ฮั่วฉงคิดเรื่องเหล่านี้จนทะลุปรุโปร่งมาก่อนแล้ว เขามิเสียเวลาคิดก็ตอบทันที “เซียงหยางอยู่ในกำมือกองทัพเรา กองทัพหนานฉู่ไม่มีโอกาสขึ้นเหนือบุกจิงเซียง ยกทัพตีหนานหยาง คุกคามด่านกวนจง สวีโจวแข็งแกร่งประหนึ่งปราการเหล็ก กองทัพฝั่งไหวหนานของหนานฉู่ก็ไม่มีโอกาสขึ้นเหนือบุกชิงสวี ดินแดนกว่าครึ่งของสู่จงอยู่ในกำมือของพวกเรา กองทัพหนานฉู่ทำได้เพียงยึดครองปาจวิ้นกับขุยโจวเพื่อปกป้องตนเองเท่านั้น
ยามนี้กองทัพหนานฉู่ได้แต่เป็นฝ่ายตั้งรับป้องกัน ความได้เปรียบอยู่กับฝั่งใดมิจำเป็นต้องถามก็ทราบ เพียงแต่กองทัพหนานฉู่ก็ยังคงปกป้องตนเองได้ อีกทั้งเวลาหลายปีนี้ทหารทั้งหลายก็ได้ลับฝนฝีมือ กำลังรบของกองทัพหนานฉู่เองก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน หากยืดเยื้อต่อไป ฝั่งนี้ลดฝั่งนั้นเพิ่ม มิแน่ว่าความได้เปรียบจะย้ายไปอยู่ในมือหนานฉู่หรือไม่”
ข้าตอบอย่างพอใจ “เจ้ามองจุดนี้ออกก็มิเสียเวลาเปล่าแล้วจริงๆ มิผิด ยามนี้หนานฉู่คล้ายอันตรายแต่ความจริงกลับมั่นคง ส่วนกองทัพเราแม้จะครองความได้เปรียบ ภายนอกเหมือนแข็งแกร่งทว่าภายในกลวงเปล่า ลู่ช่านมิใช่คนที่บุกอย่างมิใคร่ครวญ สามปีก่อนเขาฉวยโอกาสที่กองทัพเรายังมิทันเพิ่มกำลังเสริมบุกโจมตีฉู่โจวกับซื่อโจวกะทันหัน หากมิใช่ว่ากองทัพเราก่อเภทภัยที่ติ้งไห่ก่อนหน้านั้น น่ากลัวว่าคงถูกเขาฉวยโอกาสชิงสวีโจวที่ขาดกำลังคนไปสำเร็จแล้ว
แม้ข้าจะฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้หลอกใช้ปมในใจของหรงเยวียนแม่ทัพผู้พิทักษ์เมืองเซียงหยางจนยึดเอาเซียงหยาง พลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้ประโยชน์เล็กน้อยสำเร็จ แต่ลู่ช่านกลับได้แสดงปณิธานอันยิ่งใหญ่ออกมา
ยามนี้แม้หนานฉู่เป็นฝั่งที่อ่อนแอกว่า แต่ถูกลู่ช่านฉวยโอกาสก่อศึกสงครามต่อเนื่อง รวบรวมอำนาจทหารในเจียงไหวทั้งหมด ฝึกฝนทหารชั้นยอดที่มิด้อยกว่ากองทัพเราออกมา รอเพียงกองทัพเราเริ่มเผยท่าทีอ่อนล้า เขาก็จะยกพลบุกสายฟ้าแลบ โจมตียามกองทัพเรามิทันป้องกัน ทำให้ความพยายามของต้ายงในการปราบฉู่มลายสิ้น”
ฮั่วฉงฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน ก้มหน้าครุ่นคิดเนิ่นนานแล้วจึงกล่าวว่า “ยามลู่ช่านทำศึก แม้มักจะตั้งรับเป็นหลักอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งยามกองทัพศัตรูหย่อนยาน เขาจะยกพลจู่โจมสายฟ้าแลบยึดเอาเมืองและด่านสำคัญมาได้อยู่เสมอ ตัวอย่างเช่นคราฉวยโอกาสตงชวนวุ่นวายยึดด่านจยาเหมิง หรือคราฉวยโอกาสกองทัพเรากำลังจัดทัพใหม่หลังพ่ายศึก ส่งสือกวนมาตีซู่โจว ส่งหยางซิ่วจู่โจมซื่อโจวเป็นต้น
