ชิวอวี้เฟยสัมผัสได้ถึงความเศร้าสลดในน้ำเสียงของเจียงเจ๋อจึงตั้งใจเอ่ยหยอก “สุยอวิ๋นอาจมิแค้นเคืองที่ลู่ช่านตัดสัมพันธ์ แต่หากบอกว่ามิถือโทษโกรธเคืองเขา ข้ากลับมิเชื่อ หลิงตวนเพียงจับคนเป็นตัวประกันช่วยศิษย์พี่ของข้าเพียงหนเดียว ท่านยังจงใจปิดบังให้เขาเคียดแค้นไม่เลิกรา เฝ้าคิดถึงสหายผู้ตายจากทุกวันคืนตั้งสิบปี หากมิใช่หนนี้ท่านมีเรื่องจะขอร้องข้าแล้วกลัวเขาจะขัดขวาง เกรงว่าท่านก็คงยังมิปล่อยให้เขาล่วงรู้ความจริงกระมัง”
ข้าได้ยินก็อดหัวเราะมิได้ หันกลับไปเอ่ยว่า “ผู้แซ่เจียงจิตใจคับแคบเจ้าคิดเจ้าแค้น ท่านเองก็มิใช่เพิ่งจะรู้วันนี้เสียหน่อย ไยต้องล้อข้าด้วยเล่า”
ชิวอวี้เฟยเห็นเจียงเจ๋อเผยสีหน้าเบิกบานใจ ในใจก็โล่งอก สายตาพิศดูตัวเขา มิพบหน้ากันหลายปี รู้สึกว่าจอนผมสองข้างของเจียงเจ๋อมีด่างดวงสีขาวเพิ่มขึ้นมาก เส้นผมสีเทาก็สีอ่อนลงเล็กน้อยจนอดถอนหายใจไม่ได้ “ได้ยินว่าหลายปีนี้สุยอวิ๋นเที่ยวชมขุนเขาธารา มิสนใจเรื่องกองทัพการศึกนัก ข้ายังคิดว่าสุยอวิ๋นจะแข็งแรงมีชีวิตชีวาขึ้นเสียอีก เหตุไฉนวันนี้ดูแล้วกลับซีดเซียวขึ้นมากนัก”
ข้าถอนหายใจแผ่วเบา “วันเวลาผันผ่าน รูปลักษณ์แก่ชรา นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยมิได้ อวี้เฟยกลับยังสง่างามเหมือนก่อน ทำให้เจียงเจ๋อทั้งอิจฉาทั้งริษยา
หนนี้เจียงเจ๋อส่งสารเชิญพันลี้เพราะมีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งต้องการไหว้วานจริงๆ คิดมาคิดไป มีเพียงอวี้เฟยที่ช่วยข้าได้ เพียงแต่เรื่องนี้ค่อนข้างยากลำบาก หากพรรคมารมิอนุญาต หรือว่าอวี้เฟยมิสะดวกใจ เจียงเจ๋อก็มิกล้าฝืนใจขอร้อง”
ชิวอวี้เฟยคิดถึงอะไรบางอย่าง เขาเดาเรื่องที่เจียงเจ๋อจะไหว้วานออกแล้ว ดังนั้นจึงบอกอย่างตรงไปตรงมา “ในเมื่อสุยอวิ๋นมีเรื่องจะไหว้วาน อวี้เฟยย่อมมิกล้าขัดบัญชา ยามนี้พรรคมารของพวกเราเป็นขุนนางของต้ายงแล้ว เดินทางมาหนนี้ข้าไปคารวะท่านอาจารย์มาก่อนแล้ว ท่านอาจารย์อนุญาตให้ข้ากระทำได้ตามสมควร หากเรื่องนี้สำคัญเร่งด่วน ข้าก็จะเดินทางลงใต้ในวันนี้ เพียงแต่ความตั้งใจนี้ของท่าน เกรงว่าคงมิมีประโยชน์”
ข้าตอบอย่างยินดีปรีดา “มิว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ถือว่าทำสุดความตั้งใจของข้าแล้ว ขอบคุณอวี้เฟยยิ่งนักที่ใจกว้างช่วยเหลือ ตอนนี้ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง ท่านกับข้ามิสู้ใช้เวลาร่วมกันสักสองสามวัน รอกองทัพหนานฉู่ถอยทัพค่อยว่ากัน”
