ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 81 สองฟากสมุทรเวิ้งว้าง (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เห็นจิงซิ่นอารมณ์ดี ในใจของฮั่วฉงกลับเศร้าใจขึ้นมาเลือนราง แม้อยู่ผู่ถั่วสามปีเขาจะสร้างความดีความชอบมากมาย แต่นี่มิได้หมายความว่าสิ่งที่จิงซิ่นกล่าวมิใช่ความจริง ความจริงแล้วด้วยสติปัญญาของฮั่วฉง เขาย่อมตระหนักได้นานแล้วว่าในหมู่ราชองครักษ์หู่จีมีคนลอบเฝ้าจับตามองตนเองอยู่ ถึงขั้นที่ในแววตาของเจียงไห่เทาเองก็เคยมีแววตาคลางแคลงเฝ้าระวังอยู่เล็กน้อยเหมือนกัน

เขาเข้าใจมานานแล้ว อาจารย์ขังตนเองไว้ที่ผู่ถัว เพียงสิ่งที่คุมขังตนคือทะเลสีครามอันเวิ้งว้าง มิใช่คมหอกคมดาบก็เท่านั้น หากมิใช่เช่นนั้น สถานการณ์ตอนนี้ที่แม้จะมีกองเรือติ้งไห่ขวางเส้นทางอยู่ แต่ยังมีเรือสินค้าของพ่อค้าล่องไปมาคึกคัก ไหนเลยจะหาโอกาสให้ตนเองหวนกลับต้ายงมิได้

หรือว่าท่านอาจารย์จะรู้อะไรบางอย่างแล้ว ฮั่วฉงเคยเคิดเช่นนี้ จนถึงขนาดเคยเกิดความคิดอยากจะทำลายตนเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากตนเองจงใจก่อเรื่องอะไรสักอย่าง อาจารย์ก็คงสั่งการผ่านกระดาษแผ่นเดียวให้ปลิดชีวิตตนเสีย ตนจะได้มิต้องทรมานใจอีกต่อไป ทว่าจดหมายที่ส่งมาหาไม่ขาดหลังจากนั้นกลับทำให้เขาเกิดความละอาย

น่าจะเป็นเพราะเส้นทางมีอุปสรรคขัดขวาง บางครั้งสิบวันครึ่งเดือนมิได้รับจดหมายสักฉบับ แต่บางครั้งก็ได้รับจดหมายคราวเดียวหลายฉบับ ในจดหมายบางฉบับอธิบายข้อสงสัยที่ตนเองเอ่ยถึงในจดหมายตอบกลับ ในจดหมายบางฉบับสั่งสอนกลศึกให้แก่ตน ความหวังดีอันล้ำลึกที่แฝงอยู่ในจดหมายทุกฉบับยิ่งทำให้ในใจของฮั่วฉงว้าวุ่นและละอายใจ

แม้ในจดหมายของอาจารย์จะมิได้ชี้แจงว่าเหตุใดจึงให้ตนรั้งอยู่ที่ติ้งไห่ ทั้งยังให้เจียงไห่เทาแต่งตั้งตนเป็นนายอำเภอของผู่ถัว ให้เขาได้ดำรงตำแหน่งขุนนางท้องถิ่นตำแหน่งหนึ่งอย่างจริงๆ จังๆ ถึงคนที่เขาปกครองดูแลจะมิใช่ชาวบ้านทั่วไปแต่เป็นเชลยจากอู๋เย่ว์ แต่ภาระงานก็หนักหนายิ่งนัก

หลังจากเป็นนายอำเภออย่างรอบคอบมาสามปี ได้ซาบซึ้งถึงความยากลำบากในการปกครองคน ใจฮั่วฉงก็เข้าใจความตั้งใจของเจียงเจ๋อ แต่มิว่าอย่างไรเขาก็ยังลืมเรื่องที่เจียงเจ๋อทอดทิ้งตนเองไว้ที่ติ้งไห่ ทั้งยังส่งคนมาลอบเฝ้าจับตาดูมิได้

