ตอนที่ 1050 อันดับหนึ่ง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 1050 อันดับหนึ่ง

ได้ยินว่าตอนที่ภรรยาและบุตรของแม่ทัพกวนถูกสังหาร เขาไปคุกเข่าอ้อนวอนขอให้กองทัพไป๋รับเขาไปเป็นทหารในค่ายอยู่นอกค่ายทหารทั้งคืน เขาต้องการแก้แค้นให้ภรรยาและบุตร ต่อมาท่านอาห้าใจอ่อนจึงรับแม่ทัพกวนเขามาเป็นทหารรับใช้ในครัว อาจเป็นเพราะภรรยาและบุตรของแม่ทัพกวนถูกซีเหลียงสังหาร อีกทั้งแม่ทัพกวนเป็นเพียงทหารในโรงครัว ท่านอาห้าจึงไม่ได้สั่งให้คนสืบประวัติของแม่ทัพกวนอย่างละเอียด

“ต่อมาบิดามารดาของแม่ทัพกวนเสียชีวิตลง แม่ทัพกวนเข้าร่วมทหาร สายเลือดของตระกูลกวนจึงสิ้นสุดลงที่เขา” เสิ่นชิงจู๋เห็นว่าด้านหน้าคือบันไดจึงเอื้อมมือไปช่วยประคองไป๋ชิงเหยียน จากนั้นกล่าวต่อ “ข้าสืบเรื่องจากอำเภอเฟิงไม่ได้ จึงเสี่ยงเดินทางไปยังซีเหลียง ในที่สุดข้าจึงได้เบาะแสเจ้าค่ะ…”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าสื่อให้เสิ่นชิงจู๋กล่าวต่อ

“ได้ยินว่าอวิ๋นหลานของตระกูลอวิ๋นมีตัวตนอยู่จริงเจ้าค่ะ ทว่า เขาเดินทางจากบ้านไปหาร่ำเรียนวิชาที่แดนไกลตั้งแต่อายุสิบสาม เขาไม่เคยกลับบ้านอีกเลยตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา คำนวณดูแล้วอายุของอวิ๋นหลานเท่ากับแม่ทัพกวนเจ้าค่ะ ตอนที่ตระกูลอวิ๋นพาแม่ทัพกวนกลับมา เขาหลอกว่าแม่ทัพกวนคืออวิ๋นหลาน…”

ไป๋ชิงเหยียนชะงักฝีเท้าลง จากนั้นเงยหน้ามองใบหน้าของเสิ่นชิงจู๋ที่สะท้อนแสงไฟริบหรี่

เสิ่นชิงจู๋พยักหน้าน้อยๆ เพราะผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ตระกูลอวิ๋นจึงไม่มีรูปภาพของอวิ๋นหลาน ดังนั้นเสิ่นชิงจู๋จึงไม่มีหลักฐานยืนยันว่าแม่ทัพกวนคืออวิ๋นหลานแห่งตระกูลอวิ๋น

ความจริงแล้วเรื่องอายุที่เหมือนกันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่อวิ๋นหลานจากบ้านไปตอนอายุสิบสาม อีกทั้งไม่เคยกลับบ้านอีกเลยตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ส่วนแม่ทัพกวนก็บังเอิญเดินทางไปยังอำเภอเฟิงตอนอายุสิบสามพอดี นี่มันไม่บังเอิญไปหน่อยอย่างนั้นหรือ

ประกอบกับก่อนหน้านี้ไป๋ชิงเหยียนสงสัยในตัวแม่ทัพกวน เสิ่นชิงจู๋จึงรู้สึกว่าพวกนางควรระวังแม่ทัพกวนผู้นี้ให้ดี ดังนั้นก่อนเดินทางกลับมารายงานไป๋ชิงเหยียน เสิ่นชิงจู๋เล่าเรื่องนี้ให้ไป๋ชิงฉีฟังหมดแล้ว ชายหนุ่มจะได้ป้องกันแม่ทัพกวนไว้บ้าง

“อายุสิบสามเหมือนกัน! พี่ชิงจู๋หมายความว่าแม่ทัพกวนคืออวิ๋นหลานของตระกูลอวิ๋นหรือเจ้าคะ”

ไป๋จิ่นจื้อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วเช่นเดียวกันดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เสิ่นชิงจู๋พยักหน้า “ข้าเพียงแค่สงสัยเท่านั้น เรายังไม่มีหลักฐานที่แน่นอน กองทัพไป๋ไม่เคยสงสัยสหายร่วมรบหากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ทว่า สงครามที่หนานเจียงคือบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ของกองทัพไป๋ ครั้งนี้ข้ายินดีจะสงสัยสหายร่วมรบ ทว่า จะไม่ยอมให้เกิดโศกนาถฐกรรมอย่างคราวที่แล้วขึ้นอีกเด็ดขาด ดังนั้นข้าจึงบอกเรื่องนี้ให้คุณชายสามทราบก่อนเดินทางกลับมาเมืองหลวงแล้ว”

เมื่อได้ยินเสิ่นชิงจู๋เอ่ยถึงสงครามที่หนานเจียง ไป๋จิ่นจื้อกำหมัดแน่น

ตอนนั้นท่านปู่เชื่อใจหลิ่วฮ่วนจางมาก ตระกูลไป๋ถึงมีจุดจบอย่างน่าอนาถเช่นนั้น!