ชิวอวี้เฟยถอนหายใจ “เรื่องนี้ก็ใช่” จากนั้นก็ยิ้มอีกหน “ฝีมือพิณของสุยอวิ๋นก้าวหน้าขึ้นมาก ข้ากำลังอยากจะขอคำชี้แนะอยู่พอดีเชียว”
ข้าหัวเราะ “ตรงกับความต้องการของข้าพอดี เสี่ยวซุ่นจื่อ สองสามวันนี้ข้าจะมิไปที่กำแพงเมืองแล้ว ให้ฉงเอ๋อร์ติดตามแม่ทัพฉางไปรับศึกเถิด”
เสี่ยวซุ่นจื่อได้ยินก็หมุนตัวออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
ชิวอวี้เฟยดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “แม้แต่ลู่ช่านผู้ยิงศรสะบั้นความสันพันธ์ศิษย์อาจารย์คนนั้น สุยอวิ๋นยังเป็นห่วงเป็นใย ฮั่วฉงคนนี้ก็เป็นลูกศิษย์ของท่าน เหตุไฉนท่านกลับมิค่อยถนอมเขานัก หากมิใช่เช่นนั้น ไยเขาจึงเก็บทุกข์กลัดหนองอยู่ในใจ คนมีความสามารถเช่นนี้ หากท่านมิรัก มิสู้มอบเขาให้ข้าเถิด”
ข้าตอบอย่างแฝงความนัย “ยามสวรรค์มอบหมายภาระหนักหนาแก่คนผู้หนึ่ง ก่อนอื่นต้องเคี่ยวเข็ญจิตใจของเขา เคี่ยวกรำกระดูกของเขา ให้เนื้อหนังเขาหิวโหย ให้ตัวเขาสิ้นไร้ไม้ตอก กระทำการใดล้วนมิเป็นดั่งหวัง เช่นนี้จึงจะกระตุ้นความมุ่งมั่นของเขา ฝึกฝนความอดทนของเขา เพิ่มพูนทักษะที่เขายังขาด”
ชิวอวี้เฟยฟังจบก็ถอนหายใจแผ่วเบา มิพูดมากอีก ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วคลี่ยิ้ม เดินเคียงกันเข้าไปในห้องโถงด้านหลัง
สิบวันเต็มหลังจากนั้น ทั้งสองคนเพียงบรรเลงพิณขับขานบทเพลงอยู่ด้านหลัง แสร้งทำเป็นมิเห็นไฟสงครามด้านนอก ปล่อยให้ฮั่วฉงติดตามแม่ทัพฉางขัดขวางการบุกอันรุนแรงของลู่ช่าน
เดือนแปด วันที่ยี่สิบเจ็ด จ่างซุนจี้ยกทัพหวนกลับเซียงหยางบุกตีเมืองสายฟ้าแลบ แม่ทัพบางส่วนเกลี้ยกล่อมให้ลู่ช่านกลับไปจัดการจ่างซุนจี้ที่เซียงหยางก่อน ลู่ช่านใคร่ครวญหลายตลบก็สั่งให้แม่ทัพใต้สังกัดยืนหยัดป้องกันเซียงหยาง มิยอมให้จ่างซุนจี้มาเสริมกำลังกู่เฉิง หลังจากนั้นจึงออกคำสั่งโหมบุกกู่เฉิง เพราะตอนตีเซียงหยางรถยิงหินกับเครื่องยิงหน้าไม้ถูกใช้จนหมดแล้ว
วันที่ยี่สิบหก เมื่อเจียงเจ๋อกับชิวอวี้เฟยบรรเลงพิณคู่ประสาน สลายใจสู้ของกองทัพหนานฉู่ หลังจากถอยทัพ ลู่ช่านจึงสั่งให้พลทหารเร่งสร้างรถยิงหิน จากนั้นเริ่มตั้งแต่วันที่ยี่สิบเจ็ดก็บุกตีเมืองทั้งวันทั้งคืนมิหยุดพัก
แม้เขามิเคยนำทัพออกรบที่เซียงหยาง แต่สมัยก่อนเคยส่งคนมาสืบจุดแข็งจุดอ่อนของเมืองรอบด้านเซียงหยางจนกระจ่างแจ้ง เมืองกู่เฉิงห่างจากเซียงหยางมิถึงหนึ่งร้อยห้าสิบลี้ เร่งม้าเร็ววันเดียวก็บรรลุ ดังนั้นเขาจึงรู้จุดอ่อนของกำแพงเมืองกู่เฉิงชัดเจนแจ่มแจ้ง ก้อนหินยักษ์ยิงออกจากรถยิงหินพุ่งเข้าใส่จุดอ่อนแอเหล่านั้น มิถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน กำแพงเมืองกู่เฉิงก็ชำรุดจนมิเหลือสภาพ