เขาเหล่สายตามองจิงซิ่น ในใจลอบหัวเราะขมขื่น แม้ตระกูลจิงจะยังมีฐานะเป็นเชลย แต่ก็ได้รับผิดชอบงานปกครองภายในผู่ถัวมากมาย เจ้าตระกูลเฒ่าของตระกูลจิงขึ้นเรือสินค้าของตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่นเดินทางไปพักรักษาตัวที่ฉางอันแล้ว เมื่อใดปราบหนานฉู่สำเร็จ เชลยผู่ถัวที่ได้หวนกลับอู๋เย่ว์เหล่านี้ย่อมถูกเลือกใช้งานก่อนอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าเส้นทางในอนาคตกว้างไกลมิอาจประมาณ ส่วนตนเอง แม้ตอนนี้มีอำนาจกุมความเป็นความตายของพวกเขา แต่มิรู้ว่าจุดจบจะเป็นเช่นไร

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฮั่วฉงก็สงบจิตใจได้แล้วกล่าวกับจิงซิ่นว่า “ข้าได้รับบัญชาให้เดินทางไปพบอาจารย์ ดังนั้นตำแหน่งนายอำเภอนี้จึงคิดว่าจะยกให้พี่จิงรับช่วงต่อ มิทราบว่าพี่จิงคิดเห็นเช่นไร”

จิงซิ่นตอนแรกตกตะลึง แต่จากนั้นก็สงบใจได้ ที่ผ่านมางานในด้านปกครองของผู่ถัวล้วนปล่อยให้คนที่ถูกจับเป็นเชลยดูแลกันเองมาตลอด แต่ตำแหน่งนายอำเภอมีฮั่วฉงรับหน้าที่พร้อมกับคอยคุมกำลังทหารเพียงกองเดียวบนเกาะที่ไว้ใช้ปราบการต่อต้าน ยามนี้ฮั่วฉงจะจากไปแล้ว ตำแหน่งนี้ย่อมต้องมีคนรับช่วงต่อ

แม้ตนเป็นคนฉู่ แต่หลายปีมานี้ก็คอยช่วยเหลือฮั่วฉงมาตลอด ทั้งยังนับได้ว่าทำงานดีอย่างยิ่ง เมื่อรวมกับเรื่องของอาเขย ต่อให้ตนยังอยากภักดีกับหนานฉู่ก็น่ากลัวว่าคงมิมีผู้ใดเชื่อแล้ว เขาขบคิดอยู่นานในที่สุดก็ตอบว่า “ช่างเถิด ข้าไยต้องหลอกตนเองต่อไปอีก ตำแหน่งนายอำเภอนี้ข้าจะรับช่วงต่อเอง”

ฮั่วฉงยิ้มละไม ทราบว่าในที่สุดเวลาสามปีก็ทำให้บัณฑิตอู๋เย่ว์บนเกาะเริ่มโอนอ่อนยอมจำนนแล้ว จิงซิ่นแต่เดิมก็เป็นแกนนำของพวกเขา มีเขารับช่วงต่อตำแหน่งนายอำเภอย่อมปลอบโยนชาวบ้านที่ถูกบังคับพาตัวมาบนเกาะได้ พอคิดว่าคำสั่งที่อาจารย์มอบหมายให้ตนสำเร็จลุล่วงแล้ว ต่อให้หนทางเบื้องหน้ายังเวิ้งว้าง เขาก็รู้สึกว่าในหัวใจมีความสุขเหลือประมาณ

ฮั่วฉงขึ้นเรือล่องสมุทรออกจากผู่ถัวแล้วปล่อยวางเรื่องในใจ นายเรือของเรือล่องสมุทรลำนี้เป็นมิตรที่ดีของเขามาตลอด เมื่อเห็นฮั่วฉงยืนมองผู่ถัวอยู่ท้ายเรือคล้ายอาลัยอาวรณ์ยิ่งนักก็ก้าวเข้ามายิ้มบอกว่า “ที่ปรึกษาฮั่วไยต้องเศร้าเสียใจเช่นนี้ หนนี้ฉู่โหวเรียกท่านเดินทางไปพบย่อมต้องมีหน้าที่สำคัญมอบหมายให้ พวกเราฝั่งนี้มีแต่การต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ พอไปถึงฝั่งนั้นจึงจะได้จับอาวุธขึ้นอาชาออกรบให้สาแก่ใจ”

ฮั่วฉงฝืนยิ้ม ตอบว่า “อยู่บนทะเลมาสามปีจึงตัดใจมิลงอยู่เล็กน้อยเท่านั้น มิแปลกที่ท่านอาจารย์มักจะคิดถึงตงไห่มิลืมเลือน”

