่างรวดเร็ว ความเร็วของมันทำให้คนต้องตาค้างพูดไม่ออก

ชิงมั่วได้ยินเพียงเสียงแหวกอากาศดังขึ้นหนึ่งหน นางสัมผัสได้ถึงคลื่นสั่นสะเทือนแผ่วเบาในอากาศ ทว่าไม่ทันที่นางจะเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนางก็ถูกลูกธนูเหล็กเสียบทะลุหน้าอก พละกำลังมหาศาลส่งทั้งร่างของนางลอยปลิวออกไปกระแทกกับศิษย์ที่ตามมาติดๆ ด้านหลัง ส่งคนทั้งกลุ่มเซซ้ายเซขวาระเนระนาด

ต่อจากนั้นเสียงฝีเท้าเป็นระเบียบพร้อมเพรียง เสียงกีบเท้าม้าอันเคร่งขรึมน่าเกรงขามก็ดังควบคู่มากับเสียงกระทบกันของชุดเกราะที่ชวนให้คนขนลุกชัน พสุธาทั้งผืนสั่นสะเทือน

ฮู่! ฮู่! ฮู่! ฮู่! ฮู่!…

เสียงลมหายใจคล้ายเสียงคำรามทุ่มต่ำในลำคอดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ทหารม้าเหล็กที่สวมชุดเกราะสีดำทมิฬคนแล้วคนเล่าขี่อาชาตัวพ่วงพีที่สวมเกราะแบบเดียวกันโผล่ออกมาจากความมืด

ใบหน้าของทุกคนสวมหน้ากากผี บนมือสวมเกราะไหมสีดำ ภาพที่เห็นทำให้รู้สึกว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นอสูรที่มาจากนรก กลิ่นอายความชั่วร้ายแผ่ทั่วผืนปฐพี วิหคตกใจกระพือปีกพรึ่บพรั่บบินหนีสู่ท้องนภายามราตรี สัตว์ร้ายคำรามอย่างหวาดกลัว

ศิษย์สามสิบกว่าคนที่มีชิงซวงเป็นหัวหน้ายืนนิ่งในพริบตา พวกนางกุมกระบี่ในมือมองทหารม้าเหล็กที่ทะยานเข้ามาหาพวกนางอย่างตื่นตระหนกและเสียขวัญ

เมื่อทหารม้าเหล็กควบม้ามาถึงหน้าเฉียวเวย พวกเขาก็แหวกออกสองฝั่งอ้อมตัวเฉียวเวยจากนั้นไปรวมตัวกันอีกครั้ง แล้วเรียงแถวหน้ากระดานเป็นกำแพงเหล็กให้เฉียวเวย

หลังจากนั้นทหารม้าเหล็กมากกว่าเดิมก็แห่เข้ามาล้อมศิษย์สามสิบกว่าคนของตำหนักธิดาทพเอาไว้

ศิษย์ทั้งหลายที่แต่เดิมกำชัยชนะอยู่แม่นมั่น เวลานี้ต่างตื่นตระหนกอย่างห้ามตนเองไม่ได้ ความจริงพวกนางไม่เคยเห็นทหารม้าเหล็กของเฮ่อหลันลงมือจริงๆ มาก่อน ทว่าเพียงบรรยากาศที่ราวกับจะถล่มฟ้าทลายดินนั่นบนร่างของพวกเขาก็เพียงพอทำให้พวกนางหวาดผวาแล้ว

ศิษย์ทั้งหลายกำกระบี่ในมือแน่น พวกนางมองทหารม้าเหล็กเฮ่อหลันอย่างระมัดระวัง หัวใจเต้นตึกๆ ตึกๆ เหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลลงมาจากไรผม

ฝ่ายเฉียวเวยที่เมื่อครู่วิ่งหนีเอาชีวิตรอดจนเกือบจะขาดใจ ในที่สุดก็ได้พักหายใจ เฉียวเวยปลดห่อสัมภาระลงมา แล้วเกาะม้าของทหารม้าเหล็กนายหนึ่งเอาไว้พลางหอบหายใจเฮือกใหญ่ๆ

คนกลุ่มนี้สำหรับคนนอกอาจจะดูน่ากลัวยิ่งนัก แต่นางรู้ว่าพวกเขาไม่มีวันทำร้ายนาง นางจึงวางใจฝากด้านหลังหรือแม้กระทั่งชีวิตไว้ในมือพวกเขา

กุบกับ! กุบกับ!…

เสียงกีบเท้าม้าอันสง่างามเยาะย่างเอื่อยเฉื่อยเข้ามาใกล้

หั่วเฟิ่งท่าทางราวกับจักรพรรดิผู้หยิ่งยโส มันพาเจ้านายเพียงหนึ่งเดียวที่มันยอมก้มหัวให้เดินเข้ามาอย่างโอหัง