ฮั่วฉงต้องการขอคำชี้แนะจากเจียงเจ๋อแต่กลับถูกปฏิเสธมิให้พบ เขาจนหนทางจึงทำใจกล้าตัดสินใจด้วยตนเอง สั่งให้พลทหารสร้างรถยิงหินขนาดเล็กหลายคันขนขึ้นมาบนกำแพงเมือง ใช้กิ่งไม้และหญ้าแห้งมัดรวมกันกลายเป็นลูกกลม ด้านในบรรจุเชื้อเพลิง จุดติดไฟเสร็จก็ขว้างไปยังกระบวนทัพของศัตรู หลังจากเผารถยิงหินสิบกว่าคันสำเร็จ การบุกของกองทัพหนานฉู่ก็ยากจะดำเนินต่อไปได้
เดือนแปด วันที่สามสิบ ลู่ช่านทราบข่าวหรงเยวียนถอนทัพ หลังจากบุกตีเมืองมาหลายวัน เขาสังเกตเห็นแล้วว่าภายในเมืองกู่เฉิงมีคนอยู่มิถึงสามหมื่นคนอย่างแน่นอน อย่างมากก็มีเพียงห้าพันคนเท่านั้น
เขาคาดว่ากองทัพต้ายงที่เหลือต้องลอบเคลื่อนพลไปที่อื่นแล้วเป็นแน่ มิแน่อาจวกกลับเซียงหยางแล้ว หากเซียงหยางถูกตีแตก ทางถอยของตนเองก็จะถูกตัดขาด แต่ลู่ช่านทราบว่าตอนนี้ตนโดดเดี่ยวอยู่ในอาณาเขตของกองทัพต้ายงแล้ว ต่อให้ถอยกลับไปป้องกันเซียงหยางก็มีศัตรูล้อมทั้งด้านนอกด้านใน ดังนั้นเขาจึงบุกกู่เฉิงต่อ ในใจคิดว่าจะใช้กู่เฉิงล่อกองทัพต้ายงมาเสริมกำลัง พร้อมทั้งส่งคนลอบกลับไปยังหนานฉู่ ใช้คำสั่งแม่ทัพใหญ่เคลื่อนกองเรือที่อยู่รักษาเจียงเซี่ยมาเสริมทัพ
เวลานี้เอง กองทัพต้ายงที่เดินทางมาถึงกู่เฉิงแล้วถูกเจียงเจ๋อสั่งให้เดินทัพผ่านเหล่าเหอโข่ว เปลี่ยนทิศไปเติ้งโจวกลับเซียงหยางอย่างรวดเร็ว ก็เดินทางมารวมกำลังกับจ่างซุนจี้ตัดเส้นทางของเซียงหยาง พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของเจียงเจ๋อที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ มุ่งแต่ตีเมืองเซียงหยาง มิเดินทางไปช่วยกู่เฉิง
เดือนเก้า วันที่สอง จ่างซุนจี้ทราบว่าลู่ช่านขุดคูชักน้ำเข้าเมือง แต่กองทหารรักษาเมืองขุดคูน้ำภายในเมืองให้น้ำจากแม่น้ำไหลลงใต้ดิน จ่างซุนจี้กังวลว่าจะรักษาเมืองกู่เฉิงไว้มิได้จึงส่งทหารหนึ่งหมื่นนายมาช่วยเสริมกำลังให้กู่เฉิง ตอนห่างกู่เฉิงอีกสามสิบลี้ ทหารสอดแนมย้อนกลับมารายงานว่ากู่เฉิงมีควันลอยคลุ้ง แม่ทัพกองหนุนเข้าใจผิดคิดว่ากู่เฉิงเสียเมืองแล้วจึงหวดแส้เร่งม้าอย่างมิสนใจตนเองเพื่อมุ่งหน้าไปช่วยเหลือ แต่แล้วกลับถูกแม่ทัพในสังกัดของลู่ช่านดักซุ่มโจมตีกลางทาง พลทหารหนึ่งหมื่นกว่าคนบาดเจ็บล้มตายมากมาย
จ่างซุนจี้ได้ข่าวจึงให้คนโหมบุกเซียงหยาง กองทัพหนานฉู่ที่เซียงหยางมีเพียงทหารหมื่นกว่าคนคอยรักษาเมือง อีกทั้งก่อนกองทัพต้ายงทิ้งเมืองยังนำเสบียงและยุทโธปกรณ์ในเมืองไปด้วยมากกว่าครึ่ง การป้องกันเมืองจึงยากลำบากยิ่งนัก