นายเรือผู้นั้นมิทราบเรื่องในใจของฮั่วฉง เขาสรรหาเรื่องน่าสนุกมาคุยกับเขา แม้ปากของฮั่วฉงจะเอ่ยโต้ตอบ แต่ใจกลับลอยไปไกลพันลี้

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ฮั่วฉงก็กลับมาถึงติ้งไห่ ติ้งไห่ยามนี้มิได้มีสภาพปรักหักพังดังเช่นเมื่อสามปีก่อนอีกแล้ว ค่ายทหารบนเกาะใหญ่โตเคร่งขรึม ทุกหนทุกแห่งล้วนเห็นคันนาแนวตั้งแนวนอนพาดขวางไปมา ภายในค่ายช่างฝีมือด้านหลังเกาะมีเสียงติงตังดังออกมาทั้งวันมิขาด ภายในอู่ต่อเรือก็มีช่างฝีมือของอู๋เย่ว์ซ่อมแซมเรือร่วมกับช่างฝีมือของตงไห่ หากยอมสวามิภักดิ์ก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างดี หากต่อต้านก็จะถูกประหาร ชาวอู๋เย่ว์ที่ถูกจับเป็นเชลยจำนวนมากกว่าครึ่งยอมรับการปกครองของกองทัพต้ายงแล้ว แน่นอนว่าแม้เชลยชาวอู๋เย่ว์ที่ยอมวามิภักดิ์จะมีจำนวนมาก แต่คนที่จะเข้ามาในติ้งไห่ได้ก็ล้วนเป็นคนที่เลือกสรรมาอย่างพิถีพิถันแล้วเพื่อมิให้พวกเขาฉวยโอกาสก่อความวุ่นวาย

ภาพแห่งความรุ่งเรืองทั้งหมดนี้ล้วนมีหยาดเหงื่อของตนเองแทรกอยู่ด้านใน ในใจฮั่วฉงเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ ก้าวเดินไปยังกระโจมหลังใหญ่ใจกลางค่ายทัพ ด้านหลังของเขามีราชองครักษ์หู่จีสี่คนคอยติดตาม

ยามนั้นหลังจากเจียงเจ๋อเดินทางออกจากอู๋เย่ว์ ราชองครักษ์หู่จีเหล่านี้ก็ถูกทิ้งอยู่ที่ติ้งไห่เกือบทั้งหมด ต่อมาเกิดสงครามยืดเยื้อ คนเหล่านี้ครึ่งหนึ่งมีโอกาสเดินทางไปแนวหน้าระหว่างต้ายงกับหนานฉู่เพื่ออารักขาเจียงเจ๋อ ส่วนคนที่เหลือล้วนถูกเจียงเจ๋อบังคับให้อยู่ข้างตัวฮั่วฉง แต่ฮั่วฉงย่อมรู้ตัวดีว่าตนเองไม่มีฐานะและความจำเป็นต้องใช้การคุ้มกันของราชองครักษ์หู่จี สุดท้ายจิ้งไห่กงจึงเป็นคนกลางให้สองฝ่ายประนีประนอม นอกจากราชองครักษ์หู่จีสี่คนที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างกายฮั่วฉงตลอดเวลา ราชองครักษ์หู่จีที่เหลือล้วนติดตามกองเรือตงไห่ขึ้นฝั่งกวาดปล้นอู๋เย่ว์เพื่อมิให้คมดาบของพวกเขาทื่อเสียหมด

ผลลัพธ์เช่นนี้กลับน่ายินดียิ่งนัก เมื่อมีราชองครักษ์หู่จีผู้วรยุทธ์สูงส่งเหล่านี้เข้าร่วม การรับมือยอดฝีมือจากยุทธภพที่อยู่ในกองกำลังอาสาอู๋เย่ว์ก็มั่นใจได้เพิ่มขึ้นมาก ส่วนฮั่วฉงเองก็มิต้องรู้สึกว่านั่งอยู่บนพรมเข็ม มิต้องพูดถึงว่าในหมู่ราชองครักษ์หู่จีเหล่านี้มีคนที่ได้รับคำสั่งจากเจียงเจ๋อให้จับตาดูตนอยู่ ต่อให้ไม่มี เขาเด็กหนุ่มผู้ยังมิทันเป็นขุนนางอย่างเป็นทางการคนหนึ่ง จะกล้าใช้งานราชองครักษ์มากฝีมือของราชวงศ์มาเป็นผู้คุ้มกันได้อย่างไรเล่า

