เหวยอิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “หากแม่ทัพใหญ่มองผู้น้อยเช่นนี้ ผู้น้อยก็ไม่มีคำใดจะกล่าว ไม่ผิด ข้าวางแผนการลอบสังหารหรงเยวียน หรือดักปล้นฎีการะหว่างทางได้ก็จริง แต่การทำเช่นนี้ต้องเป็นศัตรูกับตำหนักเฟิ่งอู่ หนนี้เยี่ยนอู๋ซวงเจ้าตำหนักเฟิ่งอู่ออกโรงคุ้มกันความปลอดภัยของหรงเยวียนด้วยตนเอง ส่วนฎีกาฉบับที่สองก็ได้เซี่ยเสี่ยวถงแห่งตำหนักอี๋หวงนำไปส่งถึงเจี้ยนเย่ด้วยตนเอง ผู้แซ่เหวยไฉนจะลงมือได้ ท่านแม่ทัพใหญ่คิดว่าผู้แซ่เหวยสมควรตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกนางหรืออย่างไร”
ลู่ช่านยิ้มละไม ตอบว่า “หากไม่ทราบมาก่อนว่าท่านเหวยแตกหักกับพวกนางตั้งแต่สองปีก่อน ข้าก็คงไม่เชื่อใจท่านถึงเพียงนี้ แล้วก็คงไม่ประมาทจนตกอยู่ในสถานการ์เช่นวันนี้ หรือท่านจะบอกว่าข้าลู่ช่านคนนี้พลาดพลั้งที่เชื่อใจท่านเล่า”
เหวยอิงฟังจบพลันใจสะท้าน เขาคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าการทะเลาะกันต่อหน้าหลิงอวี่หนนั้นระหว่างตนกับจี้เสียและเยี่ยนอู๋ซวงจะถูกลู่ช่านล่วงรู้ เขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วครู่ ถ้อยคำราบเรียบประโยคนั้นของลู่ช่าน สำหรับเขาเป็นเสมือนอสนีบาตฟาดกลางท้องนภา
ตั้งแต่ออกมาจากต้ายง ลึกๆ ในใจเขาดูแคลนตนเองมาตลอด ถึงขนาดที่คิดจะปล่อยให้ตัวเองตกต่ำตามชะตากรรมอยู่บ่อยครั้ง หากมิใช่เพราะยังมีศัตรูคู่แค้นอยู่บนโลกก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาคงไม่กระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่ต่อเช่นนี้ แต่ลู่ช่านกลับปฏิบัติต่อเขาเสมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง ราวกับว่าเขาไม่เคยก่อกบฏทรยศแว่นแคว้นและไม่เคยทำให้ตระกูลตนเองต้องรับเคราะห์
หลายปีที่ผ่านมาลู่ช่านทั้งเชื่อใจเขาและใช้เขาทำงานสำคัญ ทำให้ลู่ช่านค่อยๆ มีน้ำหนักเหนือทุกสิ่งในใจเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาลนลานเล็กน้อยเอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่โปรดฟังข้าอธิบาย ข้า ข้า…” ทว่ากลับไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมา ถ้อยคำปัดความผิดที่คิดมาอย่างดีก่อนหน้านี้กลับพูดไม่ออก