อาภรณ์สีดำของเฮ่อหลันชิงถูกสายลมยามราตรีเสียงดังหวีดหวิวพัดสะบัดพลิ้ว สีแดงที่อยู่ด้านในคล้ายตะวันสีเลือดโอบล้อมร่างของนาง

หั่วเฟิ่งหยุดข้างกายเฉียวเวยแล้วพ่นลมหายใจดังพรืด คล้ายหัวเราะเยาะเจ้าตัวน้อยที่นอนแผ่กางแขนกางขาเหนื่อยจนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น

“ท่านแม่!” ในที่สุดหัวใจของเฉียวเวยก็หมดสิ้นความหวาดกลัว

เฮ่อหลันชิงเอื้อมมือออกมารั้งลูกสาวขึ้นหลังม้า ให้ลูกสาวนั่งในอ้อมแขน มือข้างหนึ่งของนางกำสายบังเหียน มืออีกข้างหนึ่งกอดร่างบอบบางของลูกสาวไว้แน่น

สายตาของนางมองผ่านทหารม้าเหล็กเบื้องหน้าไปจับจ้องบนร่างศิษย์ที่เหมือนวิหคตื่นเกาทัณฑ์กลุ่มนั้น

ทุกคนสัมผัสได้ถึงสายตาของนางก็ยิ่งหวาดผวาจนทั้งร่างสั่นเทา

แต่เดิมศิษย์ทั้งหลายตั้งกระบวนทัพรูปวงกลมอยู่ ทว่าเมื่อถูกสายตาของเฮ่อหลันชิงจับจ้อง กระบวนทัพวงกลมก็หดเล็กลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายคนสิบกว่าคนก็ยืนเบียดชิดติดกัน

เฮ่อหลันชิงยังคงเอาแต่จับจ้องพวกนาง มุมปากยกโค้งขึ้นอย่างงดงาม

ขาของทุกคนเริ่มอ่อนแรง

ชิงมั่วตายแล้ว ชิงซวงจึงเป็นศิษย์ที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดในที่แห่งนี้ นางทิ้งกระบี่คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง ตุ้บ! “จั๋วหม่าไว้ชีวิตด้วย!”

ทุกคนพากันคุกเข่าตาม

“จั๋วหม่าไว้ชีวิตด้วย!”

“จั๋วหม่าไว้ชีวิตด้วย!”

“จั๋วหม่าไว้ชีวิตด้วย!”

เฮ่อหลันชิงดึงมีดบินที่ปักอยู่บนห่อสัมภาระของเฉียวเวยออกมาหนึ่งเล่ม นางมองดูมันแล้วเป่าลมหายใจออกมาเบาๆ “ไม่ต้องเก็บไว้สักคน”

หั่วเฟิ่งไม่เสียทีเป็นอาชาชั้นดีหนึ่งจากในพันลี้ มันแบกเฉียวเวยกับเฮ่อหลันชิงรวมทั้งเจ้าตัวน้อยทั้งสามมาถึงปราสาทเฮ่อหลันในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

ต้องรู้ว่าเฉียวเวยนั่งรถม้าใช้เวลาถึงสามชั่วยาม ส่วนการขี่ม้าก็ต้องใช้เวลาสองชั่วยาม แต่เจ้าหั่วเฟิ่งตัวนี้กลับลดเวลาลงมาได้ครึ่งหนึ่งดื้อๆ

เฉียวเวยให้รางวัลหั่วเฟิ่งเป็นผลสองภพหนึ่งผลอย่างใจกว้างยิ่งนัก

เวลานี้เที่ยงคืนแล้ว หญิงรับใช้ทั้งหลายต่างไปพักผ่อน เหลือเพียงองครักษ์ที่ลาดตระเวนตามทางเป็นระยะ แต่เฉียวเวยไม่พบพวกเขาเลย ดังนั้นนอกจากมารดาของนางจึงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางแบกข้าวของกองโตกลับมาด้วย

เฉียวเวยขนยากับผลไม้ทั้งหมดเข้าไปไว้ในห้องของบิดามารดาของนาง เฉียวเจิงเห็นสภาพนางหอบหิ้วข้าวของห่อใหญ่ห่อน้อยพะรุงพะรัง ชั่วพริบตาหนึ่งก็ตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง ไม่ใช่บอกว่าตำหนักธิดาเทพลักพาตัวไปหรือ ดูของห่อใหญ่ห่อน้อยนี่สิ ที่แท้ผู้ใดปล้นผู้ใดกันแน่ฮึ!