ภายในกระโจมหลังใหญ่ใจกลางค่าย เจียงไห่เทาทราบว่าฮั่วฉงกำลังจะมาถึงก็ค่อนข้างดีใจอยู่เหมือนกัน สามปีที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคนนี้ช่วยเหลือตนมาไม่น้อย เพียงแต่เจียงเจ๋อสั่งให้ราชองครักษ์หู่จีลอบส่งสารมาบอกตนว่าให้จับตาดูพฤติกรรมของฮั่วฉงเอาไว้จนทำให้ตนเกิดความแคลงใจ ตอนแรกยังคิดว่าเป็นเพราะท่านอาจารย์ต้องการทดสอบลูกศิษย์เท่านั้น แต่ต่อมาตนกลับได้รับสารบอกให้กักตัวฮั่วฉงไว้ที่ผู่ถัว

แม้ได้รับมอบหมายงานสำคัญ แต่การผูกรั้งคนไว้บนเกาะมิให้หวนกลับแดนเหนือ ต่อให้เจียงไห่เทาเป็นคนซื่อก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในอยู่แน่ ทว่าเขาตัดใจถามมากมิลง อย่างไรเสียฮั่วฉงก็เป็นคนที่เขาชื่นชมอย่างยิ่ง พอคิดว่าอีกไม่นานฮั่วฉงจะกลับไปอยู่ข้างตัวเจียงเจ๋อ เจียงเจ๋อคงเปลี่ยนใจแล้ว ในใจเขาก็ยินดีปรีดา มิแพ้สมัยรัชศกหลงเซิ่งปีที่เก้ายามได้รับราชโองการจากจักรพรรดิเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นกง

ฮั่วฉงเดินเข้ามาในกระโจม หลังจากคารวะเจียงไห่เทาแล้ว เจียงไห่เทาก็ส่งสารฉบับหนึ่งให้ฮั่วฉงแล้วบอกว่า “หากเรือล่องสมุทรของกองทัพเราล่องขึ้นเหนือคงยากจะหลีกเลี่ยงการขัดขวางของหนิงไห่ แต่พอดีมีเรือล่องสมุทรของตระกูลเย่ว์จากหนานหมิ่นจะขึ้นเหนือไปยังเกาลี่พอดี นี่เป็นหนังสือแสดงตัวตนของเจ้า น่าจะเดินทางขึ้นเหนือได้อย่างปลอดภัยมิเป็นปัญหา”

ฮั่วฉงย่อมทราบว่าหลายปีมานี้แม้สองกองทัพจะทำศึกกันบ่อยครั้ง แต่ตระกูลใหญ่มากมายในอู๋เย่ว์กลับสมคบกับแม่ทัพในค่ายทหารหนิงไห่ลักลอบเดินเรือทำการค้า เพราะกิจการเดินเรือตระกูลไห่กับตระกูลเย่ว์ที่ลักลอบเดินเรือค้าขายล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลเจียง ดังนั้นจิ้งไห่จึงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งให้ด้วย ทั้งยังได้กำไรระหว่างทางมาไม่น้อย

แน่นอนว่าสำหรับเจียงไห่เทาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการได้รับเสบียงและยุทโธปกรณ์ที่ขาดแคลนจากการค้าขายเช่นนี้ สิ่งนี้สำคัญกับกองเรือตงไห่ที่ถูกค่ายทหารหนิงไห่ตัดขาดเส้นทางกลับอย่างยิ่ง ส่วนการใช้กิจการเดินเรือของทั้งสองตระกูลส่งข่าวสาร และคุ้มครองผู้ส่งสารที่เดินทางไปมา นี่ยิ่งเป็นข้อดีที่มิอาจพรรณนา