ลู่ช่านไม่มองเขา แต่หันหลังกลับไปมองนอกหน้าต่าง กล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “ตอนข้าถอยกลับมาป้องกันเซียงหยาง ข่าวลือแพร่สะพัดทั่วเจียงหนาน หลายปีนี้ตำหนักเฉินของท่านได้ข้าสนับสนุนจนอำนาจเพิ่มพูนขึ้นมาก ท่านจะไม่มีหนทางแม้แต่น้อยเลยหรือไร หยางซิ่วไม่สะดวกออกหน้าอย่างเปิดเผยก็จริง แต่เหตุไฉนท่านจึงไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิด”
เหวยอิงฝืนตอบว่า “แม่ทัพใหญ่น่าจะทราบว่ามีสายลับต้ายงมากมายซ่อนตัวอยู่ในเขตหนานฉู่ของพวกเรามาตลอด อีกทั้งเจียงหนานก็มีคนอ่อนแอที่หวาดกลัวกองทัพต้ายงอยู่มาก มิเช่นนั้นแม่ทัพใหญ่คงไม่ยกทัพออกรบโดยมิยอมแจ้งเจี้ยนเย่หลายครั้งหลายคราเช่นนี้ หากมิใช่ว่ากลัวขว้างหนูกระทบแก้ว แม่ทัพใหญ่คงใช้เลือดล้างเจี้ยนเย่สักหนก่อนแล้ว
หนนี้ผู้บัญชาการกองการข่าวต้องเปลี่ยนคนแล้วเป็นแน่ วิธีการจึงเร้นลับโหดเหี้ยมกว่าก่อนหน้า เพลงสั้นบทนั้นทั้งถ้อยคำและความหมายล้วนสมบูรณ์แบบ ชาวบ้านธรรมดาต่างเข้าใจว่ามันเป็นเพียงเพลงสรรเสริญท่านแม่ทัพจึงไม่ระแวงเลยแม้แต่น้อย ถึงข้าจะทุ่มกำลังทั้งหมดค้นหาและตามจับก็ยากจะรวบตัวสายลับต้ายงทั้งหมดได้ ตรงกันข้ามกลับจะเปิดเผยขุมกำลังของตำหนักเฉิน ยิ่งไปกว่านั้นแม่ทัพใหญ่ก็มิได้ถูกราชสำนักระแวงมาเพียงวันเดียว แม้สยบข่าวลือได้ก็ยากเลี่ยงเรื่องที่เกิดในวันนี้ แทนที่จะลงแรงอย่างไร้ประโยชน์ มิสู้มาวางแผนการในอนาคต”
ลู่ช่านได้ยินคำนี้ก็ถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวขึ้นว่า “ท่านเหวยอยากจะกล่อมให้ลู่ช่านนำทหารลุกขึ้นก่อกบฏหรือ”
หลังจากลู่ช่านยกทัพไปเซียงหยาง แม้เรื่องมากมายที่เกิดขึ้นเพราะฎีกาหนึ่งฉบับของหรงเยวียนจะทำให้เหวยอิงลำบากอยู่บ้าง แต่หากเขาทุ่มเทกำลังจากใจจริง อย่างน้อยก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพียงแต่ในใจเขามีเจตนาส่วนตัวแฝงอยู่จึงอดกลั้นมิยอมเคลื่อนไหว ยามนี้ถูกลู่ช่านเปิดโปง เขาจึงเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่เขาก็รู้ว่าใช้คำลวงบอกปัดมิได้อีกต่อไปแล้ว จึงก้าวเข้าไปคารวะสารภาพว่า “แม่ทัพใหญ่โปรดอภัย มิใช่ว่าผู้แซ่เหวยมิรู้จักแก้ไขความผิดในอดีต เพียงแต่ผู้แซ่เหวยเร่ร่อนในเจียงหนานจวบจนวันนี้ก็สิบสองปี หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตหนใดก็มิอาจลบเลือนความแค้นที่ติดอยู่ในใจ แต่กระนั้นผู้แซ่เหวยก็ทราบว่าตนเองกับศัตรูคู่แค้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
เขาเป็นพระราชบุตรเขยของต้ายง ยามนี้มีบรรดาศักดิ์เป็นกั๋วโหว ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากหลี่จื้อ แล้วข้างกายยังมีเงามารคุ้มกัน มิว่าจะทางบุ๋นหรือบู๊ ข้าล้วนทำอันใดเขามิได้ หนทางแก้แค้นเพียงหนึ่งเดียวคือเข่นฆ่าอย่างสง่าเผ่าเผยในสงคราม หากได้กรีธาทัพบุกนครหลวงต้ายง ทำลายทุกสิ่งที่เขาก่อร่างสร้างมาจึงจะเป็นการชำระแค้นอย่างแท้จริง
ทว่าต้ายงเป็นดั่งดวงตะวันกลางท้องฟ้า เป่ยฮั่นยอมสวามิภักดิ์แล้ว หลี่คังก็พ่ายแพ้ย่อยยับ ป่วยตายที่นครหลวงต้ายง หนานฉู่ก็สภาพเป็นเช่นนี้ เจ้าแผ่นดินโง่เขลา เสนาบดีครองอำนาจรู้จักแต่ป้องกันตัวเอง สำนักเฟิงอี้จากบนจดล่าง คนมากกว่าครึ่งล้วนลืมเลือนความแค้นในวันวาน คิดแต่จะกระเสือกกระสนหายใจรวยรินในเจียงหนาน ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำว่าล้างแค้น
แต่เดิมข้าท้อแท้สิ้นหวังแล้ว แต่แม่ทัพใหญ่ทำให้ข้ามองเห็นความหวัง ตอนแรกข้าหวังเพียงจะขวางกองทัพต้ายงบุกลงใต้ ขอเพียงทำให้ต้ายงมิอาจรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเท่านี้ก็ทำให้เจ้าแผ่นดินกับขุนนางต้ายงเคียดแค้นเสียดายอย่างสุดแสนแล้ว
ต่อมาเหวยอิงทราบว่าท่านแม่ทัพมีปณิธานหมายมาดจงหยวนจึงตัดสินใจภักดีต่อแม่ทัพใหญ่ ผู้แซ่เหวยมิปรารถนาลาภยศ ปรารถนาเพียงมีสักวันแม่ทัพใหญ่ควบอาชาเหยียบย่ำจงหยวน ความแค้นของข้าได้ชำระสะสาง แม้แม่ทัพใหญ่เห็นแก่สายสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ปกป้องคนผู้นั้น ผู้แซ่เหวยก็มิคิดเคืองแค้น
แต่ถึงแม้แม่ทัพใหญ่เก่งกาจกลศึกมิมีผู้ใดเทียบเทียม กลับมิตั้งใจช่วงชิงอำนาจปกครอง ด้วยอำนาจในมือท่านแม่ทัพ ต่อให้กำจัดซั่งเหวยจวินแล้วกุมอำนาจส่วนใหญ่ในราชสำนักก็เป็นเรื่องง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ ทว่าแม่ทัพใหญ่กลับยินยอมถูกอัครมหาเสนาบดีผู้นั้นควบคุม ผู้แซ่เหวยเองก็ทราบพงศาวดารประวัติศาสตร์ นับแต่โบราณมาหากมีขุนนางกุมอำนาจข้างใน มิมียอดแม่ทัพคนใดสร้างความดีความชอบข้างนอกสำเร็จ
หากต้องการยึดครองจงหยวนยิ่งต้องกำจัดขุนนางชั่วข้างกายเจ้าแผ่นดิน ทำความสะอาดราชสำนัก ก่อนปราบด้านนอกต้องทำให้ด้านในสงบ แต่ผู้แซ่เหวยทราบว่าแม่ทัพใหญ่ภักดี มิเคยปรารถนาตำแหน่งและอำนาจ ดังนั้นหนนี้ข้าจึงไม่ลอบขัดขวางไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลง ด้วยหวังว่าแม่ทัพใหญ่จะถูกบีบให้นำทหารลุกขึ้นกวาดล้างขุนนางชั่วในราชสำนัก เมื่อราชสำนักสงบแล้ว แม่ทัพใหญ่จะรวบรวมกองทัพบุกขึ้นเหนือก็มิมีอุปสรรคอีกต่อไป จะสร้างชื่อให้เลื่องลืออีกหมื่นปีย่อมสำเร็จ
