รัชศกถงไท่ปีที่สิบสี่ ปีติงไฮ่[1] เดือนแปด เจ้าแคว้นจ้าวหล่งอภิเษกสมรส แต่งตั้งไช่ซื่อเป็นพระมเหสี นางเป็นธิดาคนรองของมหาเสนาบดีไช่ไข่ กุ้ยเฟยจี้ซื่อ ได้รับการแต่งตั้งในวันเดียวกัน
เดือนแปด วันที่สิบแปด เจ้าแคว้นขึ้นปกครองด้วยตนเอง ตำหนักทองคำเฉลิมฉลอง พระมหากรุณาธิคุณแผ่ไพศาล ผู้ที่มิมีโทษถึงประหารล้วนได้รับลดโทษละเว้นโทษ
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน พระประวัติฉู่หมิ่นอ๋อง
รัชศกถงไท่ปีที่สิบสี่ เดือนเจ็ด เจียงหนานดาวปาริชาตคล้อยสู่ประจิม คลื่นความร้อนถาโถม สายน้ำไหลสู่บูรพา ยามเที่ยงวันเป็นช่วงเวลาที่บนผิวแม่น้ำมีเรือแล่นไปมาน้อยนิด ใต้ต้นหลิวใหญ่ต้นหนึ่งริมแม่น้ำมีดรุณีน้อยอาภรณ์เขียวคนหนึ่งนั่งอยู่ แม้ดูไปแล้วอายุยังมิถึงวัยแรกแย้ม แต่รูปโฉมงามเลิศล้ำชวนให้คนหวั่นไหว เสมือนไข่มุกงามร่วงหล่นจากแดนเทพเซียน อาภรณ์บนร่างนางเป็นเสื้อผ้าหน้าร้อนชนิดที่หญิงสาวสามัญชนในเจียงหนานชอบสวมใส่ เรียบง่ายมิหรูหรา แต่ดูดวงตาสุกใสมีชีวิตชีวาและรูปโฉมประหนึ่งภาพวาดของนางก็ทราบแล้วว่านางมิใช่คุณหนูตระกูลเล็กธรรมดาทั่วไป
นางกอดเข่านั่งอยู่บนหินเขียวก้อนหนึ่ง ดวงตาใสกระจ่างทั้งคู่มองเด็กหนุ่มที่ดวงตาเต็มไปด้วยความฉงนเดินมาเดินไปอยู่ริมฝั่งน้ำอย่างมิสนใจดวงตะวันที่แผดเผาเหนือศีรษะ เด็กหนุ่มผู้นั้นหล่อเหลาองอาจ อายุราวสิบสามสิบสี่ปี แม้หน้าตาจะดูละอ่อนอยู่บ้าง แต่ก็มีบุคลิกองอาจห้าวหาญ ทว่าเวลานี้เขากลับเดินไปมาชะเง้อคอมองอยู่ริมแม่น้ำพลางทำสีหน้าร้อนรน
ในที่สุดดรุณีน้อยอาภรณ์เขียวผู้นั้นก็ทนมิไหว ตะเบ็งเสียงบอกว่า “พี่รอง ท่านจ้างเรือแล้วมิใช่หรือ เหตุไฉนตอนนี้ยังมิมาอีกเล่า”
เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าบึ้งตอบว่า “ก็นัดกันไว้แล้วแท้ๆ ว่าวันนี้ให้มาพบกันที่นี่ ค่าเรือก็จ่ายไปก่อนครึ่งหนึ่งแล้ว เหตุไฉนจึงเชื่อถือมิได้เช่นนี้”
ดรุณีนางนั้นโอดครวญ “เป็นเพราะท่านแท้ๆ อยากจะลากข้าไปเยี่ยมพี่สะใภ้ แต่ไม่ยอมบอกท่านแม่ให้ทราบ หากมิใช่เช่นนี้ พวกเราคงเดินทางไปด้วยกันกับท่านอาอี้ มิต้องตากแดดอยู่ตรงนี้แล้ว”
ดวงตาของเด็กหนุ่มฉายแววจนปัญญาจางๆ แต่ก็เก็บซ่อนไปอย่างรวดเร็วแล้วตอบว่า “แต่เจ้าบอกว่าท่านแม่ไม่ยอมปล่อยเจ้าไปโซ่วชุน แต่เดิมข้าต้องการจะเดินทางไปพบพี่ใหญ่ที่จงหลีเพื่อติดตามเขาเข้าร่วมกองทัพสังหารศัตรู หากมิใช่ว่าเจ้ารั้นจะตามข้ามาให้ได้ ข้าก็ออกเดินทางอย่างสง่าผ่าเผย มิต้องแอบจ้างเรืออยู่ตรงนี้”