ยามนี้สองกองทัพสู้ยืดเยื้อกันมาปีกว่า เกรงว่าลู่ช่านคงวางแผนบุกตีฐานที่มั่นสำคัญของกองทัพเราแล้ว เพียงแต่มิทราบว่าเขาเล็งเป้าหมายไว้ที่ใด”
ข้าพยักหน้าน้อยๆ ถอนหายใจกล่าวว่า “ฉงเอ๋อร์ทราบหรือไม่ว่าหากต้องการตีหนานฉู่ให้สำเร็จ โอกาสดีที่สุดก็คือรัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสาม ยามนั้นเป่ยฮั่นเพิ่งพ่ายแพ้ สู่จงยังมิสงบอย่างสมบูรณ์ แต่อ๋องผู้ปรีชาของหนานฉู่เสด็จสู่สวรรค์ เจ้าแผ่นดินโง่เขลาขุนนางเลอะเลือน ราชสำนักแตกแยก ฝ่าบาทเองก็ยกทัพใหญ่ตีเจี้ยนเย่ จับเจ้าแคว้นเป็นเชลย ถอยกลับมาอย่างไร้รอยขีดข่วน
หากยามนั้นต้ายงทุ่มกำลังจัดการในคราเดียว จะต้องมีโอกาสปราบหนานฉู่ในคราเดียวเป็นแน่ แต่น่าเสียดายเวลานั้นศึกชิงบัลลังก์ของราชวงศ์ต้ายงจ่ออยู่ตรงหน้า แม้ฝ่าบาทกุมกองทัพใหญ่อยู่ แต่ก็มิกล้าทุ่มกำลังทั้งหมดตีฉู่ ใจทหารมิรวมเป็นหนึ่งจึงพลาดโอกาสอันดี
รอจนราชสำนักมั่นคง เป่ยฮั่นก็ฟื้นกำลังรบกลับมาแล้ว สงครามทางเหนือเริ่มต้นอีกหน เรื่องน่ากังวลทางฝั่งตงชวนก็ค่อยๆ โผล่พ้นผิวน้ำ ส่วนหนานฉู่อันมีดินแดนกว้างขวางผู้คนมากมายก็สถานการณ์มั่นคงแล้วเช่นกัน หากยกทัพลงใต้ ต้องเป็นศึกที่กินเวลายาวนานแน่นอน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนปราบเป่ยฮั่นให้ได้ก่อนค่อยกำจัดหนานฉู่ รอจนปราบเป่ยฮั่นสลายกำลังของแคว้นเป่ยฮั่นเรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาทก็จำเป็นต้องพักฟื้นฟูกำลังเพราะเสียด่านจยาเหมิงไปอีก
ในช่วงเวลานี้เอง ลู่ช่านก็กลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของกองทัพฝั่งหนานฉู่ แม้ราชสำนักหนานฉู่ทั้งหมดอยู่ใต้การควบคุมของซั่งเหวยจวิน แต่ฝั่งกองทัพกลับมิมีผู้ใดคานอำนาจกับลู่ช่านได้ นี่เป็นการรวมเป็นหนึ่งเดียวที่หาได้ยากในช่วงหลายสิบปีของกองทัพหนานฉู่ พวกเราเสียโอกาสดีที่จะปราบฉู่ไปเสียแล้ว
หากทำตามความคิดข้า รัชศกหลงเซิ่งปีที่เจ็ดมิสมควรยกทัพปราบฝั่งใต้ ต้องทราบว่ายามนั้นซั่งเหวยจวินกับลู่ช่านคนหนึ่งบุ๋นคนหนึ่งบู๊ ควบคุมการปกครองและกองทัพเอาไว้ในมือ หากต้ายงยกทัพรบกับทางใต้ แม้ในใจซั่งเหวยจวินจะมีความคิดชั่วช้า แต่ก็ยังต้องพึ่งพิงลู่ช่านแต่เพียงผู้เดียวอยู่ เมื่อกองทัพม้าเหล็กของต้ายงขยับเข้าประชิดเจียงหนานกลับจะทำให้ทั้งสองคนโยนความบาดหมางทิ้ง ร่วมมือกันต่อกรกับศัตรูข้างนอก