อี้เชียนอินหลังจากแจ้งเฮ่อหลันชิงเสร็จก็กลับห้องไปรักษาแผล เวลานี้ได้ยินเสียงเอะอะจึงรีบเร่งออกมาจากห้อง เขาเบิ่งตามองห่อสัมภาระที่กองเต็มพื้น ตาโตอ้าปากค้างอย่างห้ามตนเองไม่ได้ “ท่าน…ท่านทำอะไรมา”

เฉียวเวยยิ้มแย้ม “ช่วยข้าแกะมีดบินออกก่อน!”

อี้เชียนอินก้าวเข้าไปช่วยนางดึงมีดบิน เฉียวเวยเตือนว่า “ระวัง มีดบินมีพิษ”

อี้เชียนอินมองห่อสัมภาระที่มีมีดบินปักด้านหลังเต็มไปหมด เขาไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรดี จะบอกว่านางใจกล้าบุ่มบ่ามขโมยของจากตำหนักธิดาเทพดี หรือบอกว่านางฉลาดมองการณ์ไกล โชคดีขโมยของจากตำหนักธิดาเทพมา มิเช่นนั้นหากไม่มีห่อสัมภาระหนาเตอะเหล่านี้ มีดบินอาบยาพิษร้อยแปดสิบเล่มนี่ก็น่าจะปักลงบนร่างนางกับเจ้าตัวน้อยทั้งสามไปแล้ว

ทั้งสองคนดึงมีดบินออกมา

อี้เชียนอินถอนหายใจ “ฝีมือการตีมีดบินเหล่านี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ใช้เหล็กนิลที่แข็งกว่าเหล็กธรรมดามาก”

เฉียวเวยใช้ถุงกระสอบใส่พวกมันเสร็จก็เอ่ยกับอี้เชียนอินว่า “แน่นอนสิ หากไม่ดีข้าคงไม่ปล่อยให้พวกนางปากันเต็มที่หรอก ช่วยเอาไปให้ลุงเยี่ยนแทนข้าที”

“สาวน้อยคนนี้” อี้เชียนอินหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ตัวเองเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ ยังนึกถึงผู้อื่นอีกหรือ”

เฉียวเวยจึงตอบว่า “ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรนี่!”

ที่สำคัญก็คือนางทำอะไรไม่ได้ คนกลุ่มนั้นอย่างไรก็จะปามีดบินใส่นางให้ได้

อี้เชียนอินมองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

เฉียวเวยเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้ “ข้าไม่เป็นอะไร แต่พวกตำหนักธิดาเทพเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย”

อี้เชียนอินแค่นเสียงหยัน “นางแก่หนังเหนียวฝูงนั้นเกิดเรื่องก็ดีสิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเล่า”

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งถูกแมลงกู่เล่นงาน” เฉียวเวยตอบ

แม้ปากนางจะถามสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามว่าศิษย์พี่คนไหน แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองตายแล้ว คนที่ทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเรียกว่าศิษย์พี่ได้ย่อมมีแต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งคนเดียว น่าสงสารสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามที่ไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าเฉียวเวยกำลังหลอกนางอยู่ ถูกจูงจมูกเดินอยู่ตั้งนาน

ดวงตาของอี้เชียนอินทอประกายเริงรื่นที่ได้เห็นความทุกข์ของผู้อื่น “ถูกแมลงกู่เล่นงานหรือ ร้ายแรงหรือไม่”

เฉียวเวยตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ชัดนัก แต่น่าจะร้ายแรงพอสมควร สถานที่จัดเทศนาเย็นฝั่งตำหนักด้านหน้าเกิดความวุ่นวายใหญ่โต เรียกว่าโกลาหลได้เลย ข้าอยู่ที่เรือนด้านหลังได้ยินเสียงยังขวัญผวาตัวสั่น ส่วนสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามน่ะหรือ ถูกฉี่ลูกเพียงพอนของเสี่ยวไป๋เล่นงานจนหมดเรี่ยวหมดแรง ก็สมกับที่นางดื่มไปตั้งหนึ่งชามเต็มๆ”

นางเฒ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามคนนั้นอยู่ๆ ก็เงื้อมือตบเขา พอคิดถึงเรื่องนี้อี้เชียนอินก็เดือดดาล เวลานี้ได้ยินว่านางถูกเสี่ยวไป๋จัดการจนหมดเรี่ยวหมดแรง ในใจก็พลันเบิกบานทันที พอคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาก็ถามอีกว่า “แล้วท่านเห็นนายน้อยหรือไม่”

เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่ เขาน่าจะยังอยู่ที่สำนักผู้อาวุโส พวกเจ้าอย่าเพิ่งบุ่มบ่ามลงมือ ข้าจะลองคิดดูว่าจะทำอย่างไร”

“ขอรับ”

ก่อนหน้านี้คิดว่านางเป็นเพียงสาวน้อยจากชนบทคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด บนร่างนางกลับมีบารมีที่ทำให้ผู้คนนับถือ

อี้เชียนอินกลับห้องไปให้จีอู๋ซวงทำแผลให้เขาต่อ

อีกด้านหนึ่งเฉียวเจิงกำลังจัดการยาสารพัดชนิด ยาทุกชนิดมีชื่อกำกับไว้ ดังนั้นจึงจำแนกง่ายอย่างยิ่ง ใช้เวลาเพียงสองเค่อ ทุกสิ่งก็แยกประเภทเสร็จสรรพ

เจ้าตัวน้อยทั้งสามมองผลสองภพตาปริบๆ น้ำลายสอ

หนนี้มีแต่เฉียวเวยกับจูเอ๋อร์ที่ถูกมีดปัก ห่อสัมภาระของต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ล้วนสมบูรณ์ดีไม่เสียหาย เฉียวเวยหยิบผลสองภพในห่อสมภาระของเจ้าสองไป๋ออกมา แล้วจึงหยิบผลไม้ที่ถูกมีดปักตอนอยู่ในห่อสัมภาระของตนเองและจูเอ๋อร์ออกมาต่อ

ผลสองภพมีสรรพคุณในการแก้พิษ แต่นั่นเป็นสรรพคุณในเนื้อของมันเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าตัวมันวางสังเคราะห์แสงอยู่ก็จะเป็นสารกำจัดพิษได้ ยิ่งไปกว่านั้นพิษบนมีดบินอาบยาพิษพวกนั้นล้วนเป็นพิษยางน่อง หากกินเข้าไป ไม่ต้องรอสรรพคุณในเนื้อของผลสองภพออกฤทธิ์ขับพิษก็ถูกพิษตายก่อนแล้ว

เฉียวเวยนับจำนวน ทั้งหมดมีผลสองภพสามสิบเอ็ดลูกที่ถูกมีดปัก นางใส่ผลมี่ถูกมีดปักไว้ในห่อสัมภาระ แล้วยกทั้งหมดให้เสี่ยวไป๋

เสี่ยวไป๋ชอบกินยาพิษที่สุด นี่มันยอดเยี่ยมมาก!

ต้าไป๋กับจูเอ๋อร์ต่างได้แบ่งไปตัวละสามผล แต่เดิมจะได้แบ่งแค่ผลเดียว แต่คุณงามความชอบในค่ำคืนนี้ของพวกมันมากมายเกินไปแล้วจริงๆ จึงเพิ่มให้อีกสองผลเป็นกรณีพิเศษ

เจ้าตัวน้อยสองตัวเห็นเสี่ยวไป๋ได้รับมากกว่าพวกตนสิบเท่า ดวงตาคู่กระจ้อยก็เผยแววตาริษยาอย่างยิ่ง!

เจ้าตัวนี้ฮุบผลสองภพไว้ตัวเดียวตั้งสามสิบเอ็ดผล แม้จะมีพิษ แต่ก็ยังทำให้ผองเพื่อนสัตว์โมโหนัก!

เสี่ยวไป๋เบ่งกล้ามอวด

ต้าไป๋กับจูเอ๋อร์โถมเข้ามาซ้อมเจ้าตัวกวนประสาทตัวนี้จนน่วม! เรียกได้ว่าสภาพน่าอนาถยิ่งนัก!

เฉียวเวยเก็บไว้เองสิบผล จำนวนเท่านี้ให้หมิงซิวรักษาอาการป่วยรวมถึงให้แม่ทัพน้อยมู่เพิ่มกำลังภายในแล้วก็ยังเหลือ ส่วนที่เหลือเก็บไว้ให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกินเป็นลาภปาก ตัวนางเองไม่ตะกละอยากกินผลไม้ชนิดนี้นัก แม่ทัพน้อยมู่ไม่ใช่เคยบอกแล้วหรือว่าผลไม้ชนิดนี้มีฤทธิ์มหัศจรรย์กับคนป่วยและคนที่ฝึกวรยุทธ์เท่านั้น สำหรับคนธรรมดาแล้วมันเป็นเพียงของบำรุงธรรมดาๆ นางกินผลสองภพหนึ่งผลไม่ต่างอะไรกับการกินโสมหนึ่งต้น ดังนั้นอย่าสิ้นเปลืองทรัพยากรล้ำค่าจะดีกว่า