ฝ่ายตระกูลใหญ่ที่มาร่วมลักลอบเดินเรือค้าขายด้วยเหล่านั้น กำไรมหาศาลที่ได้จากการค้าขายเพียงพอทำให้พวกเขามองข้ามว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการจุนเจือศัตรู หากมิใช่เพราะตระกูลใหญ่เหล่านี้ลอบสนับสนุนกองกำลังอาสาของอู๋เย่ว์อย่างเต็มกำลังเพื่อรักษาตำแหน่งที่เท่าเทียมในการร่วมมือกันไว้ ก็คงมีคนลงมือกับพวกเขาไปนานแล้ว

หลังจากส่งมอบงานจำนวนหนึ่งเสร็จ เจียงไห่เทาก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ยังมีเรื่องหนึ่งทำให้ข้าลำบากใจ ขอเจ้าโปรดบอกต่อกับท่านอาจารย์ด้วยว่าครึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ เมืองชายฝั่งทะเลจำนวนมากของอู๋เย่ว์เชิญยอดคนมาคนหนึ่ง เขาขุดอุโมงค์ในตัวเมืองหลบกองทัพของข้า ข้าเคยซื้อตัวคนในจำนวนหนึ่ง จนได้ทราบว่าอุโมงค์เหล่านั้นเป็นเสมือนใยแมงมุม หากมิมีคนนำทาง แปดเก้าในสิบส่วนล้วนจะเดินผิดทาง ถูกกลไกและหมอกพิษนับไม่ถ้วนที่ซ่อนไว้ทำร้าย กองทัพข้ายังมิทันเข้าไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านในหมู่บ้านก็หลบเข้าไปในอุโมงค์แล้ว แม้แต่เสบียงกับเงินทองก็ซ่อนเอาไว้ด้านในให้กองทัพข้าเสียแรงเปล่า”

ฮั่วฉงไม่รับรู้ข่าวสงครามมาสักระยะหนึ่งแล้ว พอได้ยินก็แปลกใจยิ่งนัก ถามขึ้นว่า “มิทราบว่าผู้ใดเป็นคนออกความคิดนี้ มีเบาะแสอันใดหรือไม่”

เจียงไห่เทายิ้มเจื่อนตอบ “ก็พอมีเบาะแสอยู่บ้าง หลายวันก่อนข้าได้รับข่าว ทราบว่าคนผู้นั้นควบคุมการก่อสร้างป้อมอุโมงค์ใต้ดินอยู่ใกล้ๆ กับเจิ้นไห่ จึงส่งมือดีไปจู่โจมสายฟ้าแลบ หลังจากพวกเขาขึ้นฝั่งก็สังหารกองกำลังอาสาที่ลาดตระเวนอยู่กองหนึ่ง เหลือผู้รอดชีวิตเอาไว้ ให้เขานำทางไปอย่างมิรู้ตัว ผลสุดท้ายก็ได้พบอวิ๋นจื่อซานคนนั้น แต่ข้างกายเขามีองครักษ์ยอดฝีมืออยู่มากมาย แม้ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารกล้าหลายร้อยนายของกองทัพเราก็ยังปล่อยให้คนผู้นี้หนีไปได้

ทหารของข้าขายหน้าไม่เหลือชิ้นดี จากปากคำของเชลยที่จับมาทำให้ทราบว่าคนผู้นี้เป็นสหายรักของติงหมิง มือกระบี่อันดับหนึ่งแห่งอู๋เย่ว์ ตัวตนของเขามิชัดเจน แต่เขาเชี่ยวชาญกลไกและอาวุธลับเป็นที่สุด

หลังจากเจ้าได้พบท่านอาจารย์แล้วก็นำความลำบากของข้าไปรายงานกับเขาด้วย หากไร้วิธีการดีๆ รับมือ เกรงว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป เสบียงและเงินทองที่กองทัพข้าปล้นชิงจากอู๋เย่ว์มาได้คงน้อยลงเรื่อยๆ ตอนนี้เสบียงของกองทัพเรายังมิพอเลี้ยงตนเอง หากมิอาจหาเสบียงประมาณหนึ่งมาจากอู๋เย่ว์คงยุ่งยากมาก”

ฮั่วฉงฟังจบก็จมลงในภวังค์ความคิด ฉากหน้าดูเหมือนอู๋เย่ว์มีตัวปัญหาขึ้นมาคนหนึ่ง แต่เหตุใดในใจเขากลับรู้สึกเลือนรางว่าเรื่องนี้มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล