ตอนที่ 263-3 พี่ซิวลงมือ ความจริงของแผ่นดินไหว
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามหัวเราะหยัน “ต้านกระบวนท่าของข้าได้มากถึงขนาดนี้ นับว่าเจ้ามีความสามารถอยู่บ้าง! หากเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อข้า ข้าจะลองพิจารณาไว้ชีวิตของเจ้าดู”
“ฝันไปเถิด! นางปีศาจเฒ่า!” อี้เชียนอินกลับมาใช้เสียงของตนเอง เขาทิ้งกระบี่จากนั้นซัดสองฝ่ามือออกมา สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเห็นกระบวนท่าของเขาก็หรี่ตาลงน้อยๆ “เจ้าเด็กเวร เจ้าเรียนสำเร็จแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว ลองลิ้มรสความร้ายกาจของนายน้อยคนนี้ดูบ้างดีหรือไม่!”
“รับกระบวนท่า!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามฟันกระบี่ใส่อี้เชียนอิน แขนของอี้เชียนอินประหนึ่งเถาวัลย์เลื้อยเกี่ยว รัดพันแขนของนางไว้
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามขยับไม่ได้แล้ว “เจ้าหนู สติปัญญาดีนักนะ!”
อี้เชียนอินซัดฝ่ามือออกมาถูกหน้าอกของนางอย่างจัง
นางถูกซัดถอยออกไปสองสามก้าว สามกระบวนท่านี้เป็นท่าไม้ตายที่นางคิดค้นขึ้นมาเองแล้วสั่งสอนแก่ลูกศิษย์ของตน คนที่ฉลาดเฉลียวมีพรสวรรค์ฝึกสามเดือนก็สำเร็จ คนที่โง่เขลาฝึกสามปีก็ยังฝึกไม่สำเร็จ เจ้าหนูคนนี้เห็นเพียงครั้งเดียวแท้ๆ แต่กลับโจมตีนางจนถอยออกมาได้ เป็นต้นอ่อนที่ดีจริงๆ!
น่าเสียดาย ต้นอ่อนดีๆ เช่นนี้ เมื่อนางเอามาใช้ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่สังหารทิ้งเท่านั้น!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามโยนกระบี่ทิ้ง “เจ้าหนู วิชาฝ่ามือชุดนี้ความจริงมีทั้งหมดเก้ากระบวนท่า ข้าสอนเจ้าเพียงสามกระบวนท่า อีกหกกระบวนท่าหลัง เจ้ายังไม่ได้เรียน”
อี้เชียนอินกัดฟัน “รู้อยู่แล้วว่านางปีศาจเฒ่าอย่างเจ้าไม่ใจกว้างขนาดนั้น!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามบุกเข้าหาอี้เชียนอิน อี้เชียนอินใช้สามกระบวนท่าแรกฝืนต้านการบุกของนางได้สองรอบอย่างหวุดหวิด แต่หลังจากเริ่มการบุกหนที่สาม เขาก็รับกระบวนท่าไม่ทันอีกเลย
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามซัดฝ่ามือลงบนหัวไหล่ของอี้เชียนอิน เขาถูกตบลอยออกไปไกลนัก แผ่นหลังกระแทกกับโอ่งเก็บน้ำ โอ่งน้ำแตกกระจายเกลื่อนพื้น เขาโซเซเหยียบบนแผ่นกระเบื้องแตก แผ่นหลังส่งความรู้สึกเจ็บร้าวออกมา
“ยังไม่จบหรอก เจ้าหนู” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามยิ้มหยัน ซัดอีกหนึ่งฝ่ามือใส่อี้เชียนอิน
อี้เชียนอินกลิ้งหลบ สายลมจากฝ่ามือโจมตีถูกจุดที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ เปรี้ยง! บนพื้นเกิดหลุมขนาดใหญ่ อี้เชียนอินมองตาค้าง ช่างเป็นวิชาฝ่ามือที่ร้ายกาจนัก!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเย้ยหยัน “กลัวแล้วสิเจ้าหนู นี่เพิ่งกระบวนท่าที่หก สามกระบวนท่าหลัง กระบวนท่าหนึ่งร้ายกาจกว่าอีกกระบวนท่าหนึ่ง เจ้าไม่ใช่อยากเรียนหรอกหรือ มาสิ สตรีศักดิ์สิทธิ์คนนี้จะสอนเจ้าเอง!”
