บทที่ 1051 ความเสี่ยงที่ได้รับ
บทที่ 1051 ความเสี่ยงที่ได้รับ
ไม่คิดเลยว่าเหล่าเฉียนจะใจกล้าถึงเพียงนี้
เขารู้ไหมว่าสมัยนี้หาคนรู้เรื่องสถาปัตยกรรมยากมากแค่ไหนน่ะ?
มันไม่ได้คุย ๆ กันแล้วรู้นะ
แต่แค่นี้ก็ดีแล้วละ ตอนนี้เธอไม่สามารถหาทีมที่เหมาะกว่านี้ได้อีกแล้ว ถ้าเหล่าเฉียนทำได้ก็ให้เขาลองซะ
“แน่ใจใช่ไหมคะว่าจะหาคนรู้วิธีการสร้างได้จริง ๆ? หนูไม่ได้หมายถึงช่างฝีมือรุ่นเก่าที่ปรับปรุงบ้านนะคะ”
มันคือตึก วิธีการก่อสร้างต่างจากบ้านทั่วไป เสี่ยวเถียนไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น
หมัดของเหล่าเฉียนเดี๋ยวกำแน่นเดี๋ยวคลายออก จนสุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยปาก
“ฉันไปลองหาที่มหาวิทยาลัยได้นะ อาจจะมีนักศึกษาที่อยากทำงานช่วยวันหยุดก็ได้ ก่อนหน้านี้ที่หมู่บ้านเรามีอาจารย์สอนสถาปัตยกรรมในมหาวิทยาลัยอยู่เหมือนกัน ฉันพอสนิทกับเขาอยู่บ้าง ถ้ารบกวนให้ช่วยหาคนคงไม่มีปัญหาอะไร”
เขารู้ว่านักศึกษาคือตำแหน่งที่มีหน้ามีตา แต่ที่นั่นก็มีเด็กจากชนบทที่ขาดแคลนเงินเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?
หากมีใครยินดีทำงานกับเราในช่วงวันหยุดและให้คำแนะนำได้ เหล่าเฉียนยินดีจ่ายเงินให้ในราคาสูง
และเชื่อว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ของเราคุยกันได้ มีใครที่ไหนไม่อยากได้เงินกันล่ะ
พวกเราไม่อยากกลับไปทั้งอย่างนี้ ยังมีเวลาเหลืออีกหลายเดือนก่อนถึงสิ้นปี หากตั้งใจทำงานปีใหม่ก็กลับบ้านไปฉลองได้
อันที่จริง มีอีกเรื่องที่เหล่าเฉียนไม่ได้พูดนั่นคือ อาจารย์ท่านนั้นกลับเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังจำเขาได้อีกหรือเปล่า
เพราะกลัวท่านจะจำไม่ได้จึงทำงานอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และไม่ว่างานจะยากลำบากเพียงใดก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือเลยสักครั้ง
แต่ครั้งนี้มันจำเป็นจริง ๆ
เพราะการสร้างตึกไม่ใช่เรื่องจิ๊บจ๊อย
เหล่าเฉียนไม่ได้ทะนงตัวพอที่จะจัดการมันตามลำพังกับกลุ่มพี่น้อง
แล้วถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าพูดอาจทำให้เด็กคนนี้ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจอีก!
ต้องหาคนรู้เรื่องมาให้ได้
ถึงจะมีความรู้น้อยแต่ไม่ได้ไร้สมอง
หากโครงการดำเนินไปได้ด้วยดี ปัญหาในภายภาคหน้าจะได้รับการแก้ไขอย่างแน่นอน เผลอ ๆ อาจมีการพัฒนาที่ดีขึ้นอีกต่างหาก
พวกเราอาจตั้งหลักในเมืองหลวงได้ แต่ต่อให้เป็นงานที่ต่ำต้อยที่สุด เราก็หางานทำได้อย่างแน่นอน!
แล้วถ้าเราสร้างตึกไม่ดี ชื่อเสียงจะต้องโดนทำลายป่นปี้แน่ ๆ ดีไม่ดีขาดทุนย่อยยับอีก
“งั้นหนูจะรอข่าวดีจากลุงเฉียนนะคะ” เสี่ยวเถียนยิ้ม
เพราะทีมที่เลือกมามีแต่คนเก่ง ๆ ทั้งนั้น
ผู้ชายคนนี้อาจสร้างความประหลาดใจให้เธอก็ได้
“ลุงเฉียนคะ ก่อนจะไปหาคน หนูรบกวนให้ทีมลุงเฉียนไปรื้อถอนตึกเก่าออกก่อนได้หรือเปล่าคะ?”
เพราะคนกลุ่มนี้เป็นคนที่ตั้งใจทำงาน ทุ่มเทแรงกายแรงใจ
เหล่าเฉียนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
สาวน้อยคนนี้คือคนที่มาพลิกชีวิตของเหล่าเฉียนเอง!
“ได้เลย ๆ ขอบคุณเธอมากเลยนะสหายตัวน้อย เธอเป็นคนดีมากเลย!”
ฝ่ายจูหลานฮวาที่เดินดูห้องโถงเข้ามาในวงสนทนา
“คุณป้า พอใจไหมคะ?”