ลมพัดโชย ผ้าม่านประดับมุกที่อยู่สองข้างทางของระเบียงทางเดินพัดเลิกขึ้นเล็กน้อย กระดิ่งที่แขวนอยู่บนเสาเคลือบน้ำมันสีแดงกระทบกันจนเกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ

“พี่ชิงจู๋สงสัยถูกแล้วเจ้าค่ะ พี่ทำถูกแล้วที่บอกให้พี่ชายสามรับรู้ อย่างน้อยพี่ชายสามจะได้ลองหยั่งเชิงแม่ทัพกวนดู หากสามรถขจัดข้อสงสัยได้ ถือว่าพวกเราติดค้างแม่ทัพกวนครั้งหนึ่ง วันหน้าค่อยชดใช้ให้เขา ทว่า ตระกูลไป๋และกองทัพไป๋จะเสี่ยงอันตรายอีกไม่ได้เจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อกล่าวเสียงหนักแน่น “หากเชื่อใจคนผิดหนึ่งคนทำให้เราต้องสูญเสียกองทัพไป๋นับแสน พวกเราแพ้ไม่ได้เจ้าค่ะ!”

ไม่น่าเชื่อว่าไป๋จิ่นจื้อจะคิดเช่นนี้ น้องสาวของนางโตแล้วจริงๆ

ไป๋ชิงเหยียนเอื้อมมือลูบศีรษะของไป๋จิ่นจื้ออย่างแผ่วเบา พวกนางถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กว่าสหายร่วมรบคือญาติสนิทที่พวกนางสามารถฝากชีวิตไว้ด้วยได้

ดังนั้นการให้ไป๋จิ่นจื้อสงสัยแม่ทัพในกองทัพไป๋ โดยเฉพาะแม่ทัพที่เคยติดตามท่านอาห้าเปรียบเสมือนให้นางสงสัยญาติผู้ใหญ่ของตัวเอง ไป๋จิ่นจื้อคงลังเลอยู่ไม่น้อย

“ดังนั้นเมื่อเจ้าเดินทางไปหนานเจียงในครั้งนี้จงระวังแม่ทัพกวนผู้นี้ให้ดี ทว่า อย่าแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นเด็ดขาด…” ไป๋ชิงเหยียนกำชับไป๋จิ่นจื้อ

ไป๋จิ่นจื้อตกตะลึง ไม่นานจึงคลี่ยิ้มกว้างออกมา “พี่หญิงใหญ่อนุญาตให้ข้าไปหนานเจียงแล้วหรือเจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้ายิ้มๆ “วันนี้เจ้ามอบของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้ให้พี่ พี่รับของมาแล้วก็ย่อมต้องอนุญาตให้เจ้าไปสิ”

ไป๋จิ่นจื้อรีบโค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียน “ขอบพระคุณพี่หญิงใหญ่มากเจ้าค่ะที่ช่วยข้า หากไม่ปล่อยให้ข้าไป ท่านแม่ต้องพาข้าไปดูตัวอีกแน่เจ้าค่ะ ข้าทนไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”

“เจ้าออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า วันนี้ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้ว ไปอยู่เป็นเพื่อนท่านอาสะใภ้สามเถิด” ไป๋ชิงเหยียนลูบศีรษะไป๋จิ่นจื้อเบาๆ

ไป๋จิ่นจื้อรับคำ จากนั้นหมุนตัวกลับวิ่งถลกชายกระโปรงไปยังตำหนักมารดาของตัวเอง หากบอกท่านแม่ว่าพี่หญิงใหญ่เป็นคนส่งนางไปหนานเจียง ท่านแม่ต้องไม่ห้ามนางแน่นอน

เมื่อเห็นร่างของไป๋จิ่นจื้อวิ่งหายไปอย่างร่าเริง ไป๋ชิงเหยียนจึงเดินจับมือเสิ่นชิงจู๋ไปยังตำหนักของตัวเอง “เจ้าคืนดีกับหรู่ซยงแล้วหรือไม่”