ดวงหน้างามของดรุณีน้อยนางนั้นแดงก่ำ ตัวนางเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ผู้นุ่มนวลอ่อนหวาน แม้จะเคยเพ้อฝันถึงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ด้านนอก แต่ก็มิมีความกล้าจะเดินทางออกจากบ้าน หากมิใช่ว่าพี่รองคนนี้คอยเหน็บแนมและลอบยุยง ตนไฉนเลยจะมีความกล้าตามเขาออกมาจากบ้าน แล้วยังปิดบังท่านแม่อีก
พอนางคิดถึงตรงนี้ก็อยากจะด่าคนสักยก แต่นางดันเป็นคนนุ่มนวล มิคุ้นชินกับการด่าทอผู้อื่นเป็นที่สุด ถึงตอนนี้โมโหก็มิรู้จะพูดออกมาอย่างไร
เวลานี้เอง จู่ๆ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ชี้ผิวแม่น้ำแล้วบอกว่า “ดีเหลือเกิน เรือมาแล้ว”
ดรุณีน้อยได้ยินก็ดีใจยิ่งนัก ลุกขึ้นมามองไปบนแม่น้ำ เรือโดยสารขนาดเล็กลำหนึ่งแหวกคลื่นเข้ามา มินานก็จอดลงริมฝั่ง เด็กหนุ่มผู้นั้นถามคนเรือวัยกลางคนที่อยู่ตรงหัวเรือว่า “ลุงกู้ เหตุใดท่านเพิ่งมาเล่า”
คนเรือวัยกลางคนผู้นั้นตอบว่า “คุณชายลู่ วันนี้จู่ๆ เจ้าสามก็ปวดท้องจนออกเรือมิไหว ผู้น้อยคนเดียวแล่นเรือมิได้ จึงได้แต่เรียกหลานชายคนหนึ่งมาช่วยอย่างกะทันหัน ด้วยเหตุนี้จึงมาสาย ขอคุณชายโปรดอภัยด้วย”
เด็กหนุ่มสีหน้าอ่อนลง เอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พี่สามมิเป็นอันใดใช่หรือไม่”
คนเรือวัยกลางคนหัวเราะ “มิเป็นอันใด คิดว่าคงกินของสกปรกอันใดเข้าไป เชิญคุณชายขึ้นเรือเถิด”
เด็กหนุ่มเหลือบมองท้ายเรือแวบหนึ่ง ชายหนุ่มที่คุมเรือผู้นั้นผิวสีทองแดง รูปร่างกำยำ หน้าตาดูเป็นคนซื่อ เสร็จแล้วถึงหันกลับมาบอกว่า “เหมยเอ๋อร์ ขึ้นเรือเถิด”
ดรุณีน้อยอาภรณ์เขียวผู้นั้นได้ยินก็ตอบว่า “รู้แล้ว”
กล่าวจบก็เดินเข้ามา แม้นางอายุยังน้อย แต่กลับงดงามยิ่งนัก คนเรือวัยกลางคนผู้นั้นแม้เห็นโลกมามากแต่ก็ลอบชื่นชมในใจอย่างอดไม่ได้ เขาพาดไม้กระดานให้พี่น้องสองคนขึ้นเรือ ทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาวมิมีผู้ใดสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มที่ก้มหัวน้อยๆ คุมท้ายเรืออยู่คนนั้นเก็บซ่อนประกายวาบวับในดวงตาไป
พอขึ้นเรือมาแล้ว เรือลำน้อยก็แล่นทวนกระแสน้ำ ดวงตะวันเจิดจ้าดั่งเปลวเพลิง สายลมเหนือแม่น้ำพัดพาไอร้อนมาราวกับจะรมคนให้สุก คนเรือทั้งสองบังคับเรือน้อยแล่นไปได้สิบกว่าลี้ก็เลี้ยวเข้าไปยังลำน้ำสายหนึ่ง