น่าเสียดายฝ่าบาทร้อนพระทัยต้องการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง ในที่สุดจึงตัดสินใจปราบหนานฉู่จนทำให้ลู่ช่านสมประสงค์ ปล่อยให้เขากุมจิตใจทหารของเจียงหนานได้ทั้งหมด
ในเมื่อสงครามบังเกิดขึ้นแล้ว ข้าจึงรับพระบัญชาเดินทางลงใต้ แต่เดิมตั้งใจจะใช้ติ้งไห่ล่ามอู๋เย่ว์ไว้ แล้วค่อยประจันหน้ากับกองทัพหนานฉู่ที่เจียงไหวกับจิงเซียง มิได้คิดจะจุดความขัดแย้งเปิดศึกใหญ่ทันที แต่คิดมิถึงลู่ช่านกลับเป็นฝ่ายบุกจู่โจม แล้วยังใช้ประโยชน์จากศึกที่ยาวนานต่อเนื่องเสริมความแข็งแกร่งให้ฐานะในกองทัพหนานฉู่ของตนเองอีก
เมื่อเห็นภัยสงครามที่เกิดขึ้นมิหยุดหย่อนในเจียงไหวและจิงเซียง ข้าจึงมั่นใจในเจตนาของลู่ช่าน เขามิเพียงต้องการอยู่รอดปลอดภัยในเจียงหนาน แต่มีใจหมายมาดครอบครองจงหยวน แม้ต้ายงมีเจ้าแผ่นดินผู้ทรงธรรมครองราชย์ ทั้งยังมียอดแม่ทัพกับเหล่าทหารกล้าอยู่ เขาจึงรีบร้อนจู่โจมมิได้ แต่ขอเพียงลู่ช่านแย่งชิงประตูทิศเหนือสู่จงหยวนได้สำเร็จ จากนั้นกุมให้มั่นมิยอมถอย รอจนหนานฉู่มีเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาขึ้นครองบัลลังก์บ้างย่อมบุกขึ้นเหนือมายังจงหยวนได้ แม้นั่นอาจเป็นเรื่องในอีกหลายสิบปีให้หลัง แต่ก็มิใช่ความฝันที่มิอาจเป็นไปได้”
ฮั่วฉงฟังจบ ดวงตาก็พลันทอประกายเย็นยะเยือก ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวว่า “ในเมื่อท่านอาจารย์มองทะลุความตั้งใจของลู่ช่านแล้ว คิดว่าก็คงมีแผนการรับมือแล้วเช่นกัน หลายปีนี้ท่านอาจารย์เอาแต่ท่องเที่ยวอยู่กับหมู่ขุนเขาลำน้ำ หรือจะทำเพื่อให้ลู่ช่านเลิกคอยจับตามองการเคลื่อนไหวของอาจารย์อย่างใกล้ชิด”
ข้ายิ้มละไมตอบว่า “สองทัพทำศึก สังหารแม่ทัพชิงธง มิใช่สิ่งที่ข้าถนัด ต่อให้ข้ายืนอยู่หน้ากองทัพก็ทำประโยชน์อันใดมิได้ หากคิดจะจัดการลู่ช่านต้องลงมือในราชสำนักหนานฉู่ แม้ลู่ช่านมีใจทะเยอทะยาน แต่มองสถานการณ์ไม่ขาด ราชสำนักหนานฉู่เน่าเฟะ เจ้าแคว้นจ้าวหล่งเพิ่งจะขึ้นปกครองด้วยตนเองก็ยุ่งอยู่กับการคัดเลือกหญิงงาม สร้างตำหนัก ปรับปรุงพระราชวังเสียแล้ว เหล่านี้ล้วนมิใช่การกระทำของเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา
ส่วนซั่งเหวยจวินก็หวั่นเกรงลู่ช่านมานานแล้ว แต่ติดตรงที่ในมือลู่ช่านมีอำนาจทหาร อีกทั้งเพราะต้ายงจับจ้องมาดร้ายอยู่ ทั้งยังไม่มีข้ออ้างจึงอดกลั้นมิแผลงฤทธิ์เท่านั้น