หากแม่ทัพใหญ่กังวลว่าขุนนางสุจริตทั้งหลายจะติติง ผู้แซ่เหวยรับประกันได้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่มีหนทางให้ก่อเรื่อง ยามนี้ในราชสำนักมีแต่ขุนนางชั่วเหิมเกริม ขุนนางสุจริตต้องหลบเร้นหลีกทาง ท่านแม่ทัพตรากตรำทำศึกปกป้องแผ่นดินและประชาชนให้สงบสุขมานานปี หัวใจของทหารและปวงชนต่างสวามิภักดิ์
ยามนี้เจ้าแผ่นดินโง่เขลากับขุนนางชั่วตั้งใจจะทำร้ายท่านแม่ทัพ นี่เป็นโอกาสดีในการจุดชนวน ขอเพียงแม่ทัพใหญ่ไม่ปลดเจ้าแคว้นจากตำแหน่งทันที ขุนนางสุจริตเหล่านั้นจะชื่นชมแม่ทัพใหญ่ที่กำจัดขุนนางชั่ว หากแม่ทัพใหญ่มิตัดสินใจตอนนี้ น่ากลัวว่าไม่เพียงการใหญ่ยากจะสำเร็จ ท่านแม่ทัพเองก็จะมีภัยมาถึงตัว
ถึงยามนั้นเมื่อรังคว่ำลงมาแล้ว ไฉนยังจะมีไข่ฟองใดรอดปลอดภัยอีก ไม่เพียงครอบครัวของท่านแม่ทัพจะเคราะห์ร้ายไปด้วย แม้แต่ทหารและแม่ทัพใต้บัญชาของท่านแม่ทัพก็มิอาจรอดพ้นภัย ถึงเวลายอดแม่ทัพถูกปลด ขุนนางผู้มีความชอบสิ้นชีวา ทหารม้าเหล็กของต้ายงคงฉวยโอกาสบุกลงใต้ แผ่นดินหนานฉู่ต้องล่มสลาย ต่อให้ท่านแม่ทัพวางวายไปยังปรโลกแล้วก็คงมิอาจนอนตายตาหลับกระมัง”
ลู่ช่านเงียบงันอยู่เนิ่นนานแล้วกล่าวว่า “ตอนยังเยาว์วัยข้าเคยอ่านพงศาวดารกับท่านอาจารย์ นับแต่โบราณแม่ทัพผู้เลื่องชื่อลือชามากกว่าครึ่งล้วนไม่มีจุดจบที่ดี ได้ใช้หนังอาชาห่อร่างก็นับว่าสวรรค์คุ้มครองแล้ว คนมากกว่าครึ่งล้วนตายในราชสำนัก ยามนั้นท่านอาจารย์บอกกับข้าว่า ตระกูลลู่ของข้าเป็นแม่ทัพสืบต่อกันมาหลายรุ่น ต้องเลียนแบบซุนวู[1]สร้างความชอบสำเร็จก็ถอยออกจากตำแหน่ง ห้ามเอาอย่างหานซิ่น[2]มีความชอบแล้วหยิ่งยโส ยิ่งห้ามเลียนแบบหลี่มู่[3]ภักดีจนตัวตาย ข้ากลับบอกท่านอาจารย์ว่า หากใต้หล้าสงบสุขก็อาจจะเลียนแบบซุนวูรักษาตัวรอดเป็นยอดดีได้ แต่หากเกิดศึกสงครามมิเลิกรา ข้าคงจะมิอาจปลีกตัวหลบเลี่ยงง่ายๆ แม้จะต้องเป็นอย่างหานซิ่นหรือหลี่มู่ ข้าก็มิเสียใจ
ท่านปู่ของลู่ช่านได้จักรพรรดิอู่ตี้ผลักดันให้มีตำแหน่งยศฐาในกองทัพ จากคนธรรมดากลายเป็นแม่ทัพใหญ่ ยามเป็นได้รับความโปรดปราน ยามตายได้ฝังร่วมสุสานหลวง พระกรุณามากล้น หาได้ยากยิ่งในโลก แต่เดิมสมควรใช้ใจภักดีตอบแทน แต่อดีตเจ้าแคว้นโง่เขลา ขุนนางชั่วครองอำนาจ อ๋องผู้ปรีชาสิ้นพระชนม์ ขุนนางดีถูกถอดจากตำแหน่ง ท่านพ่อเป็นห่วงความปลอดภัยของตนเองจึงปิดปากเงียบมิเอ่ยคำใดจนต้องเบิ่งตามองนครหลวงของแคว้นตกอยู่ในกำมือศัตรู เจ้าแผ่นดินและขุนนางถูกจับเป็นเชลย