ลำน้ำสายนี้ผิวน้ำกว้าง มีลมพัดมาจากทั่วทุกสารทิศ หน้าผาสองฝั่งต้นหลิวสีเขียวทอดตัวเป็นร่มเงา กิ่งใบที่บดบังท้องนภาและสะท้อนอยู่บนผืนน้ำแผ่ปกคลุมทำให้เย็นสบาย เป็นจุดที่ดีที่สุดในการแวะพักของเรือที่เดินทางผ่านไปมาในหน้าร้อน
ยามนี้ในแม่น้ำมีเรือโดยสารและเรือสินค้าน้อยใหญ่อยู่สิบกว่าลำ ในหมู่เรือเหล่านั้นมีเรืออันงดงามอยู่ลำหนึ่ง ตัวเรือทำจากไม้ดำเขียนสีทอง ลำเรือเพรียวยาวงดงามดุจเรือนกายแบบบางของหญิงสาวเจียงหนาน บนหัวเรือแขวนโคมไฟแบบในวังอยู่สองสามดวง แม้ตอนนี้จะมิได้จุด แต่ตัวอักษรตัวใหญ่ที่ตวัดชดช้อยบนโคมก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัด ดรุณีน้อยมองแล้วอ่านออกเสียงเบาๆ “เรือหรูเมิ่ง” บนใบหน้าเผยสีหน้าอิจฉา เอ่ยว่า “พี่รอง เรืองามนักเชียว หากได้ขึ้นไปดูก็คงดี”
เด็กหนุ่มด้านข้างได้ยิน มุมปากก็เผยรอยยิ้มจืดเจื่อน เขาไม่เหมือนน้องสาวผู้มิก้าวล่วงประตูใหญ่ มิย่างกรายประตูชั้นใน ยามปกติเขาเที่ยวเล่นจนทั่วทั้งในและนอกเจี้ยนเย่ เขาย่อมทราบเรื่องราวของเรือหรูเมิ่ง
เขาลำบากใจครู่หนึ่งก็บอกว่า “เหมยเอ๋อร์ นั่นไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรไป”
ดวงตาของดรุณีน้อยฉายแววประหลาดใจ นางหันไปมองพี่รองแล้วถามว่า “พี่รองมิได้หลอกข้ากระมัง”
สีหน้าบนใบหน้าเต็มไปด้วยความคลางแคลง เด็กหนุ่มอยากแก้ตัวว่าตนมิเคยเป็นคนหลอกลวง แต่กลับพูดไม่ออก คำพูดที่ตนเคยพูดกับน้องสาวก่อนหน้านี้ในสิบประโยคมักจะมีเก้าประโยคเป็นคำโกหก จึงได้แต่บอกอย่างขัดเขิน “เหมยเอ๋อร์ นั่นคือเรือของหรูเมิ่ง ยอดบุปผาอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน”
ดรุณีน้อยนางนั้นแม้จะอายุยังน้อยแต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของหลิ่วหรูเมิ่ง แม้จะยังมิเข้าใจเรื่องรักใคร่ แต่ก็ทราบความหมายในนั้นอยู่เลือนราง ใบหน้าจึงแดงระเรื่ออย่างห้ามมิได้ ขณะที่คิดจะหลบเข้าไปในประทุนเรือ ทันใดนั้นเสียงขลุ่ยไพเราะเศร้าสร้อยก็ดังออกมาจากเรืองดงามลำนั้น ท่วงทำนองตราตรึงนั่นดั่งสายน้ำเย็นฉ่ำไหลเข้ามาในหัวใจของผู้คน ดวงตะวันคิมหันต์อันร้อนระอุคล้ายจะสูญเสียฤทธิ์เดช ต่อจากนั้นเสียงเพลงคล้ายเสียงสวรรค์ก็ดังออกมาจากลำเรือ