นับแต่โบราณมา หากในราชสำนักมีเจ้าแผ่นดินโง่เขลากับขุนนางชั่วช้า ยอดแม่ทัพไหนเลยจะมีโอกาสไปสร้างความดีความชอบด้านนอก
ลู่ช่านถูกแคลงใจเช่นนี้ แต่กลับมิอาจใช้มาตรการรุนแรงกำจัดคนเห็นต่างแล้วเข้าคุมราชสำนัก นี่เป็นการก้าวไปสู่ทางตายด้วยตนเอง สิ่งที่ข้าต้องการคือเหตุการณ์สักอย่างหนึ่ง เพียงเท่านั้นก็จะผลักลู่ช่านลงหลุมได้ ไยต้องแลกคมดาบกับเขาในสมรภูมิด้วยเล่า”
ในใจฮั่วฉงความคิดแล่นเร็วไว เพียงพริบตาเดียวก็นึกทบทวนเรื่องราวในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนหมด แม้เขามิล่วงรู้ตัวหมากมากมายที่เจียงเจ๋อวางเอาไว้ ทว่าเรื่องต่างๆ เท่าที่เขารู้ก็ทำให้ในใจเขาหนาวยะเยือกแล้ว เขาลอบมองเจียงเจ๋อแล้วถามว่า “หรงเยวียนก็เป็นอาวุธที่ท่านอาจารย์ส่งไปให้ซั่งเหวยจวินหรือ”
ข้าพยักหน้าตอบว่า “หรงเยวียนเสียเมืองเซียงหยางเท่ากับมีความผิดมหันต์ แต่ราชสำนักหนานฉู่กลับมิลงโทษ เพียงลดตำแหน่งในกองทัพของเขาหนึ่งขั้นแล้วให้เขาบัญชาการทหารสร้างความชอบชดใช้ความผิด แม้ตัวลู่ช่านเองตั้งใจจะปกป้องเขา แต่หากซั่งเหวยจวินมิพยักหน้า ไหนเลยจะเป็นดังนี้
หรงเยวียนคนนี้จิตใจคับแคบ หวั่นเกรงลู่ช่านจะสร้างชื่อเสียงมีความดีความชอบมาตั้งนานแล้ว ลู่ช่านทำพลาด หรงเยวียนเป็นแม่ทัพเก่าในสังกัดเต๋อชินอ๋อง อีกทั้งนิสัยหัวรั้นคิดเล็กคิดน้อย คนเช่นนี้หากมิใช้งานก็จำเป็นต้องกำจัดเสีย มิให้เขาเกิดคิดไม่ดีขึ้นมา
แต่ลู่ช่านทั้งไม่ยินดีใช้งานเขาเพราะมิชอบพฤติกรรมกีดกันคนเห็นต่างของหรงเยวียน แต่ก็ปล่อยให้เขาครองเซียงหยางจนทำให้ในหมู่แม่ทัพสูญเสียความกลมเกลียว ปล่อยให้กองทัพเราฉวยช่องว่างยึดเซียงหยางมาได้ วันนี้หรงเยวียนจำเป็นต้องพึ่งพาซั่งเหวยจวินเพื่อปกป้องตนเองอย่างไร้ทางเลือก ยามใดซั่งเหวยจวินลงมือกับลู่ช่าน หรงเยวียนก็จะเป็นผู้ตวัดดาบ
แต่เพราะความยึดติดในใจ ลู่ช่านกลับมิยอมสังหารคนให้สิ้น ตรงกันข้ามกลับตั้งใจจะชดเชยให้เขาอีก เขาเลือกใช้หรงเยวียนเป็นแม่ทัพคุมกองทัพเจียงหลิง นี่ไฉนมิใช่ทำผิดซ้ำผิดซาก หากมิใช่ว่าข้ารู้จักนิสัยของลู่ช่านตั้งแต่แรก แน่ใจว่าเขามิมีทางโยนหินซ้ำเติมคน ไฉนเลยข้าจะปล่อยหรงเยวียนรอดกลับไป
วันนั้นหรงเยวียนรีบร้อนหนีลงใต้ ข้าให้คนดักซุ่มที่ด่านเฟิงหลิน หากข้ามิได้จงใจเปิดช่องโหว่ไว้ทางหนึ่ง หรงเยวียนมีหรือจะหนีรอด ที่ทำเช่นนี้ก็พราะเหลือหรงเยวียนผู้นี้ไว้ ซั่งเหวยจวินจึงจะมีดาบไว้ต่อกรกับลู่ช่าน”