เสิ่นชิงจู๋ที่จับมือไป๋ชิงเหยียนอยู่พยักหน้าน้อยๆ จากนั้นก้มหน้ากล่าวขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าโทษว่าเป็นความผิดของศิษย์พี่ที่ทำให้ท่านอาจารย์หายตัวไป บัดนี้ท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ข้าจึงปล่อยวางได้แล้วเจ้าค่ะ…”

“กลับมาครั้งนี้ เจ้าและศิษย์พี่ของเจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ จากนั้นไปเยี่ยมอาจารย์ของพวกเจ้าด้วยกันเถิด”

ตั้งแต่ตระกูลไป๋เกิดเรื่องขึ้น เสิ่นชิงจู๋และเซียวรั่วไห่ไม่เคยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลยสักครั้ง พวกเขามีเรื่องต้องทำตลอดเวลา

“ข้าอยู่รับใช้ข้างกายคุณหนูใหญ่ดีกว่าเจ้าค่ะ บัดนี้เรื่องใหญ่ยังไม่สำเร็จ คุณหนูใหญ่กำลังต้องการใช้คน ข้าจากไปตอนนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ” เสิ่นชิงจู๋ยืนกรานหนักแน่น

“เรื่องใหญ่ยังไม่สำเร็จ ทว่า จะรบกวนเรื่องการแต่งงานของเจ้าไม่ได้ หลายปีมานี้หรู่ซยงรอเจ้ามาโดยตลอด ทว่า เจ้ากลับตัดขาดจากเขาเพราะเรื่องท่านอาจารย์ของเจ้า” ไป๋ชิงเหยียนถลกชายกระโปรงเดินขึ้นไปบนบันได “ขนาดท่านแม่ของข้ายังเสียดายเลย พวกเจ้าเติบโตมาด้วยกันแท้ๆ”

เสิ่นชิงจู๋ก้มหน้าลง นางฟังคำของไป๋ชิงเหยียนนิ่งๆ ไม่ได้เอ่ยคัดค้าน เมื่อไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบ นางจึงกล่าวขึ้น “ตั้งแต่ที่คุณหนูใหญ่สาบานว่าจะสานต่อปณิธานของบรรพบุรุษไป๋และกองทัพไป๋ ชิงจู๋ก็สาบานต่อฟ้าดินเช่นกันว่าจะไม่แต่งงานจนกว่าจะปกป้องคุณหนูใหญ่สานต่อปณิธานจนสำเร็จเจ้าค่ะ ชิงจู๋จะไม่หาภาระมาให้ตัวเองตอนนี้ เมื่อมีคู่ครอง ชิงจู๋จะไม่อาจสละชีพปกป้องคุณหนูได้อย่างเต็มที่ คุณหนูใหญ่เป็นคนช่วยชีวิตชิงจู๋ไว้ คุณหนูใหญ่คือคนที่สำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตของชิงจู๋ คนอื่นล้วนไม่สำคัญเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนชะงักฝีเท้ามองไปทางเสิ่นชิงจู๋นิ่ง แม้นางจะรับรู้ว่าเสิ่นชิงจู๋ให้ความสำคัญกับนางเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด ทว่า ได้ยินเสิ่นชิงจู๋กล่าวออกมาเช่นนี้ ไป๋ชิงเหยียนอดรู้สึกปวดใจไม่ได้

เสิ่นชิงจู๋มีวรยุทธ์ที่เก่งกล้า หากชาติที่แล้วเสิ่นชิงจู๋ไม่ปกป้องน้องชายให้ไป๋ชิงเหยียน นางคงไม่ถูกสัตว์เดรัจฉานอย่างไป๋ชิงเสวียน…

ไป๋ชิงเหยียนกุมมือเสิ่นชิงจู๋แน่น จากนั้นกล่าวขึ้น “ได้ เมื่อเราโจมตีแคว้นเทียนเฟิ่งจนถอยทัพไปได้ เมื่อรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งสำเร็จ ข้าจะจัดงานแต่งให้เจ้าและหรู่ซยงเอง”

เสิ่นชิงจู๋กล่าวเพียง “ข้าส่งคุณหนูใหญ่กลับไปพักผ่อนนะเจ้าคะ”

เมื่อส่งไป๋ชิงเหยียนถึงตำหนัก เสิ่นชิงจู๋เตรียมจากไป ทว่า เห็นเว่ยจงพาเซียวรั่วเจียงเข้ามาเสียก่อน

เมื่อเซียวรั่วเจียงเห็นเสิ่นชิงจู๋จึงทำความเคารพหญิงสาวก่อน “แม่นางเสิ่น…”

เสิ่นชิงจู่กำหมัดทำความเคารพกลับ “คุณหนูใหญ่เรียกเจ้ากลับมาอย่างนั้นหรือ”

เซียวรั่วเจียงพยักหน้า “อาจเป็นเพราะเรื่องช้างที่อยู่ในค่ายทหารนอกเมืองเหล่านั้น”