“ถึงยามปทุมแย้มชวนสหาย เที่ยวกรีดกรายป่ายดอกจอกขึ้นนาวา ริ้วหมอกเมฆละล่องตามเรือมา ฝั่งธาราจันทราเด่นเหนือหองาม บุปผาไร้ถ้อยคำ สายน้ำเพียงรินไหล ปีแล้วปีเล่าทิ้งผกาใจอาลัย หากวันพรุ่งลมประจิมพัดไหว ลินจงคงปราชัยมิสู้หนาว[2]”
ดรุณีน้อยฟังอย่างเพลิดเพลินแล้วกล่าวกับเด็กหนุ่มว่า “เสียงเพลงไพเราะนัก เสียงขลุ่ยก็สะเทือนอารมณ์ยิ่ง พี่รอง วันนี้หายากที่มีโอกาสดีเช่นนี้ ให้ข้าไปยลโฉมแม่นางหลิ่วสักหน่อยดีหรือไม่” กล่าวจบ ดวงตาก็ทอประกายคาดหวัง
ดวงตาของเด็กหนุ่มเผยความลังเล ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กสาวตัวน้อย หัวใจก็อ่อนยวบ ในที่สุดก็ถอนหายใจตอบว่า “ก็ได้ แม่นางหลิ่วชื่อเสียงเลื่องลือทั่วเจียงหนาน ต่อให้เจ้าพบหน้านางสักหน ท่านพ่อทราบเรื่องก็คงมิตำหนิมากเกินไปนัก” กล่าวจบก็ให้คนเรือวัยกลางคนผู้นั้นแล่นเรือไปเทียบกับเรือลำงาม
มินานเรือน้อยก็ขนาบข้างเรืองาม หญิงแจวเรือหน้าตาเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งบนเรือเห็นเรือลำน้อยก็เอ่ยเสียงใสว่า “คุณชายน้อยท่านนี้ ท่านมีธุระประการใดหรือ”
เด็กหนุ่มผู้นั้นถอนหายใจ เหลือบมองแววตาอ้อนวอนในดวงตาของน้องสาวแล้วตอบว่า “โปรดบอกแม่นางหลิ่ว ลู่เฟิง ลู่เหมยผ่านทางที่แห่งนี้ ได้ยินเสียงดั่งเทพธิดาของแม่นางจึงอยากขึ้นเรือพบหน้าสักหน” ขณะที่กล่าวก็ส่งถุงเงินให้ ในใจก็มิทราบว่าเงินพอหรือไม่
หญิงแจวเรือผู้นั้นหัวเราะดังพรืด เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายน้อย ท่านอายุเท่านี้ อย่าล้อเล่นดีกว่ากระมัง อีกอย่างแม่นางของพวกข้ากำลังพักผ่อนอยู่ตรงนี้เท่านั้น มิตั้งใจจะต้อนรับแขก”
เด็กหนุ่มหน้าแดง หันไปมองน้องสาวแวบหนึ่งก็เอ่ยตอบว่า “มิกล้าปิดบัง ความจริงแล้วน้องสาวของข้าได้ยินเสียงขลุ่ยและเสียงเพลงจนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม ด้วยเหตุนี้จึงต้องการพบหน้าแม่นางหลิ่วสักหน”
หญิงแจวเรือผู้นั้นยิ้มน้อยๆ หันไปมองลู่เหมย แววตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วเดินไปพูดแผ่วเบาสองสามประโยคตรงประตูลำเรือ ไม่นานก็กลับมาแจ้ง “แม่นางของข้าบอกว่าในเมื่อเป็นสหายผู้เข้าใจเสียงเพลงก็ขอเชิญขึ้นเรือมาพักสักครู่”