แม้สามปีที่ผ่านมากองทัพต้ายงจะดีต่อประชาชนในเซียงหยาง แต่คนเซียงหยางก็ยังไม่ลืมบ้านเกิดเมืองนอน เมื่อทราบว่าแม่ทัพใหญ่ลู่ช่านยึดเซียงหยางได้แล้ว พวกเขาต่างมิสนใจความเป็นความตาย ตัดใจจากครอบครัวอุทิศชีวิตช่วยกองทัพหนานฉู่ปกป้องเมือง กองทัพต้ายงเร่งรีบจึงยากจะตีเมืองสำเร็จ
เดือนเก้า วันที่สี่ ลู่ช่านให้พลทหารขุดคูน้ำเป็นลำคลอง ชักน้ำที่สะสมอยู่ใต้เมืองกู่เฉิงออก เวลานี้กำแพงเมืองถูกน้ำมหาศาลด้านในและด้านนอกแช่เอาไว้จนรากฐานอ่อนยวบ ลู่ช่านสั่งให้พลทหารขุดอุโมงค์เข้าไปในเมือง แต่ถูกฮั่วฉงใช้น้ำที่กักเก็บไว้ในเมืองเทเข้ามาในอุโมงค์ ทำลายแผนการบุกของกองทัพหนานฉู่
เดือนเก้า วันที่ห้า ลู่ช่านออกคำสั่งให้พลทหารใช้ฟืนสุมอุโมงค์เผาเมืองจากด้านนอก จากวันจดค่ำ จากรัตติกาลจดรุ่งสาง หนนี้มิเหมือนเมื่อเดือนเก้า วันที่สองที่สุมเพลิงก่อควันหลอกกำลังสริม แต่ต้องการจะทำลายกำแพงเมือง ฮั่วฉงให้พลทหารคอยซ่อมกำแพงเมือง ลำบากจนมิอาจสรรหาคำมาบรรยาย
อรุณรุ่งเดือนเก้า วันที่หก ท่ามกลางเสียงกลองศึกนอกเมืองที่ดังมาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน กำแพงเมืองทิศใต้ของกู่เฉิงก็พังทลาย แต่แล้วตอนที่ฮั่วฉงหมดสิ้นกลอุบาย เขาก็พบว่ากองทัพหนานฉู่นอกเมืองกลับมิฉวยโอกาสบุกโจมตี จึงให้ทหารสอดแนมออกจากเมืองไปสืบดู พบว่าภายในค่ายของกองทัพหนานฉู่เหลือเพียงแพะภูเขายี่สิบกว่าตัวที่ถูกจับแขวนปิดตาไว้ กีบเท้าคู่หน้าดีดกลองมิหยุด ส่วนกองทัพหนานฉู่อาศัยรัตติกาลจากไปแล้ว
เดือนเก้า วันที่หก ยามรุ่งเช้า ลู่ช่านนำทัพมาปรากฏตัวนอกเมืองเซียงหยางอย่างกะทันหัน เมื่อคืนวานทหารสอดแนมกลับมารายงานว่าลู่ช่านยังบุกตีกู่เฉิงอยู่ จ่างซุนจี้คิดมิถึงว่าลู่ช่านจะยกทัพกลับมา เพราะกองทหารรักษาเมืองเซียงหยางไร้กำลังยกทัพออกจากเมืองมาสู้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิทันป้องกัน ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ฟ้าเพิ่งสาง เป็นยามที่กองทัพต้ายงหลับใหลยังมิตื่น
ลู่ช่านกรีฑาทัพนำอาชาเหยียบย่ำค่ายต้ายง จ่างซุนจี้พบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน จัดกระบวนทัพมิทันแม้แต่น้อย โชคดีทหารกองทัพต้ายงฝีมือยอดเยี่ยม คนมากกว่าครึ่งจึงหนีเอาชีวิตรอดมาได้ ลู่ช่านหวนคืนเซียงหยาง ตีวงล้อมแน่นหนาของต้ายงแตก ส่งคนเดินทางไปยังเจียงหลิง เจียงเซี่ย เรียกกำลังเสริมอีกหน