นางปีศาจเฒ่า วรยุทธ์จะยอดเยี่ยมอะไรปานนี้! จะมากเกินไปแล้ว!
สู้ไม่ได้ ข้าหนีไม่ได้หรืออย่างไร
อี้เชียนอินกุมหัวไหล่อันปวดร้าว พยายามลุกขึ้น สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามคล้ายจะเดาได้ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใดจึงกระโจนพรวดเดียวมาถึงหน้าเขา จากนั้นซัดอีกหนึ่งฝ่ามือลงบนหน้าอก!
เขาเหมือนว่าวสายขาด ทั้งร่างลอยจากที่เดิมไปกระแทกกำแพงเรือน กำแพงถล่มลงมา เขาถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ไออย่างรุนแรง โลหิตไหลลงมาตามมุมปาก
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามย่างสามขุมเข้ามา
อี้เชียนอินไอค่อกแค่ก ปัดก้อนอิฐบนร่างออก “เจ้า นางปีศาจเฒ่า มิน่าถึงไม่มีใครเอา…”
“ด่าอีกคำสิ ข้าจะฉีกปากของเจ้าก่อน!”
“นางปีศาจเฒ่า! นางปีศาจเฒ่า! นางปีศาจเฒ่า…”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามโกรธจัด คว้าอี้เชียนอินขึ้นมาแล้วฟาดใส่อีกหนึ่งฝ่ามือ
หัวใจของอี้เชียนอินหยุดเต้นไปแล้ว กำลังภายในมหาศาลกระแทกเขาจนปลิวลอยไปอีกหน
ทว่าหนนี้ ความเจ็บปวดที่จินตนาการไว้กลับไม่มาเยือน เขาร่วงลงในอ้อมแขนอันหอมกรุ่น
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามหน้าถอดสี “เฮ่อหลันชิง?”
เฮ่อหลันชิงอุ้มอี้เชียนอินร่อนลงจากกลางอากาศมานั่งลงบนหลังของหั่วเฟิ่ง อี้เชียนอินนอนอยู่ในอ้อมแขนของเฮ่อหลันชิง เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝัน “พี่เฮ่อหลัน”
เฮ่อหลันชิงมองเขา “ข้าเอง นางตีเจ้าจนเป็นเช่นนี้หรือ”
อี้เชียนอินพยักหน้าอย่างน่าสงสาร “เจ็บยิ่งนัก…”
เฮ่อหลันชิงมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามอย่างเฉยชา แววตานั่นไม่เหมือนกำลังมองมนุษย์ แต่เหมือนกำลังมองมดปลวกตัวหนึ่ง
หัวใจของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามกระตุกวูบ นางถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
ริมฝีปากแดงของเฮ่อหลันชิงยกโค้ง “คิดหนีหรือ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามโต้ “พวกเจ้า…พวกเจ้าปลอมตัวเป็นศิษย์ของตำหนักธิดาเทพ นี่มีโทษถึงตาย!”
“หากเจ้ารอดกลับไปฟ้องข้าได้…ค่อยว่ากัน”
“เจ้า…เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนัก! ข้าขอเตือนเจ้า หนนี้ข้าไม่ได้ล่วงเกินเจ้า! เขาปลอมตัวเป็นศิษย์ตำหนักธิดาเทพก่อน ข้าลงโทษเขาเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม! หากเจ้ากล้าสังหารข้าเพราะเหตุนี้ เจ้าจะต้องถูกลงโทษ!”
“หนวกหู”
เฮ่อหลันชิงสวมถุงมือ รับหอกยาวมาจากมือของทหารม้าเหล็กที่ติดตาม
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเห็นหอกยาววาววับทอประกายเย็นเฉียบเล่มนั้นก็กลัวจนตัวแข็ง
“หยุด!”
เสียงของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งดังขึ้นที่ประตูทางเข้า
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งพาศิษย์บุกเข้ามา คนที่เข้ามาด้วยกันกับนางก็คือผู้อาวุโสอีกหลายคนของสำนักผู้อาวุโสกับผู้นำทั้งหลายบนเกาะ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยออกมาอย่างปวดใจ “ผู้อาวุโสทั้งหลาย ประมุขทั้งหลาย พวกท่านดูสิ เฮ่อหลันชิงสั่งให้ลูกน้องใต้บัญชาปลอมตัวเป็นศิษย์ของตำหนักธิดาเทพ เริ่มจากสังหารศิษย์สามคนของข้า จากนั้นก็ตั้งใจจะสังหารสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามอีก นางไม่ใช่ไม่เคารพตำหนักธิดาเทพ แต่นางเห็นชีวิตคนเป็นผักหญ้าต่างหาก!”
ผู้อาวุโสมองเฮ่อหลันชิงอย่างผิดหวัง
ผู้อาวุโสใหญ่พูดออกมาอย่างเสียใจ “จั๋วหม่า…เหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้ ท่านรู้หรือไม่ ต่อให้เกิดเรื่องแผ่นดินไหวขึ้นมา พวกเราก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งท่านกับจั๋วหม่าน้อย แต่สิ่งที่ท่านกระทำตอนนี้ทำให้คนผิดหวังเหลือเกินจริงๆ จั๋วหม่าเผ่าถ่าน่าของพวกเราไม่สมควรเป็นเช่นนี้”
ประมุขตระกูลไซน่าอับจนวาจาแล้วเช่นกัน
จั๋วหม่าทำตามอำภอใจได้ แต่จั๋วหม่าจะเห็นชีวิตคนเป็นผักหญ้าไม่ได้ หนนี้นางทำเกินไปแล้วจริงๆ
“ไม่เกี่ยวกับแม่ข้า เป็นความคิดของข้าเอง!”
เฉียวเวยเดินมาจากด้านหลังของทุกคน
เรื่องในวันนี้พูดไปแล้วก็บังเอิญ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งไม่ไว้ใจพวกสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สาม ดังนั้นจึงลอบส่งคนติดตามพวกนางมา ส่วนตอนอี้เชียนอินออกเดินทาง เขาก็ทิ้งสัญลักษณ์ไว้ตามทาง สองฝ่ายจึงตามมาได้อย่างน่าแปลกใจเช่นนี้
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งแต่เดิมคิดจะพาผู้นำตระกูลกับผู้อาวุโสทั้งหลายมาเห็นการกระทำทารุณของ ‘ทหารม้าเหล็กตระกูลเฮ่อหลัน’ กับตา แต่คิดไม่ถึงกลับจับเฮ่อหลันชิงกับอี้เชียนอินได้คาหนังคาเขา
ผู้อาวุโสใหญ่มองเฉียวเวยด้วยสีหน้าซับซ้อน
เฉียวเวยตอบเรียบๆ “ข้าทำเอง อี้เชียนอินเป็นลูกน้องของข้า แม่ของข้าไม่รู้เรื่อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแม่ของข้า พวกเจ้าจะลงโทษก็ลงโทษข้าเถอะ!”
ผู้อาวุโสใหญ่ยกมือขึ้น “องครักษ์ จับตัวจั๋วหม่าน้อยไป!”
องครักษ์ทั้งหลายของสำนักผู้อาวุโสเพิ่งจะขยับตัว ทหารม้าเหล็กของตระกูลเฮ่อหลันก็ยกหอกยาวหันไปหาพวกเขาอย่างพร้อมเพรียง องครักษ์ทั้งหลายตกใจกลัวจนตะลึงงัน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยเย็นชา “จั๋วหม่า นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร”
เฮ่อหลันชิงขี่หั่วเฟิ่งเยาะย่างมาเบื้องหน้าเฉียวเวยอย่างเชื่องช้า มองทุกคนอย่างโอหัง “คิดจะแตะจั๋วหม่าน้อยก็ข้ามศพข้าไป”
องครักษ์ทั้งหลายหวาดกลัวจนถอยหลังไปหลายก้าว
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกำสายบังเหยียนแน่น น้ำเสียงเย็นเฉียบประดุจน้ำแข็ง “ศิษย์ตำหนักธิดาเทพฟังคำสั่ง จับกุมจั๋วหม่าน้อย ผู้ใดขัดคำสั่ง ฆ่า!”