เด็กหนุ่มนามลู่เฟิงโล่งใจ กำชับคนเรือเสียงเบาสองสามประโยคก็พาลู่เหมยขึ้นไปบนเรืองดงามลำนั้น หญิงรับใช้หน้าตางดงามนางหนึ่งเดินออกมาจากตัวเรือ นางเลิกม่านมุกเปิด ทั้งสองคนเดินเข้าไป ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสายลมเย็นฉ่ำสายหนึ่งที่พัดมาปะทะใบหน้า
ลู่เฟิงเพ่งสายตามองก็เห็นว่าในลำเรือกว้างขวางยิ่งนัก เครื่องเรือนเรียบง่ายแต่หรูหรา ด้านในมีเตียงหวายอยู่หลังหนึ่ง บนนั้นวางโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวน้อยหนึ่งตัว บนโต๊ะมีถาดสีเงินวางอยู่ ภายในถาดคือแตงโมแช่น้ำแข็งเย็นฉ่ำ ในตัวเรือตั้งถาดน้ำแข็งไว้ มิน่าจึงเย็นฉ่ำยิ่งนัก
หญิงสาวนางหนึ่งเอนตัวอยู่เหนือโต๊ะ เรือนกายสวมอาภรณ์สีขาวมิปักลวดลายแม้แต่น้อย เส้นผมดำดั่งหมึกทิ้งตัวอยู่ด้านหน้า แม้วาดคิ้วเพียงเบาบางแต่กลับดูมีเสน่ห์งดงามไปอีกแบบ ภายในตัวเรือยังมีบุรุษอาภรณ์เขียวอีกหนึ่งคนยืนอยู่ริมหน้าต่างจ้องมองม่านใบหลิวริมฝั่งผ่านม่านมุก อาภรณ์สีเขียวระพื้น ตรงเอวห้อยขลุ่ยไม้ไผ่ ท่วงท่ากิริยาแลดูเย็นชาสูงสง่า
ลู่เหมยมิสนใจสำรวจการตกแต่งด้านในตัวเรือ นางก้าวสองสามก้าวก็เดินมาถึงหน้าเตียงหวาย เอ่ยขึ้นมาอย่างมีความสุข “ท่านคือพี่หลิ่วหรือ ท่านขับขานบทเพลงได้ไพเราะจริงๆ!”
หลิ่วหรูเมิ่งแต่เดิมไม่มีอารมณ์จะพบแขก แต่เมื่อครู่ซ่งอวี๋อาจารย์สอนพิณส่งสัญญาณให้นางพบทั้งสองคนนี้สักหน่อย ดังนั้นนางจึงเชิญพี่น้องตระกูลลู่ขึ้นเรือมา ทว่าเมื่อเห็นลู่เหมยชื่นชมอย่างชอบอกชอบใจและไร้เล่ห์กลเช่นนี้ หัวใจก็หวั่นไหวอย่างห้ามมิได้ ยิ้มจางๆ ตอบว่า “หรูเมิ่งแต่เดิมก็อาศัยสิ่งเหล่านี้หาเลี้ยงชีพ คำพูดนี้คุณหนูชื่นชมเกินไปแล้ว”
กล่าวจบก็เอื้อมมือขาวผ่องเรียวงามมาจับจูงลู่เหมยให้นั่งลงข้างกาย ดวงตาดุจระลอกคลื่นยามสารทขยับกวาดสายตามองสำรวจดรุณีน้อยผู้นี้ตั้งแต่หัวจดเท้าจนชัดเจน นางรู้สึกว่าดรุณีน้อยผู้นี้หน้าตางามแฉล้ม แม้อายุยังน้อยแต่ก็เป็นคนงามตัวน้อยแต่กำเนิด หากเติบโตขึ้นจนอายุสิบสามสิบสี่ปีจะต้องงามเป็นเลิศอย่างแน่นอน
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหรูเมิ่งหวั่นไหวยิ่งกว่าก็คือความไร้เดียงสาไม่มีการปรุงแต่งของเด็กสาวนางนี้ แล้วยังมีความสง่างามเฉลียวฉลาดที่เหมือนจะซึมออกมาจากระดูกอีก มองปราดเดียวก็ทราบว่ามิใช่บุตรสาวของตระกูลธรรมดาทั่วไป
[1]ติงไฮ่ ปีกุน ปีที่ 24 ตามรอบ 60 ปีของแผนภูมิฟ้า
[2]จากบทกวี ‘ภุมรินทร์หลงบุปผา (蝶恋花)’ ของ เยี่ยนจีเต้า (晏几道)