“พอใจมากเลย ป้าไม่คิดเลยว่าร้านอาหารจะทำแบบนี้ได้ด้วย”
เสี่ยวเถียนยิ้ม
ทางเหล่าเฉียนเอาข่าวดีกลับไปบอกทีมของเขา
ส่วนสองป้าหลานกำลังปรึกษาเรื่องอื่นกันอยู่ เช่น รูปแบบของร้านที่จะทำ หรือไม่ก็การพัฒนาในภายภาคหน้า
จูหลานฮวาเห็นเสี่ยวเถียนหยิบกระดาษสองแผ่นออกมาจากกระเป๋าตามด้วยกาว จากนั้นก็ติดไว้ที่ด้านนอกของประตู
“ทำอะไรอยู่หรือ?”
เธอเคยเข้าชั้นเรียนของชนบทมา จึงรู้คำศัพท์ง่าย ๆ และสิ่งที่เห็นบนกระดาษคือข้อมูลการเช่า
“เราติดประกาศไว้ให้คนรู้ว่าที่นี่มีแผงขายของให้เช่าค่ะ เรามีตั้งสิบแผง แต่ตอนนี้เพิ่งจะมีคนเช่าอยู่สองคนเอง ต้องทำการเปิดรับสมัครเอาไว้ค่ะ”
ตลกแล้ว เราจ่ายตูมเดียวไม่ไหวหรอก ต้องหาสหายคนอื่น ๆ มาด้วย
เงื่อนไขการเช่าของเธอง่ายมาก นั่นก็คือเป็นคนที่ทำธุรกิจขายอาหารว่าง
หลาย ๆ คนสนใจจะทำธุรกิจใกล้มหาวิทยาลัยนะ แต่ปัญหาอยู่ที่หาร้านเหมาะ ๆ ไม่ได้
แล้วจู่ ๆ ก็มีแผงลอยให้เช่าปรากฏขึ้นมาจะไม่เป็นที่สนใจได้ยังไง
บางคนเห็นกลับรู้สึกไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไร
มีที่ไหนให้คนแปลกหน้ามาทำธุรกิจในร้านเดียวกันล่ะ?
ทว่าบางคนก็เห็นหนทางเป็นไปได้
ร้านค้ามีพื้นที่เกือบสองร้อยตารางเมตร เสี่ยวเถียนมีแผงลอยให้เช่าห้าแผงซึ่งขนาดเท่ากันทั้งหมด มีเตาให้ มีห้องเก็บของอีก
เพราะแผงลอยหนึ่งกินพื้นที่แค่สี่หรือห้าตารางเมตรเอง
สองฝั่งรวมสิบแผงและพื้นที่ทำครัวเพิ่งจะห้าสิบตารางเมตรเอง ตัวโถงกลางเหลือพื้นที่อีกเยอะมาก
หลังจากหาคนมาตกแต่ง เสี่ยวเถียนได้หาโรงงานเพื่อทำโต๊ะเก้าอี้เป็นชุดไว้แล้ว
ตามแผนที่วางไว้คือ ทำให้รูปแบบการจัดวางเหมือนร้านอาหารว่างในยุคปัจจุบัน
ไม่ว่าจะซื้ออาหารจากแผงลอยไหน คุณสามารถเดินมานั่งกินที่โต๊ะตรงกลางได้
ถ้าทำแบบนี้พื้นที่ตั้งแผงลอยจะไม่อึดอัด
ถ้าทำแบบนี้ค่าเช่าจะต่ำไม่ได้
เธอคิดไว้เรียบร้อยแล้ว มันต้องมีคนสงสัยแน่ ๆ
เธอตั้งใจไว้ว่าจะให้จ่ายค่าเช่าเดือนละหกสิบหยวน และในอนาคตอาจมีการเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม
และเพื่อเป็นการเรียกคนมาเช่า เธอจะลดให้สำหรับเดือนแรกห้าสิบเปอร์เซ็นต์
เท่ากับว่าจ่ายสามสิบหยวนสำหรับทดลองหนึ่งเดือนแรก
มันเป็นรูปแบบใหม่ด้วย ถ้าไม่มีส่วนลดคนก็ไม่สนใจอีก
ถ้าทุกอย่างเข้าที่ดีแล้ว คนเช่าครบทุกแผงจะได้ค่าเช่าเดือนละหกร้อยหยวน
นอกจากจ่ายให้กับเจ้าของร้านแล้ว ยังเอากำไรที่ทำได้มาค่อย ๆ ตกแต่งร้านได้ด้วย
อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ขาดทุนแล้วกัน
“ด้วยค่าเช่าสี่ร้อยหยวนต่อเดือน เราต้องเอามาคืนทุนและต้องทำกำไรไปพร้อมกันด้วย”
จูหลานฮวาพอจะเข้าใจแล้ว
ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือเนี่ย?
ตอนแรกเธอรู้สึกว่าราคาเช่าแพงไป ส่วนเสี่ยวเถียนคือจัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว
จะไม่ให้พูดได้ยังไงว่าโลกของคนมีการศึกษาช่างแตกต่างไปจากเราน่ะ?
ถ้าเป็นตนคงคิดอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก
“แต่คิดแบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเราเอาเงินมาตกแต่งด้วย เงินพวกนั้นจะให้แต่ฝ่ายเราออกเพื่อคนอื่นก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะคะ”
“แล้วถ้าหาคนเช่าไม่ได้ล่ะ? ขาดทุนไม่พอเรียกร้องไม่ได้อีก เสี่ยงเหมือนกันทั้งนั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายพวกนี้จะไม่รวมอยู่ในค่าเช่านะ”
“คิดดูนะ เราอยู่ย่านการค้าคนเดินให้ควั่ก ค่าเช่าไม่กี่สิบหยวนถามว่าแพงไหม? ไม่แพงเลยค่ะ”