“ท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์! พบต้นกำเนิดแผ่นดินไหวแล้วเจ้าค่ะ!” ศิษย์หญิงคนหนึ่งควบม้าเข้ามาหน้าตามอมแมม
ทุกคนหันไปมองศิษย์หญิงผู้นั้น
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งข่มเพลิงโทสะลงไป แล้วถามด้วยน้ำเสียงเฉกเช่นยามปกติ “ที่ใด”
ศิษย์หญิงหอบหายใจ “เมืองเล็กทางใต้ของเกาะเจ้าค่ะ!”
เมืองเล็กอันยากจนทางใต้ของเกาะเป็นสถานที่ซึ่งองค์เทพลืมเลือน บรรพบุรุษของพวกเขาคือทาสต้องโทษที่ถูกเนรเทศ ประชาชนผู้อาศัยอยู่ในตอนนี้ในร่างมีสายเลือดของทาสต้องโทษไหลเวียนอยู่ องค์เทพเลือกส่งภัยพิบัติมายังสถานที่เช่นนี้ สมเหตุสมผลยิ่งนักจริงๆ
ที่แห่งนี้ยากจน มีแต่บ้านฟางที่ไม่แข็งแรงจำนวนเล็กน้อย ยามเกิดแผ่นดินไหว บ้านทั้งหลังจึงล้มครืนลงมาหมด แต่เพราะตอนที่เกิดเรื่องยังไม่ถึงเที่ยงวัน ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงยังอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงโชคดีหลบพ้นภัยมาได้
แต่ก็มีคนบางส่วนถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง กำลังรอคอยความช่วยเหลือ
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวขึ้นว่า “เรื่องจั๋วหม่าน้อยค่อยหารือกันทีหลัง ช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน ขอเชิญจั๋วหม่านำกำลังคนของท่านไปเมืองเล็กแห่งนั้นด้วยกันกับพวกเรา”
เฮ่อหลันชิงย่อมไม่เห็นแย้ง นางสั่งให้เฉียวเวยพาอี้เชียนอินกลับไป แต่เฉียวเวยส่ายหน้า “ข้าเป็นหมอ ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย”
เฮ่อหลันชิงนึกถึงปฏิกิริยาของชาวเผ่าโง่เขลาลุ่มนั้นแล้วอดปวดใจแทนลูกสาวไม่ได้ “ประเดี๋ยวอาจจะ…”
เฉียวเวยพยักหน้า “ข้ารู้”
ทว่ารู้ก็เรื่องหนึ่ง แต่เผชิญกับตัวเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมืองน้อยที่เคยเรียบร้อยเป็นระเบียบกลายเป็นซากปรักหักพัง ข้างทางมีชาวบ้านผู้ประสบภัยที่ไร้บ้านให้หวนกลับนั่งร้องไห้ดังระงม
ผู้อาวุโสใหญ่สั่งองครักษ์ทั้งหลายให้แจกจ่ายเสบียงแก่ชาวบ้านผู้ประสบภัย ตอนนี้ทุกคนเพิ่งจะทนหิวมามื้อเดียว อีกทั้งกำลังจมอยู่ในความทุกข์ของการสูญเสียบ้าน จึงไม่มีความอยากอาหารสักนิด
ศิษย์ทั้งหลายของตำหนักธิดาเทพเดินเข้าไปในฝูงชน ทุกคนพากันแห่เข้ามาหา ต้องการวิงวอนขอการปลอบโยนจากองค์เทพสักเสี้ยวหนึ่งผ่านตัวพวกนาง
เฉียวเวยขนสมุนไพรที่นำมาเสริมระหว่างทางเดินเข้าไปหาแม่ลูกที่บาดเจ็บคู่หนึ่ง พวกเขาล้วนบาดเจ็บเล็กน้อย คนแม่บาดเจ็บที่หน้าผาก คนลูกเจ็บที่ฝ่ามือ
เฉียวเวยเปิดล่วมยาหยิบสมุนไพรออกมา จากนั้นเริ่มพันแผลให้เด็กน้อย
ทันใดนั้น เด็กคนนี้ก็จำเฉียวเวยได้ “จั๋วหม่าน้อย!”
เจ้าตัวปลอมเคยปลอมใบหน้าของเฉียวเวยมารักษาคนป่วยที่เมืองเล็กแห่งนี้ ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยจำใบหน้าของนางได้
เด็กน้อยคนนั้นไม่ตะโกนก็ยังไม่เท่าไร แต่พอเรียกออกมาคำเดียว คนทั้งหมดก็หันมามองเฉียวเวย
พวกเขาล้วนได้ยินเรื่องที่พิธีบวงสรวงแล้ว จั๋วหม่าน้อยเป็นเด็กที่องค์เทพไม่ยอมรับ เพราะนางจึงเกิดภัยพิบัติหนนี้ นางทำให้พวกเขาไร้ที่ซุกหัวนอน นางทำให้พวกเขาเจ็บไปทั่วทั้งตัว เพราะนาง ทั้งหมดเป็นเพราะนาง!
มารดาคนนั้นแย่งลูกกลับไป แล้วมองเฉียวเวยด้วยความหวาดกลัว
เฉียวเวยเดินเข้าไปหานาง นางก็ถอยหลังหนี
เฉียวเวยมองนางแล้วบอกว่า “บาดแผลของพวกเจ้าต้องรักษา หากไม่รักษาจะอักเสบ”
มารดาอุ้มลูกเดินหนีไป นางเดินไปอยู่รอบศิษย์ของตำหนักธิดาเทพ คล้ายกับว่ามีเพียงศิษย์ของตำหนักธิดาเทพจึงจะปกป้องนางกับลูกน้อยได้
“ไม่รักษาก็ไม่รักษา ความเจ็บปวดไม่ได้อยู่บนตัวข้าเสียหน่อย” เฉียวเวยเลิกคิ้ว หันกลับไปหาเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่นั่งพิงกำแพงอยู่ เด็กหนุ่มเหมือนจะบาดเจ็บที่ขา เขาตัวแข็งไม่กล้าขยับ ผู้ใดจะคิดว่าพริบตาที่เฉียวเวยเดินเข้าไปหาเขา เขาก็ล้มลุกคลุกคลานถลาไปด้านหน้าราวกับเห็นผี
เฮ่อหลันชิงคว้าหมับหิ้วเขาขึ้นมา “ลูกสาวข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้า นั่งลงเสีย!” นางกวาดสายตา “แล้วก็พวกเจ้าด้วย! นั่งลงให้หมด! ไม่เช่นนั้นข้าจะฟันพวกเจ้าเสียเดี๋ยวนี้!”
ผู้บาดเจ็บที่เพิ่งหนีไปได้สองก้าวตัวสั่นระริกกลับมานั่งที่เดิม
มีพญามารเฮ่อหลันชิงคนนี้คอยคุมจึงไม่มีผู้ใดกล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามอีก พวกเขานั่งเรียบร้อยให้เฉียวเวยรักษาให้
ทหารม้าเหล็กคนหนึ่งเข้ามาพูดอะไรกับเฮ่อหลันชิง เฮ่อหลันชิงจึงควบม้าจากไป
พอนางจากไป ผู้บาดเจ็บที่กำลังงรอการรักษาอยู่พวกนั้นก็ยกขบวนหนีไปทันที!