ฮั่วฉงเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “แม่ทัพลู่ทุ่มเทความคิดทั้งหมดกับเรื่องสงครามจึงละเลยเรื่องในราสำนักอย่างเลี่ยงมิได้ อีกทั้งแม่ทัพลู่เป็นผู้มีคุณธรรม มิชมชอบการแย่งชิงอำนาจ ประจบประแจงเจ้าแผ่นดิน ดังนั้นจึงไร้หนทางได้ใจของนายเหนือหัว ยามอัครมหาเสนาบดีซั่งกุมอำนาจในราชสำนักแทนเจ้าแคว้นยังพอทำเนา เขามิอาจหาเหตุผลส่งเดชมาจัดการแม่ทัพลู่ได้
แต่เมื่อเจ้าแคว้นขึ้นปกครองด้วยตนเอง สถานการณ์ย่อมต่างออกไปแล้ว อสนีบาตจะฟาดใส่หรือพิรุณจะโปรยชโลมล้วนแล้วแต่เมตตาของเจ้าแผ่นดิน ต่อให้เจ้าแคว้นจ้าวหล่งต้องการจะปลดแม่ทัพลู่ออกจากตำแหน่งอย่างไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย แม่ทัพลู่ก็ทำได้แต่รับบัญชาอย่างเงียบๆ แต่เพราะสงครามยังติดพันอยู่ คำสั่งนี้จึงมิอาจออกมาอย่างส่งเดชได้ก็เท่านั้น”
ข้าถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “ยอดแม่ทัพอยู่ในสนามรบ ทุกครั้งยามโอกาสปรากฏย่อมตัดสินใจโดยพลการ นิสัยของลู่ช่านเป็นคนแน่วแน่เด็ดเดี่ยว การจู่โจมด่านจยาเหมิงสายฟ้าแลบ การยกพลบุกไหวตงล้วนเป็นการกระทำที่เขาตัดสินใจเพียงผู้เดียว
ดังนั้นแม้สายลับต้ายงของข้าจะแทรกซึมเข้าไปในราชสำนักหนานฉู่ได้ แต่กลับมิเคยรับรู้สัญญาณของการยกทัพ การกระทำเช่นนี้แต่เดิมก็เป็นสิ่งที่คนเป็นขุนนางหวาดกลัวยิ่งนัก ต่อให้เจ้าแผ่นดินเป็นนายผู้ปรีชาก็ยังถือเป็นการนำภัยมาสู่ตัว นับประสาอะไรกับเมื่อเจ้าแคว้นหนานฉู่มิเข้าข่ายเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา อีกทั้งราชสำนักยังมีซั่งเหวยจวินเป็นผู้กุมอำนาจอีก
หลายวันก่อน พระพันปีหลวงสกุลซั่งแห่งหนานฉู่ตั้งใจจะเลือกลู่เหมยบุตรสาวของลู่ช่านเป็นพระมเหสี แม้จะติดขัดที่ซั่งเหวยจวิน แต่ก็ยังตั้งใจจจะเลือกลู่เหมยเป็นกุ้ยเฟย สำหรับลู่ช่านแล้ว การส่งลู่เหมยเข้าวังไปเป็นพระสนมแต่เดิมเป็นหนทางแก้ไขที่ดีที่สุด เมื่อเกี่ยวดองกับราชวงศ์แล้ว ลู่ช่านย่อมมีโอกาสกุมอำนาจการปกครองของหนานฉู่ ค่อยๆ กำจัดอิทธิพลของตระกูลซั่ง
น่าเสียดายลู่ช่านมิใช่ขุนนางละโมบอำนาจ เขามิยินดีขายบุตรสาวที่รักแลกกับอำนาจลาภยศ ข้าได้ข่าวมาว่าลู่เหมยกำลังเดินทางไปโซ่วชุนภายใต้การคุ้มกันของลู่เฟิงบุตรชายคนรองของลู่ช่าน ระหว่างทางมียอดฝีมือของตำหนักเฉินลอบอารักขา เมื่อเป็นเช่นนี้จ้าวหล่งย่อมไม่พอใจลู่ช่านเป็นแน่ เมื่อเกิดเหตุการณ์พลิกผันอันใดขึ้นมา จ้าวหล่งย่อมมิมีทางคิดปกป้องลู่ช่าน ยิ่งไปกว่านั้น…เฮ้อ!”