ครั้นท่านพ่อนำกองทัพใหญ่เข้าเจี้ยนเย่เพื่อมาช่วยเจ้าแคว้น เขาได้เห็นนครหลวงที่เคยมีบุปผาบานสะพรั่ง มีกิ่งหลิวประดับบดบังกำแพงเมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง ท่านพ่อเข้าไปคารวะสุสานของจักรพรรดิอู่ตี้ หลั่งเลือดขอขมา ความแค้นใจนี้ ความอัปยศนี้ ตราบจนวันตายบิดาก็มิอาจลืมเลือน เขาละอายใจที่มิกล้าล่วงเกินเจ้าแคว้นกราบทูลตามตรงเพื่อปกป้องแผ่นดิน ก่อนสิ้นใจเขาพร่ำสอนผู้แซ่ลู่ว่าอย่าได้หวงแหนชีวิตตนและอย่าได้หวงแหนชื่อเสียงอำนาจ
ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาผู้แซ่ลู่จึงมิสนใจถ้อยคำเสียดสีของขุนนางที่กุมอำนาจ ทั้งยังตัดสินใจโดยพลการ ขัดอัครมหาเสนาบดีซั่งหลายหน หนนี้ยังล่วงเกินเจ้าแคว้น ทั้งหมดล้วนเพื่อความปลอดภัยของแผ่นดิน แต่หากผู้แซ่ลู่ฉวยความพลั้งพลาดของราชสำนัก ลุกขึ้นก่อกบฏโดยอ้างว่าเพื่อกำจัดขุนนางชั่วข้างกายเจ้าแผ่นดิน ไฉนมิใช่ทำให้ท่านพ่อกับท่านปู่ในปรโลกอับอาย ทำลายชื่อเสียงความภักดีของตระกูลลู่”
เหวยอิงได้ยินคำนี้ก็ลุกขึ้นกล่าวอย่างร้อนใจ “แม่ทัพใหญ่ ท่านจะทรยศความตั้งใจของเหล่าทหารและแม่ทัพเพื่อชื่อว่าภักดีได้อย่างไร หากกองทัพต้ายงข้ามฉางเจียงมาทำลายหนานฉู่ แม้แม่ทัพใหญ่ยังรักษาชื่อเสียงความภักดีไว้ได้จะยังมีประโยชน์อันใด ท่านแม่ทัพมิเห็นแก่ความปลอดภัยของประชาชนนับล้านในเจียงหนาน ทนมองหายนะจากไฟสงครามทำลายขุนเขาธาราแดนฉู่ได้หรือ”
[1]ซุนวู ยอดนักการทหาร นักปกครองในสมัยปลายยุคชุนชิว เป็นแม่ทัพผู้สร้างความดีความชอบในการปกป้องแคว้นอู๋ บั้นปลายชีวิตหลบเร้นไปอาศัยอยู่ในชนบท ‘ตำราพิชัยสงครามซุนวู’ ของเขากลายเป็นตำราเรียนพิชัยสงครามเล่มสำคัญของชนรุ่นหลัง
[2]หานซิ่น ยอดแม่ทัพสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก มีความดีความชอบในการทำศึกสงครามช่วยก่อตั้งแคว้น แต่ภายหลังถูกใส่ร้ายว่าก่อกบฏจนถูกลดตำแหน่ง ได้รับความคับแค้นจึงวางแผนก่อกบฏจนถูกประหารทั้งตระกูล
[3]หลี่มู่ ยอดแม่ทัพแคว้นจ้าวในสมัยจั้นกั๋ว เขามีความดีความชอบปกป้องชายแดนทิศเหนือจากเผ่าซยงหนู ต่อมาเป็นคนสำคัญในการนำทัพต่อต้านการรุกรานของแคว้นฉิน ช่วงปลายยุคจั้นกั๋วเขากลายเป็นแม่ทัพเพียงคนเดียวที่ช่วยค้ำจุนแคว้นจ้าวให้รอดพ้นจากอันตราย จนมีคำกล่าวว่า “หลี่มู่วางวาย แคว้นจ้าวล่มสลาย” แต่สุดท้ายเขาก็ติดกับอุบายเสี้ยมให้แตกคอของแคว้นฉิน ถูกเจ้าแคว้นยึดอำนาจทหารและสั่งประหาร