คนไปรวมตัวอยู่รอบศิษย์ตำหนักธิดาเทพมากขึ้นเรื่อย เฉียวเวยราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งโรคระบาด ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้นาง
เฉียวเวยเก็บล่วมยา
แต่แล้วแขนประหนึ่งหยกข้างหนึ่งก็ยื่นมาหา
เฉียวเวยมองไล่ไปจนพบเจ้าของแขน นางเป็นสตรีวัยกลางคนดวงหน้างดงามมีเสน่ห์อายุสามสิบสี่สิบปีคนหนึ่ง หากนางจำไม่ผิด อีกฝ่ายคือเถ้าแก่เนี้ยของร้านสุราขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
เฟิงซื่อเหนียงบอกว่า “เจ็บยิ่งนัก ดูให้หน่อยเถิดว่าเป็นอะไร”
“ไม่กลัวข้าเป็นเทพแห่งโรคระบาดหรือ” เฉียวเวยถาม
เฟิงซื่อเหนียงหัวเราะหยัน “สถานที่แห่งนี้ผู้ใดไม่ถูกมองเป็นเทพแห่งโรคระบาดบ้าง”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม นางเปิดล่วมยา เฟิงซื่อเหนียงข้อต่อเคลื่อน เฉียวเวยจึงต่อกลับที่เดิมให้ จากนั้นก็ทายาดองให้อีกเล็กน้อย แล้วพันผ้าพันแผล คล้องแขนข้างขวาของนางไว้กับลำคอ
“ต้องน่าเกลียดเช่นนี้เชียวหรือ” เฟิงซื่อเหนียงโอดครวญ
เฉียวเวยยิ้ม “เปลี่ยนเป็นสีแดงให้เจ้าก็ได้”
เฟิงซื่อเหนียงเบ้ปาก
“องค์เทพลงโทษพวกเราจริงหรือ” อีกด้านหนึ่ง หญิงคนหนึ่งถามสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ข้าพูดได้เพียงว่า แผ่นดินไหวมิใช่สิ่งที่กำลังมนุษย์กระทำได้ มีเพียงองค์เทพจึงจะครอบครองพลังยิ่งใหญ่เช่นนี้”
หญิงผู้นั้นร่ำไห้ “องค์เทพทรงลงโทษจริงๆ ด้วย! ผู้หญิงคนนั้นเหตุใดจึงยังอยู่บนเกาะของพวกเราอีก รีบไล่นางออกไปสิ!”
หญิงอีกคนหนึ่งก็เอ่ยบ้าง “ใช่แล้ว! ไล่ออกไป!”
เด็กหนุ่มใจกล้าคนหนึ่งพุ่งมาตรงหน้าของเฉียวเวย เขาหอบแฮ่กๆ บอกว่า “เจ้าไปเสียที! พวกเราที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า! เจ้าออกไปเสีย!”
ฝูงชนรุมเข้ามา แต่ละคนๆ ตะโกนให้เฉียวเวยออกไป
ครืน!
เสียงกึกก้องดังสนั่นขึ้นอีกหน พสุธาสั่นสะเทือน
มีบางคนยกมือชี้หน้าเฉียวเวย แล้วตะโกนอย่างหวาดผวา “แผ่นดินไหวอีกแล้ว! รีบไล่นางออกไปเร็ว! เพราะนาง! แผ่นดินไหวหยุดแล้วแท้ๆ ! แต่พอนางมา แผ่นดินก็ไหวอีก! รีบไล่นางออกไปเร็ว!”
ครืน!
เสียงสนั่นดังขึ้นอีกหน แรงสั่นสะเทือนทำให้ทุกคนล้มลงไปกองกับพื้น
บ้านที่อยู่ไม่ไกลอยู่ดีๆ ก็แยกออก มีบางสิ่งเคลื่อนขึ้นมาด้านบนอย่างเชื่องช้า ยอดหลังคา ก้อนศิลา เชิงชาย กำแพงศิลา เสาศิลา…
นั่นมันคือหอศิลาหลังหนึ่ง
เฉียวเวยมองหอศิลาที่ผุดขึ้นมาจากผืนดินอย่างตะลึงงัน หอศิลายังคงผุดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า หนึ่งชั้น…สองชั้น…สองชั้น…
“หอสอยดาว!” ผู้อาวุโสใหญ่ตะโกนลั่น!
หอสอยดาวหรืออีกชื่อคือตำหนักสอยดาว ตำหนักโหราจารย์แห่งสุดท้ายในตำนาน
ตำนักเทพที่แท้จริงของเผ่าถ่าน่าปรากฏขึ้นแล้ว!