ฮั่วฉงดวงตาฉายแววเศร้าโศก เอ่ยต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจทหารแต่เดิมก็เป็นเป้าหมายความแคลงใจของเจ้าแผ่นดินอยู่แล้ว แม่ทัพลู่กุมทหารมากมายไว้ในมือ ทั้งยังมิยินดีประจบราชวงศ์ จ้าวหล่งต้องกังขาความภักดีของเขาแน่
นับแต่โบราณขุนนางมากผลงานและแม่ทัพผู้โด่งดังล้วนยากหลีกเลี่ยงความโชคร้าย แล้วแม่ทัพลู่ยังเป็นคนซื่อตรงเช่นนี้อีก เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเริ่มมั่นคง ตระกูลลู่ต้องพบเภทภัยแน่นอน หากมีคนถ่อยขุนนางชั่วช้าฉวยโอกาสใส่ร้ายซ้ำเติม ต่อให้แม่ทัพลู่ต้องการถอดเกราะกลับไปทำไร่ไถนาก็คงมิมีโอกาส”
ข้ากล่าวขึ้นเรียบๆ “หากสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป เส้นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของลู่ช่านก็คือยกทัพก่อกบฏ แต่ตระกูลลู่จงรักภักดี ใต้หล้าต่างชื่นชม หากเขานำทหารลุกขึ้นก่อกบฏจริง ชื่อเสียงอันใสสะอาดก่อนหน้านี้ย่อมมลายหายหมดสิ้น เจียงหนานจะโกลาหลแน่นอน
ถึงยามนั้นก็จะเป็นโอกาสของกองทัพเรา หากลู่ช่านมิก่อกบฏจนถึงที่สุด เขาย่อมยากจะหนีพ้นมืออันอำมหิตของเจ้าแผ่นดินโง่เขลากับขุนนางชั่ว ถึงยามนั้นเสาหลักของเจียงหนานก็จะล้มครืน ยังจะมีผู้ใดต้านทานกองทัพของพวกเราบุกลงใต้ได้อีกเล่า”
ฮั่วฉงเอ่ยเสียงเบา “แม้จะหวั่นกลัวมาก แต่ในมือแม่ทัพลู่มีทหารมากมาย ทั้งยังทำสงครามดุเดือดกับกองทัพของพวกเราอยู่ ซั่งเหวยจวินคงมิถึงขั้นทำลายกำแพงเมืองของตนเองเช่นนั้นกระมัง”
ดวงตาของข้าฉายแววเศร้าสร้อย “ซั่งเหวยจวินมิใช่คนโง่เขลา เขาย่อมมิบุ่มบ่ามลงมือ หากเขาลงมือ ข้อแรกสงครามต้องสงบแล้ว ข้อสองลู่ช่านมีจุดอ่อนที่ตกอยู่ในกำมือของเขา ทว่าข้าวางแผนการมาสามปีก็เพื่อวันนี้ ยามนี้ทุกสิ่งพรักพร้อมแล้วขาดแต่ลมบูรพา อีกไม่กี่เดือน หนานฉู่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ข้าเรียกเจ้าเดินทางมาก็เพราะมิต้องการให้เจ้าพลาดการเปลี่ยนแปลงที่จะตัดสินชะตาหนานฉู่หนนี้”
หัวใจของฮั่วฉงเจ็บปวดรวดร้าว สามปีก่อนยามอยู่อู๋เย่ว์เขาก็เคยประมือกับลู่ช่านอยู่หลายหน แม้มิเคยพบหน้าแต่ก็สัมผัสความองอาจและนิสัยของคนผู้นี้ได้ เขาเป็นวีรบุรุษแห่งยุคอย่างแท้จริง เมื่อคิดว่าคนผู้นี้กำลังจะตายใต้อุบายร้ายก็หม่นหมองยากจะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อท่านอาจารย์กล่าวว่าขาดแต่ลมบูรพา มิทราบว่าลมบูรพาหมายถึงสิ่งใด”
ดวงตาของข้าวาวโรจน์แล้วตอบว่า “ลมบูรพานี้ก็คือเซียงหยาง เซียงหยางเป็นเมืองที่ลู่ช่านต้องยึดมาให้จงได้ ทว่ายามที่เขาตีเอาเมืองเซียงหยางมาได้ นั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นการหักโค่นของเสาหลักแห่งหนานฉู่”