ขณะที่ลู่ช่านกำลังบัญชากองทัพทำศึกอย่างยากลำบากอยู่ที่กู่เฉิงกับเซียงหยาง เจี้ยนเย่ก็ปั่นป่วนไปทั้งเมือง เดือนเก้า วันที่หนึ่ง ฎีการ้องเรียนของหรงเยวียนส่งมาถึงเจี้ยนเย่ เมื่อซั่งเหวยจวินทราบว่าลู่ช่านยกทัพออกไปก็โกรธจัดเรียกคนสนิทมาประชุมหารือ ยามนี้เจ้าแคว้นขึ้นปกครองด้วยตนเองแล้ว แม้ราชสำนักจะยังอยู่ในกำมือของซั่งเหวยจวิน แต่อย่างไรเสียฉากหน้าก็มีเจ้าแคว้นเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้นแม้ซั่งเหวยจวินจะละโมบอำนาจ แต่ก็มิเคยคิดจะก่อกบฏ เขามีแต่ความคิดจะปกป้องและประจบหลานชายต่างแซ่ของตนเอง
ฝ่ายลู่ช่าน อำนาจทหารในมือนับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น รัชศกหลงเซิ่งปีที่แปด เขาอ้างการป้องกันศัตรู ชิงอำนาจการเลื่อนขั้นขุนนางระดับต่ำกว่าขั้นสี่ในแถบเจียงไหวกับจิงเซียงไป ซั่งเหวยจวินระแวงและหวั่นกลัวเขามานานแล้ว ในความคิดของซั่งเหวยจวิน มีกองทัพใหญ่หลายแสนนายปกป้องเจียงไหว มีฉางเจียงเป็นปราการธรรมชาติ ทั้งยังมีแนวป้องกันเจียงหนานอันแข็งแกร่งดั่งปราการหลักที่จัดระเบียบขึ้นใหม่ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ต่อให้ไม่มีลู่ช่านแล้ว เพียงทิ้งเมืองไร้ประโยชน์ที่เกิดสงครามขึ้นบ่อยครั้งจำนวนหนึ่งไปแล้วป้องกันเมืองสำคัญไว้ให้มั่น ถึงกองทัพต้ายงจะยกทัพใหญ่บุกลงใต้ก็มิมีทางข้ามฉางเจียงมาได้อีก
กลับกัน หากลู่ช่านครอบครองกำลังทหารแล้วตั้งตนเป็นใหญ่โดยที่เขาครองใจทหารและประชาชนในแว่นแคว้นอยู่ ยามเขาก่อกบฏย่อมเป็นหายนะใหญ่หลวง แต่เดิมหลังจากจ้าวหล่งขึ้นปกครองเอง ซั่งเหวยจวินตั้งใจจะยืมชื่อของเจ้าแคว้นค่อยๆ ดึงอำนาจทหารของลู่ช่านกลับมา คิดมิถึงลู่ช่านกลับยังคงทำตัวเช่นเดิม ยกทัพออกรบโดยมิรายงานเหมือนก่อนหน้านี้
ซั่งเหวยจวินตัดสินใจแล้ว หากลู่ช่านยึดเซียงหยางสำเร็จ เอาชนะกองทัพต้ายงครั้งใหญ่ได้ เขาจะเรียกอีกฝ่ายกลับเจี้ยนเย่ อ้างการปูนบำเหน็จรั้งตัวเขาไว้ หลังจากประชุมหนึ่งคืนวางแผนการว่าจะล่อลู่ช่านกลับเจี้ยนเย่อย่างไรเสร็จ ซั่งเหวยจวินก็แต่งตั้งมหาเสนาบดีไช่ไข่เป็นผู้แทนพระองค์ เดินทางไปรับลู่ช่านที่เจียงเซี่ย ทันทีที่ลู่ช่านได้ชัยชนะกลับมาก็จะเรียกตัวลู่ช่านกลับเมืองหลวงรับบำเหน็จ
ไช่ไข่เป็นบิดาของพระมเหสีพระองค์ใหม่ เป็นพระสัสสุระตำแหน่งใหญ่โต ทั้งยังเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนักผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ชื่อเสียงในฐานะบัณฑิตของเขาเป็นที่รู้จักมาตลอด เรื่องพระมเหสีสกุลไช่ได้ขึ้นครองตำแหน่งสำเร็จ ลู่ช่านก็มีความดีความชอบอยู่ด้วย ไช่ไข่เดินทางไปรับย่อมมิทำให้ลู่ช่านนึกแคลงใจ